เล่มที่ 2 บทที่ 35 หุบเขาหมัวเจี้ยน
หรือจะพูดง่ายๆก็คือแร่เฮยเย่าก้อนนี้ยังเติบโตไม่เต็มที่นั่นเอง…
สมบัติล้ำค่าที่เกิดจากธรรมชาติ ล้วนต้องใช้เวลาในการเจริญเติบโตพอสมควร บางทีอาจยาวนานนับร้อยนับพันปี หากรีบขุดออกมาเสียแต่ตอนนี้ ก็จะทำให้เกิดความเสียหายได้ เหมือนกับแร่เฮยเย่าก้อนนี้นั่นเอง เดิมทีมันควรจะมีมนต์สะกดอยู่หนึ่งสาย ทว่ามันเพิ่งบ่มเพาะได้เพียงแปดถึงเก้าส่วนเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังไม่สมบูรณ์ดี สภาพจึงดูไม่ต่างอะไรกับก้อนหินก้อนหนึ่ง…
ไม่เช่นนั้นหากมีแร่โฮ่วเทียนขั้นสามอยู่ที่หอว่านเป่าแล้วล่ะก็ ต่อให้ผู้าุโอู๋จะหน้าใหญ่คับฟ้าเพียงใด เหล่าศิษย์สายตรงหรือผู้าุโคนอื่นก็คงไม่ไว้หน้าเช่นนี้…
และมันก็คงไม่ตกมาถึงเขาได้หรอก…
“มนต์สะกดโฮ่วเทียนเติบโตได้เก้าส่วนแล้ว แต่ช่างน่าเสียดาย หากอีกสามปีค่อยขุดออกมาอีกที มนต์สะกดสายนี้ก็คงจะได้เติบโตเต็มที่ เมื่อกลืนกินเข้าไป ก็จะเกิดเป็ปราณกระบี่เฮยเย่าได้แล้วเชียว…” หลินเฟยมองแร่เฮยเย่าในมือแล้วก็อดรู้สึกเสียดายไม่ได้
หลังจากหลอมจนได้ปราณกระบี่อิ๋นเหวิน ทำให้เคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนใกล้จะเข้าขั้นย่างหยวนเต็มที หากได้กลืนกินแร่เฮยเย่านี้เข้าไป คาดว่าพลังของเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนคงจะสามารถไปถึงขั้นย่างหยวนได้แน่ๆ พอถึงตอนนั้นแล้ว เกิดจะต้องรับมือกับกระบี่ไฟอัสนีอีก ก็ไม่จำเป็ต้องใช้กระแสไอเย็นอีกต่อไป เพียงแค่สะบั้นกระบี่ออกไปเท่านั้น ต่อให้มีหลี่ฉุนสามคน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องก้มหัวยอมจำนนแน่นอน
พอคิดดูอีกที ก็ไม่ใช่เื่หนักหนาอะไร แม้จะได้ฝึกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียนแล้ว ทำให้ไม่ต้องมีอาวุธคู่กายไว้ผนึกจิติญญา อย่างไรก็ตามในฐานะศิษย์สำนักเวิ่นเจี้ยน หากมีกระบี่ดีๆสักเล่ม ก็ถือเป็เื่ดีไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าผู้าุโอู๋นั่น จะยอมเอาเตาฟงอวี่แปดทิศออกมาหรือเปล่า…
หากไม่ยอม ก็คงต้องหาวิธีซ่อมแซมมนต์สะกดที่ไม่สมบูรณ์นี้เอง คงต้องลำบากเอาการเลย…
เช้าวันถัดมา หลินเฟยจึงเดินทางไปยังหุบเขาหมัวเจี้ยน
“สมแล้วที่เป็จุดเชื่อมชีพจรไฟโลกันตร์…” หุบเขาหมัวเจี้ยนมีอุณหภูมิที่สูงจนน่าใ เพียงแค่สูดลมหายใจ ก็ราวกับกลืนกินลูกไฟเข้าไป แม้แต่ปอดที่อยู่ภายในยังรู้สึกร้อนระอุเหมือนกำลังถูกเผาไหม้ไปด้วยเช่นกัน
หลินเฟยรู้ดีว่าใต้หุบเขาหมัวเจี้ยน มีจุดชีพจรไฟโลกันตร์อยู่สายหนึ่ง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาหมัวเจี้ยนในอดีต ได้ใช้วิชาย้ายนทีถมสมุทร เพื่อยกเอาจุดชีพจรไฟโลกันตร์นี้มาไว้ใต้หุบเขาหมัวเจี้ยน ทำให้คงไว้ซึ่งเปลวไฟที่ไม่มีวันมอดดับสำหรับหลอมอาวุธ แต่นั่นก็ทำให้หุบเขาหมัวเจี้ยนมีสภาพที่ร้อนดั่งูเาไฟ…
เมื่อเดินทางมาถึง หลินเฟยก็มุ่งตรงไปยังที่พักของผู้าุโอู๋ทันที ทว่าพอมาถึงหน้าประตู หลินเฟยก็อดหลุดยิ้มออกมาไม่ได้…
“อรุณสวัสดิ์ศิษย์พี่หลี่ เจอกันอีกแล้วนะ”
คนที่อยู่หน้าประตูก็คือ “หลี่ฉุน” นั่นเอง
‘จะว่าไปหลี่ฉุนเองก็น่าสงสาร…’
หลังกลับจากหอว่านเป่า เขาก็เที่ยวตระเวนรวบรวมหินิญญาจนได้หนึ่งพันสองร้อยก้อน เมื่อได้ครบ เขาก็ไม่รอช้ารีบนำไปให้ข่งฟางในคืนนั้นทันที ตอนแรกคิดไว้ว่าวันนี้จะต้องหลอมกระบี่ได้สักสองเล่ม เพื่อเติมเต็มหินิญญาที่ถูกขูดรีดไป แต่ดันถูกอาจารย์เรียกไปพบเสียก่อน บอกว่าเ้าสำนักฝากไว้ว่าจะมีคนมาให้หลอมกระบี่ จึงมอบหมายให้เขามารอ
หลี่ฉุนจึงมารอั้แ่เช้าตรู่…
ทว่าคิดไม่ถึงเลยว่าคนคนนั้นจะคือหลินเฟย
“เ้ายังมีหน้ามาที่นี่อีกหรือ!” เมื่อหลี่ฉุนเห็นหลินเฟยจึงโกรธจัดขึ้นมาทันที มือก็พลันชี้หน้าด่าทออย่างรู้งาน
“ทำไมจะไม่กล้าล่ะ หุบเขาหมัวเจี้ยนไม่ใช่บ้านเ้าสักหน่อย…” หลินเฟยเองก็ไม่มีทีท่าเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่หลี่เองก็หัดฉลาดเสียบ้างนะ เมื่อวานข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ เป็ศิษย์ก็ต้องทำตัวให้อยู่ในขอบเขต วันๆจะเอาแต่คิดเื่ฮุบสมบัติของสำนักได้อย่างไรกัน เมื่อวานยังคิดแค่จะฮุบกระบี่ของสำนัก มาวันนี้ถึงขนาดคิดจะฮุบหุบเขาหมัวเจี้ยนเสียแล้วหรือ ดูแล้วคงอยากไปนั่งเล่นที่หุบเขาเทียนสิงล่ะสิ?”
“เ้า…” หลี่ฉุนโกรธจนเืขึ้นหน้า เขายกมือชี้หน้าหลินเฟย แต่ปากก็อ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้จะเถียงอย่างไร สุดท้ายจึงเอ่ยประโยคหนึ่งทิ้งท้ายก่อนจะจากไป
“อาจารย์ข้ากักตัวบำเพ็ญอยู่ หากมีเื่อะไรค่อยมาพรุ่งนี้แล้วกัน”
“อ้อ…” หลี่ฉุนคิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้หลินเฟยจะไม่เอ่ยปากเถียงเขาอีก แถมยังยกมือทำความเคารพแล้วเดินจากไป
แต่ก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพำแว่วมา…
“สงสัยคงต้องไปรายงานเ้าสำนัก เื่ที่ศิษย์พี่หลี่บอกว่าอาจารย์เขากักตัวบำเพ็ญ ให้มาพบใหม่วันหลัง…”
‘บัดซบ!’
หลี่ฉุนใจนหน้าแทบหงาย อะไรคือการเอ่ยเน้นว่าศิษย์พี่หลี่เป็คนบอก คิดจะโยนข้อหาใหญ่ขนาดนี้ให้เขาหรืออย่างไร อยากให้เขาตายขนาดเลยหรือ ถึงขนาดคิดจะไปฟ้องเ้าสำนัก ทำไมถึงมีจิตใจอำมหิตขนาดนี้?
‘เดี๋ยวก่อนนะ เ้าสำนัก!’
หลี่ฉุนนึกขึ้นได้ทันที ‘ไม่หรอกมั้ง เมื่อเช้าอาจารย์ยังบอกอยู่เลยว่าจะมีคนมาขอให้หลอมกระบี่ หรือว่าคนคนนั้นจะคือหลินเฟย? บ้าจริง มิน่าเมื่อวานหลินเฟยถึงได้โอหังขนาดนั้น หลังจากทำร้ายเขาแล้ว ยังกล้าบอกว่าจะมาหุบเขาหมัวเจี้ยน ให้อาจารย์เขาหลอมกระบี่ให้อีก…’
‘ที่แท้ก็เป็อย่างนี้นี่เอง!’
‘แย่แล้วสิ จะต้องเกิดเื่แน่ๆ…’
คราวนี้หลี่ฉุนไม่กลัวที่จะต้องเสียหน้าอีกต่อไป เขารีบก้าวเข้าไปรั้งหลินเฟยที่กำลังจะจากไปทันที
“เดี๋ยวก่อน เ้าสำนักให้เ้ามาหลอมกระบี่อย่างนั้นหรือ?”
“แล้วมันเป็กงการอะไรของเ้าล่ะ?” หลินเฟยมองด้วยหางตา โดยไม่ยี่หระกับคำถามของหลี่ฉุน
“…” หลี่ฉุนรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกหักหน้า เขาโกรธจนลมแทบออกหู ได้แต่ก่นด่าไปถึงบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วโคตรของหลินเฟยในใจ แต่ใบหน้ากลับส่งยิ้มแห้งๆให้แทน
“อย่าพูดเช่นนี้สิ ในเมื่อเ้าสำนักสั่งให้มาแล้ว ข้าก็ต้องดูแลเต็มที่อยู่แล้ว อีกอย่างอาจารย์ก็ใกล้กักตัวเสร็จแล้วด้วย เช่นนั้นแล้วเ้ามานั่งรอก่อนดีหรือไม่?”
“นั่งรอ?”
“ใช่ๆ นั่งรอ…”
“อย่างนั้นก็ได้…” หลินเฟยลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงตัดสินใจพยักหน้าตอบตกลง
“ในเมื่อศิษย์พี่หลี่อ้อนวอนถึงขนาดนี้ ข้าเองก็ไม่อาจขัด…”
“…” ทันใดนั้นหลี่ฉุ่นก็ก่นด่าหลินเฟยในใจอีกเป็ล้านรอบ…
‘แต่ยังดีที่อุตส่าห์รั้งเอาไว้ได้’ หลี่ฉุนลอบปาดเหงื่อ ก่อนจะนำทางหลินเฟยเข้าไป พลางก่นด่าในใจไปด้วย ทว่าก่อนที่จะถึงเพิงหลอมอาวุธนั้น อยู่ดีๆหลี่ฉุนก็กลอกตาขึ้นมา ก่อนสีหน้านั้นจะเปลี่ยนไปเป็รู้สึกผิดแทน
“จริงสิ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระต้องทำอีก ข้างหน้าก็เป็เพิงหลอมอาวุธแล้ว อาจารย์ข้าอยู่ข้างใน เ้าเดินต่อไปเองได้หรือไม่?”
“หื้อ?” หลินเฟยมองไปยังเพิงหลอมที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันไปมองหน้าหลี่ฉุน ทันใดนั้นก็เข้าใจสถานการณ์ทันที แต่เขาก็ไม่คิดจะปริปากพูดอะไรออกมาอีก จึงทำแค่พยักหน้าน้อยๆให้เท่านั้น
“ในเมื่อศิษย์พี่มีธุระ ถ้าอย่างนั้นก็ไปเสียเถอะ ข้าเข้าไปพบผู้าุโเองได้”
“อย่างนั้นก็ดี อย่างนั้นก็ดี…” เมื่อเห็นหลินเฟยตอบรับ หลี่ฉุนก็ดีใจขึ้นมาทันที ก่อนจะหันหลังจากไป ขณะที่เดินก็พลางคิดไปด้วย ‘ท่านอาจารย์เกลียดคนประเภทที่ชอบมาขัดจังหวะเวลาเขาหลอมอาวุธเป็ที่สุด อย่าว่าแต่ศิษย์หุบเขาอวี้เหิงเลย ต้องให้เป็ผู้าุโหุบเขาอวี้เหิง ก็อาจจะถูกตะเพิดออกมาทันที หลินเฟยเอ๋ย…ครั้งนี้เ้าจะเอาตัวรอดอย่างไรกัน ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เ้าเป็คนขี้ฟ้องเช่นนี้กันล่ะ!’
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------