เดม่อนเดินเข้ามาในแท่นหิน เขาจ้องมองศิลาวิเศษที่ฝังอยู่กลางแท่น ก่อนจะโบกไม้กายสิทธิ์
แท่นหินแปรเปลี่ยนเป็ฝ่ามือที่แบออกมารองรับ อัญมณีสีแดงสดแวววาวถูกจับไว้ในมือ โดยไม่มีสิ่งผิดปกติใดเกิดขึ้น
เดม่อนร่ายเวทเปลี่ยนรูปร่าง สร้างตุ๊กตาเวทมนตร์ขึ้นมาให้เดินไปหยิบอัญมณีนั้น แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเช่นกัน
เขารู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย พลางคงเวทเกราะป้องกันไว้ แล้วจึงเอื้อมมือคว้าศิลานั้นขึ้นมา
แต่ทันทีที่แตะต้อง เขาก็รู้ได้ทันทีว่านี่ไม่ใช่ของจริง
ศิลาวิเศษ หินในตำนานที่ว่ากันว่าสามารถแปรโลหะให้กลายเป็ทองได้ มีต้นแบบจาก “ศิลาแห่งนักปราชญ์” ในศาสตร์เล่นแร่แปรธาตุ ว่ากันว่าเป็ของวิเศษที่สามารถละเมิดกฎแห่งการแลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียม และทำให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้นได้
แต่ก้อนที่อยู่ในมือเขานี้ เป็เพียงแหล่งพลังเวทขนาดใหญ่ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยพลังของศิลาวิเศษไม่ถึงหนึ่งในพัน แม้จะใช้ได้อยู่ แต่ก็ไม่มากพอ อย่างน้อย โวลเดอมอร์ไม่สามารถใช้พลังเพียงเท่านี้เพื่อฟื้นคืนร่างกายได้แน่นอน
เขาเดาว่าแม้แต่พลังในนี้ ก็อาจเป็เพียงกับดักล่อให้โวลเดอมอร์ตายใจก็ได้
ดูเหมือนว่าดัมเบิลดอร์จะระมัดระวังยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ ศิลาวิเศษที่นี่เป็แค่เหยื่อล่อเท่านั้น และบางที ผู้ที่ถูกล่ออาจรวมถึงตัวเขาเองด้วยก็เป็ได้
เดม่อนวางศิลาวิเศษปลอมกลับลงบนแท่นหิน โดยไม่มีความคิดจะใช้มันเลย พลังแค่นี้ไม่คุ้มเสี่ยง ใครจะรู้ว่าดัมเบิลดอร์จะเข้าใจผิดแค่ไหนหากรู้ว่าเขาหยิบมันไป?
เขายืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงโบกไม้กายสิทธิ์อีกครั้ง
“ระเบียบแห่งเวทมนตร์ (Ordinatio Magica)”
เขาแยกศิลาออกเป็ชิ้นๆ แล้วจัดวางกลับเข้าไปให้เหมือนเดิม ก่อนจะตัดสินใจจากไปทันที
หลังจากที่เขาเดินจากไปแล้ว
ในเงามืดที่มุมห้อง ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมา
ชายคนนั้นมีผมสีขาวโพลน ดวงตาสีฟ้าสดใสจับจ้องไปยังทิศทางที่เดม่อนจากไป สายตาเขาลึกล้ำยิ่งนัก
เดม่อน…ทำไมเด็กคนนี้ถึงโผล่มาอยู่ที่นี่ได้? หรือว่าเขาสนใจศิลาวิเศษด้วย? ไม่น่าแปลกใจหรอก ถ้าใครไม่สนใจนั่นแหละถึงจะผิดปกติ
แต่ในเมื่อเขาสามารถเรียกใช้งานกับดักเวทมนตร์ได้ อย่างน้อยก็บ่งบอกได้ว่าเขาแค่สงสัย แต่ไม่ได้มีเจตนาใช้มัน ิแม้จะเป็เพียง่เวลาสั้นๆ ก็ตาม
แต่แค่นั้นก็มากพอ ดัมเบิลดอร์ก็สามารถมั่นใจได้ว่า เด็กคนนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้เสพความตายแม้แต่น้อย แม้มันจะฟังดูไร้เหตุผลที่จะเอาเด็กอายุ 12 ไปโยงกับพวกนั้น
แต่ทำไงได้ ก็ในเมื่อเื่ที่ไร้เหตุผลยิ่งกว่านี้เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน ใครจะคิดว่า กฎแปลงร่างของไวท์ ที่กำลังเขย่าทั้งสภาวิเซนกามอตและกระทรวงเวทมนตร์อยู่นั้น กลับเป็ผลงานของเด็กอายุ 12 คนเดียว
พอวารสาร “Transfiguration Today” ฉบับหน้าออกมา เหล่าพ่อมดแม่มดที่ทุ่มเททั้งชีวิตให้ศาสตร์การแปลงร่าง คงได้เผชิญกับวิกฤติศรัทธาครั้งใหญ่
สำหรับเด็กคนนี้ เขาเหลือเพียงเื่เดียวสุดท้ายที่จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจ
ในขณะที่เดม่อนตรวจสอบศิลาวิเศษและกับดักเวทจนจบไปเรียบร้อยแล้ว กลับกัน "สามสหาย" ยังอยู่ใน่กังวลและเคร่งเครียดกันอยู่หลายสัปดาห์
ทุกครั้งที่เดินผ่านห้องโถงบนชั้นสี่ พวกเขามักเงี่ยหูฟังอยู่เสมอว่าเ้ารูวีกำลังคำรามอยู่ข้างในหรือเปล่า สเนปเองก็ยังเดินปึงปังไปทั่วโรงเรียนเหมือนเดิม แถมอารมณ์ก็ยังแย่เหมือนเคย แสดงว่าศิลาวิเศษยังปลอดภัยดี
จนกระทั่งการสอบปลายภาคเริ่มใกล้เข้ามา เฮอร์ไมโอนี่ก็เริ่มวิตกจนเกินพอดี แม้ว่าจะยังเหลืออีกสิบสัปดาห์
เธอลากรอนกับแฮร์รี่มาเร่งทบทวนบทเรียนกันอย่างหนักหน่วง มีเพียงเดม่อนเท่านั้นที่ยังคงอยู่นอกวง
ในห้องทำงานของศาสตราจารย์ฟลิตวิก
“ป้องกันทั้งหมด (Protego totalum)”
เดม่อนโบกไม้กายสิทธิ์ด้วยความมั่นคง มวลอากาศโปร่งใสดูราวกับของเหลวแผ่ขยายไปทั่วห้องห่อหุ้มทุกอย่างไว้ด้วยเยื่อบางใสอย่างไร้ช่องโหว่
“ร่ายเวทได้สมบูรณ์แบบ ในที่สุดเธอก็แก้ปัญหาเื่ที่ไม่สามารถป้องกันพื้นที่ทั้งหมดได้แล้ว”
ศาสตราจารย์ฟลิตวิกปรบมือด้วยความยินดี เขายกย่องเดม่อนที่เป็นักเรียนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบศตวรรษอย่างไม่ลังเล
เดม่อนยิ้มรับคำชม แต่ไม่มีท่าทีพอใจในความสำเร็จของตน เขากล่าวต่อว่า:
“ศาสตราจารย์ครับ ผมอยากขอเรียนคาถาถัดไปได้ไหมครับ?”
“แน่นอน เธออยากเรียนอะไรล่ะ?”
“แยกตัวออก (Apparition) ครับ”
“...เดม่อน เื่นี้อาจยากหน่อยนะ” สีหน้าศาสตราจารย์ฟลิตวิกเริ่มลำบากใจ “คาถาแยกตัวออกสงวนไว้สำหรับพ่อมดแม่มดอายุ 17 ปีขึ้นไป เธอยังอายุไม่ถึงเกณฑ์”
“อ้อ ไม่มีข้อยกเว้นเลยหรือครับ?”
ฟลิตวิกส่ายหน้า “ภายในปราสาทฮอกวอตส์ห้ามใช้คาถานี้เด็ดขาด ยกเว้นเวลาสอนพิเศษของนักเรียนชั้นหกที่มีการปลดผนึกเวทป้องกันในพื้นที่เฉพาะ”
“ต่อให้ฉันสอนเธอ เธอก็ทำได้แค่เรียนทฤษฎี ซึ่งฉันว่าเธอคงรู้อยู่แล้วล่ะใช่ไหม?”
“อีกอย่าง ต่อให้ฉันแอบสอนเธอ พอเธอเรียนสำเร็จแล้วก็ต้องไปสอบที่กระทรวงเวทมนตร์เพื่อขอใบอนุญาตอยู่ดี คาถานี้ถูกควบคุมอย่างเข้มงวด เธอปิดบังไม่ได้หรอก”
“แปลว่า ผมคงยังไม่คู่ควรกับคาถานี้ในตอนนี้สินะ?”
เดม่อนไม่คาดคิดว่าการเรียนคาถาแยกตัวออกจะมีข้อจำกัดมากขนาดนี้ ดูท่าว่าจะเรียนมันในฮอกวอตส์ไม่ได้แล้ว คงต้องหาหนทางอื่น
ดูเหมือนว่าฟลิตวิกจะกลัวว่าเดม่อนจะเสียกำลังใจ เขารีบอ้าแขนพูดปลอบว่า:
“งั้นเปลี่ยนเป็คาถาขั้นสูงอย่างอื่นไหม? อย่างเช่นฉันสอนคาถาผู้พิทักษ์ให้เธอก็ได้ ต่อไปเธอจะได้มีผู้พิทักษ์ของตัวเอง!”
“แทนที่จะเป็คาถานั้น ศาสตราจารย์ครับ” เดม่อนเปลี่ยนสีหน้าเป็จริงจัง “คุณช่วยสอนคาถาปิดใจ (Occlumency) ให้ผมได้ไหมครับ?”
“คาถาปิดใจ? เธอไปรู้จักคาถานี้มาจากไหนกัน? พ่อมดทั่วไปไม่ควรจะรู้จักมันเลยนะ”
ฟลิตวิกใจริงๆ แต่เขาก็นึกถึงคำกำชับจากดัมเบิลดอร์ขึ้นมา สีหน้าเขาจึงเปลี่ยนเป็ซับซ้อนขึ้น
“ฉันจะสอนให้ก็ได้ เดม่อน แต่เธอรู้จักคาถานี้แค่ไหน?”
“พูดตามตรง ผมรู้ไม่มาก รู้แค่ว่ามันใช้ป้องกันการถูกรุกรานทางจิตใจ”
ฟลิตวิกพยักหน้า ก่อนจะเขียนใบอนุญาตให้ แล้วพูดว่า
“นี่คือใบอนุญาตจากฉัน เธอสามารถเอาไปยืมหนังสือจากเขตหนังสือต้องห้ามได้ ฉันแนะนำสองเล่ม เล่มแรกชื่อ ‘การลืมเลือนและการต้านทาน: คู่มือป้องกันเวทความทรงจำ’ และอีกเล่มคือ ‘พรมแดนระหว่างจิติญญา จิตใจ และเวทมนตร์’ พอเธออ่านเสร็จแล้วค่อยกลับมาหาฉัน”
เดม่อนขอบคุณฟลิตวิก แล้วก็ตรงไปยังเขตหนังสือต้องห้ามทันที
ที่จริงแล้วนี่เป็ครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ก่อนหน้านี้เขามัวแต่ตั้งใจสร้างพื้นฐานให้มั่นคง มองว่าการไปอ่านคาถาชั้นสูงก่อนเวลาอาจจะทำให้เขาหลงทิศหลงทางและกลายเป็คนชอบฝันเฟื่อง
หลังจากผ่านการตรวจสอบจากบรรณารักษ์อย่างมาดามพินซ์ เดม่อนก็เดินไปที่ชั้น B แถว X3 และหยิบหนังสือสองเล่มที่้า
“แปะ!”
ทันใดนั้น หนังสือปกสีดำหม่นสีน้ำตาลแดงเล่มหนึ่งก็ร่วงลงมาที่ปลายเท้าของเดม่อนอย่างไม่รู้มาจากไหน
เดม่อนก้มลงหยิบขึ้นมา พลิกดูหน้าปกแล้วเห็นลวดลายสีม่วงงามสง่าปะปนความอึมครึมสองข้างขอบหน้าปก ขนาบข้างชื่อหนังสือที่อยู่ตรงกลาง:
“เปิดโปงศาสตร์มืดชั้นสูง”
(จบบท)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้