“พวกเ้าทำอะไรกันอยู่?” หลิงเซียวเอ่ยถามพวกเขาท่าทางสนใจ
เพราะนี่คือฝั่งตะวันตก ปกติแล้วจะมีแต่ศิษย์แขนงการต่อสู้ ดังนั้นหลิงเซียวปรากฏตัวที่นี่จึงไม่น่าแปลก พอโหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถามไปก็เดาได้ว่าเขาคงมาหาข้อมูลอะไรสักอย่างที่นี่
โหยวเสี่ยวโม่มองไปทางชายคนนั้น พลันส่ายหัวแล้วเอ่ย “ไม่มีอะไร ศิษย์พี่หลิงท่านจะหาตำราอะไรรึ ให้ข้าช่วยหารึเปล่า?”
หลิงเซียวจ้องหน้าพวกเขาไปมาอย่างไม่เชื่อนัก แม้เขาจะพึ่งมา แต่ก็ดูออกว่าอะไรเป็อะไร ดังนั้นแม้โหยวเสี่ยวโม่จะบอกว่าไม่มีอะไร แต่เขาไม่เชื่ออยู่แล้ว สายตาประกายมองไปที่ชายคนนั้น ลำพังรังสีนั้นก็เล่นเอาอีกฝ่ายเหมือนมีเขาหนักอึ้งวางอยู่บนบ่า
ตอนที่โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยขึ้น ชายคนนี้หน้าตึงไปทันที
ศิษย์พี่หลิงก็คือศิษย์พี่ใหญ่หลินเซียวหรือ? เขามาอยู่ด้านหลังั้แ่เมื่อไร ทำไมเขาไม่เห็นรู้ตัวเลย แต่นี่ไม่ใช่เื่สำคัญสุด ศิษย์พี่ใหญ่มานานแค่ไหนแล้ว ได้ยินคำพูดทั้งหมดของเขาสองคนหรือไม่?
ชายแซ่หวังชักใจคอไม่ดี แม้ว่าเขากับหลินเซียวจะไม่ใช่อาจารย์เดียวกัน แต่หลินเซียวมีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักเทียนซิน โดยเฉพาะภาพลักษณ์ที่มีให้กับศิษย์รุ่นหลังอย่างพวกเขานั้นช่างลึกล้ำ
“นี่มันศิษย์น้องหวังไม่ใช่รึ? ทำไมวันนี้ถึงมีเวลามารังแกศิษย์ใหม่ถึงหอคัมภีร์ล่ะ?”
หลิงเซียวพูดจาตรงไปตรงมา หัวเราะเยาะจ้องมองหวังอวี่เฟยที่ไม่กล้าแม้กระทั่งจะซับเหงื่อ เดิมทีเขาไม่ได้มีภาพจำอะไรเกี่ยวกับศิษย์น้องหวังนี่เลย แต่หลายวันก่อนที่เกิดเื่โหยวเสี่ยวโม่กับหลี่จวิ้นถูกลงโทษ หลังเกิดเื่เขาจึงสืบถามข้อมูลเกี่ยวกับหลี่จวิ้นและคนรอบข้างเขา
หลี่จวิ้นเป็คนโมโหร้ายและเป็ลูกศิษย์ของผู้าุโเซียว เป็ศิษย์ลำดับเจ็ดเหมือนโหยวเสี่ยวโม่ หวังอวี่เฟยเป็ศิษย์พี่ของหลี่จวิ้น ศิษย์ลำดับสาม ทั้งสองนั้นสนิทกัน เห็นว่าก่อนเข้าสำนักทั้งสองบ้านก็เป็มิตรกันอยู่แล้ว ดังนั้นครั้งก่อนที่หลี่จวิ้นถูกลงโทษ หวังอวี่เฟยก็หมายใจว่าเป็ความผิดของโหยวเสี่ยวโม่
ครั้งนี้บังเอิญพบเข้าที่หอคัมภีร์ หวังอวี่เฟยจึงอดไม่ได้ที่จะประชดโหยวเสี่ยวโม่ ใครจะรู้ว่าไม่ได้ผลแม้แต่น้อย กลับโดนตอกกลับอีก ที่ซวยกว่าคือ หลิงเซียวดันมาได้ยินอีก
หวังอวี่เฟยหันกลับมาหน้าซีด หน้านิ่งตึงมองหลิงเซียว ชั่วครู่จึงเอ่ยอ้ำอึ้งออกมา “ศิษย์พี่หลิน ข้า ข้าไม่ได้รังแกศิษย์น้องโหยวเลยนะ ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ล้อเขาเล่นเท่านั้น…”
คำพูดรู้สึกผิดเต็มทีนี้ ไม่รู้จะได้ผลหรือไม่ แต่จะให้ยอมรับว่ารังแกโหยวเสี่ยวโม่ต่อหน้าศิษย์พี่หลินย่อมไม่ได้ หากรู้ไปถึงหูอาจารย์เข้า แม้อาจารย์จะเข้าข้างเขา แต่ตำแหน่งของศิษย์พี่หลินสูงกว่า ดังนั้นท้ายสุดก็คงเป็การขุดหลุมฝังตัวเอง
“คำพูดแบบนี้เอามาล้อกันเล่นตามใจได้รึ?” หลิงเซียวเอ่ย เมื่อเขากำลังจะอธิบายก็โบกมือ “เอาเถอะ ศิษย์พี่ก็ไม่อยากให้มันเป็เื่ใหญ่ ตอนนี้เ้าขอโทษโหยวเสี่ยวโม่ซะ เื่นี้ก็ถือว่าจบ”
“ขอรับ ศิษย์พี่หลิน” หวังอวี่เฟยหน้าซีด จากนั้นเอ่ยคำขอโทษกับโหยวเสี่ยวโม่อย่างจำยอม “ศิษย์น้องโหยว ข้าขอโทษ”
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ไม่เพียงเสียฮูหยินแล้วยังเสียทหาร เล่นงานโหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ แล้วยังต้องมาขอโทษมันอีก แม้ว่าคนที่มาหอคัมภีร์มีอยู่น้อย แต่ก็มีสายตาหลายคู่มองอยู่ เื่นี้ต้องแพร่สะพัดออกไปแน่ ถึงตอนนั้นคนที่ขายหน้าไม่ใช่แค่เขา อาจารย์ก็คงเดือดดาลแน่ เขาจำได้ว่าตอนที่เื่ของหลี่จวิ้นไปถึงหูอาจารย์ อาจารย์ก็โกรธเป็ฟืนเป็ไฟเช่นกัน
รีบเอ่ยขอโทษเสร็จ หวังอวี่เฟยก็รีบหนีไป ไม่มีหน้าอยู่ต่ออีก
โหยวเสี่ยวโม่เห็นภาพนี้ อดยอมรับไม่ได้ว่า อันที่จริงที่หลิงเซียวออกตัวช่วยเขานั้นสะใจเล็กน้อย แต่ก็แค่นิดเดียว ที่ห่วงกว่านั้นคือหลี่จวิ้นกับอาจารย์จะตั้งแง่กับหลิงเซียวมากกว่า
แม้ศิษย์จะมีความผิด แต่อาจารย์คนไหนบ้างที่ไม่ลำเอียง ยกตัวอย่างเช่นขงเหวิน ลำเอียงจนเห็นได้ชัดเจน เป็ตัวอย่างที่ดีใช่หรือไม่? อีกทั้งจากที่เขารู้จักผู้าุโเซียว เขารู้สึกว่าผ่านเื่นี้ไป ความบาดหมางระหว่างผู้าุโเซียวกับหลิงเซียวคงฝังลึกมากขึ้นแน่
“ศิษย์พี่หลิง แบบนี้จะดีเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่ถามเป็ห่วงเป็ใย
“แบบนี้ไม่ดีตรงไหน หรือเ้าติดใจที่เขาขอโทษได้จริงใจไม่มากพอ งั้นข้าจะไปจับตัวเขากลับมา ให้เขาเอ่ยขอโทษเ้ามากกว่านี้เป็ไง?”
โหยวเสี่ยวโม่ปาดเหงื่อ “…ไม่ต้องแล้ว แค่นี้ก็พอแล้วละ”
หากทำตามที่เขาพูดจริง ความแค้นระหว่างเขากับพวกหลี่จวิ้นคงไม่มีวันแก้ได้แน่ แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะอยากคืนดีกับพวกเขาเท่าไหร่ แต่ว่าทุกคนล้วนเป็ศิษย์สำนักเทียนซิน อีกหน่อยก็ต้องเจอกันอีก จะให้เจอกันก็ตั้งแง่ใส่กันเห็นทีจะไม่ดี
แต่หลิงเซียวกลับไม่คิดเช่นนี้ คนที่มีความแค้นกับเขามีมากมาย จะเพิ่มจะลดสักคนก็มีค่าเท่ากัน ก็แค่พวกปลวกมด อีกอย่างสักวันเขาก็ต้องจากสำนักเทียนซินไปอยู่ดี ดังนั้นเขากลับรู้สึกยินดีที่เห็นโหยวเสี่ยวโม่มีความแค้นกับพวกนั้น เท่านี้เขาจะได้ไม่รู้สึกเสียดายที่ต้องจากสำนักเทียนซิน
หลิงเซียวหยิบตำราจากชั้นวาง แล้วไปนั่งโต๊ะเดียวกับโหยวเสี่ยวโม่
โหยวเสี่ยวโม่แอบมองตำราที่เขาหยิบมา เป็ตำราแผนที่ อีกทั้งยังเป็แผนที่ฝั่งใต้ของแผ่นดินหลงเสียง แต่เขาไม่รู้ว่ามันคือแผนที่ละแวกใกล้เคียงกับตำแหน่งที่จะเปิดแดน์วิมาน
“ศิษย์พี่หลิง ท่านดูสิ่งนี้เพื่ออะไรกัน?”
“ทังฝานให้ข้ากับผู้าุโตู้และผู้าุโเซียวร่วมกันนำทัพลูกศิษย์ไปแดน์วิมานอีกสองเดือนจากนี้ แผนที่หนทางค่อนข้างซับซ้อน ในความจำหลินเซียวไม่ค่อยละเอียด ดังนั้นจึงมาหาข้อมูลเพิ่มที่นี่” หลิงเซียวเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
ที่จริงเขาเพียงแค่กวาดตามองตำรานี่รอบเดียว สามารถจดจำข้อมูลทั้งหมดได้แล้ว อีกทั้ง หากเขาไม่อยากลืมก็จะไม่มีวันลืมตลอดชีวิต
เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอโหยวเสี่ยวโม่ที่นี่ จึงหาข้ออ้างนั่งกับเขาสักครู่ จึงแสร้งทำทีอ่านตำรา
โหยวเสี่ยวโม่มองหลิงเซียว ลังเลแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ศิษย์พี่หลิง ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าแดน์วิมานจำกัดการเข้าของผู้ที่มีพลังเหนือชั้นอรุณขึ้นไป งั้นท่านจะทำยังไง?”
คำถามนี้เขาอยากถามมานานแล้ว เพราะจากสิ่งที่หลิงเซียวแสดงออกมา ไม่เหมือนกับผู้มีพลังต่ำกว่าชั้นอรุณ ถึงตอนนั้นหากเขาเข้าไม่ได้ ก็เผยความจริงหมดสิ?
ได้ฟังเช่นนี้ หลิงเซียวยิ้มมุมมากโค้งขึ้น วางตำราลงแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก เ้ารู้มั้ยว่าทำไมแดน์วิมานถึงมีการจำกัดพลังของผู้ที่เข้าไป?”
โหยวเสี่ยวโม่ลองคิดดู แต่ก็ได้แต่ส่ายหัว แต่แน่ใจว่าต้องเกี่ยวข้องกับเ้าของแดน์วิมานแน่นอน
หลิงเซียวหัวเราะแล้วเอ่ย “การจำกัดพลังของแดน์วิมานถูกกำหนดไว้โดยเ้าของมันเอง แต่นั่นมีผลสำหรับคนที่มีพลังต่ำกว่าเขา แต่หากพลังที่เหนือกว่าเ้าของแดน์วิมานล่ะก็ ข้อห้ามนั่นไม่เป็ผลอันใด”
โหยวเสี่ยวโม่อ้าปากค้าง หมายความว่า พลังของเขาสูงกว่าเ้าของแดน์อีกหรือ?
ในใจโหยวเสี่ยวโม่ ผู้ที่สามารถสร้างแดน์วิมานที่อุดมไปด้วยของวิเศษล้ำค่ามากมาย พลังของเ้าของต้องสูงมากแน่ อย่างน้อยก็ต้องสูงกว่าชั้นราชันขึ้นไป
จากน้ำเสียงของหลิงเซียว พลังเขาจะสูงกว่าเ้าของแดน์จริงหรือ เช่นนั้นต้องสูงถึงชั้นไหนกันเชียว? เขานึกภาพไม่ออก
“งั้น ศิษย์พี่หลิงท่านรู้พลังของเ้าของแดน์วิมานรึเปล่า?” โหยวเสี่ยวโม่เอ่ยถาม มองเขาสายตาเต็มเปี่ยมด้วยความใคร่รู้
“ศิษย์น้องเล็ก เ้ารู้เื่ที่ว่า ผู้ที่มีพลังเหนือชั้นราชันขึ้นไปสามารถเปิดห้วงมิติได้ หรือเปล่า? เหมือนกับห้วงมิติของข้าน่ะ” หลิงเซียวไม่ได้ตอบเขาทีเดียว แต่กลับให้ความรู้เขาอีกเื่หนึ่งแทน
โหยวเสี่ยวโม่ส่ายหัวอย่างไม่คิด เื่นี้เขาก็อยากถามมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ตั้งใจจะมาหาข้อมูลที่หอคัมภีร์ แต่ยังไม่มีเวลา จากนั้นก็ถูกทำโทษอีกสามวัน จึงไม่มีโอกาส
นักฝึกตนเมื่อมีพลังชั้นราชันสามารถเปิดห้วงมิติได้ แต่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถทำได้ เพราะนักฝึกตนส่วนใหญ่ต่างรักตัวกลัวตาย อย่างเช่นทังฝานกับลั่วเฉิงหยวน จากที่หลิงเซียวคาดเดา หากพวกเขาไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าจะทำสำเร็จคงไม่มีทางลองแน่ เพราะเื้ัพวกเขายังมีสำนักใหญ่อยู่
เพราะว่าหากดวงไม่ดี ผลลัพธ์ก็อาจส่งผลต่อทั้งสำนักได้ การไม่มีจอมยุทธ์ชั้นราชันสักคนก็ไม่ถือว่าเป็สำนักขึ้นชื่อ
ส่วนแดน์วิมานนั้น หลิงเซียวคิดว่ามันไม่ใช่ห้วงมิติที่แยกออกอย่างแท้จริง
น่าจะเป็เพราะจอมยุทธ์บางคนจับสถานที่หนึ่งมาแยกออกจากความจริง จากนั้นทำให้สถานที่นั้นกลายเป็อีกมิติที่แยกตัวออกมา ที่เหลืออาจเป็เพราะเวลาที่ล่วงเลยไปนาน ดังนั้นม่านป้องกันนั้นจึงหละหลวมแล้วเปิดออกห้าสิบปีครั้ง นี่ถึงทำให้ผู้คนค้นพบการมีอยู่ของแดน์วิมาน
หากแดน์วิมานเป็ห้วงมิติที่แหวกจากรอยแยกมิติจริง ไม่มีทางที่จะเปิดออกห้าสิบปีครั้งหนึ่งแน่ ทั้งยังอยู่สถานที่เดิมอีก เพราะห้วงมิติที่แหวกจากรอยแยกมิตินั้นไม่มั่นคงแม้แต่นิด
ดังนั้น หลิงเซียวสงสัยว่าเ้าของแดน์วิมานคงเป็ผู้ที่มีพลังชั้นราชัน
มีเพียงจอมยุทธ์ผู้มีพลังชั้นราชันเท่านั้นที่สามารถจับสถานที่กว้างใหญ่มาผันเป็มิติที่แยกตัวออกมาต่างหาก บวกเข้ากับเื่ที่แผ่นดินหลงเสียงฝั่งใต้มีจอมยุทธ์พลังสูงสุดอยู่เพียงแค่ชั้นราชัน ทั้งนี้ทั้งนั้นหากคนผู้นั้นมีพลังสูงกว่านั้นจริง ก็ต้องมีความสามารถเปิดห้วงมิติจากรอยแยกได้ ดังนั้นคนผู้นั้นก็ต้องมีพลังชั้นราชันอย่างไร้ข้อกังขา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้