“ท่านแม่?!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่เดินไปได้ครึ่งทางนั้นเดือดดาลขึ้นมาในที่สุด ครึ่งชีวิตนี้ของนาง เหตุใดจึงเอาแต่ถูกผู้อื่นบงการชีวิต ถูกผู้อื่นมาตัดสินใจแทนอยู่เรื่อยกัน?!
บนใบหน้าของฮูหยินเยี่ยนกลับยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง มองไปยังเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังจะพังทลาย แล้วโบกมือให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วด้วยจิตใจสงบนิ่ง “เปี่ยวเม่ยของเ้ากำลังจะออกเรือนแล้ว ดูแลเอาใจใส่นางสักหน่อยจะลำบากนักหรือ?”
แท้จริงแล้วที่ฮูหยินเยี่ยนตัดสินใจเช่นนี้ นับเป็การพิจารณาอย่างรอบคอบของนางแล้ว ประการแรก เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เป็สตรีคนหนึ่ง ให้คอยประกบดูแลสวี่ชิวเยวี่ย แล้วมีอันใดไม่ได้กัน ประการที่สอง อย่างไรเสียสวี่ชิวเยวี่ยก็ยังไม่ออกเรือน ในเมื่อยังไม่ได้ออกเรือน เช่นนั้นก็ยังนับว่าเป็คนของจวนเยี่ยน หากสวี่ชิวเยวี่ยในฐานะคนตระกูลเยี่ยน เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา ความรับผิดชอบนี้จวนเยี่ยนก็ต้องแบกรับ
จวนเยี่ยนนั้นเป็ตระกูลสูงศักดิ์ที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง ไม่อาจแบกรับเื่วุ่นวายเช่นนี้ได้ หากทำให้สงบไม่ได้ ก็สู้ยับยั้งที่ต้นตอเสียดีกว่า เช่นนี้แล้วจึงเป็หนทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทุกคน ทั้งรับประกันได้ที่สุดด้วยเช่นกัน
ในมือของฮูหยินเยี่ยนถือประคำเส้นหนึ่ง ลูบคลึงไม่หยุดมือ ในใจได้จัดวางเื่ทั้งหมดเอาไว้อย่างเหมาะสมนานแล้ว สภาพอารมณ์ของสวี่ชิวเยวี่ยในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเดินทางไกลด้วยตัวคนเดียวจริงๆ ลองคิดในทางโเี้อำมหิตที่สุด ถ้าสวี่ชิวเยวี่ยรักมากจนเกิดความแค้นต่อบุตรชายของตน ถึงขั้นว่าหากไม่ได้แต่งก็ต้องทำลายเสีย เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
หากสวี่ชิวเยวี่ยสละได้แม้กระทั่งชีวิตของนางเองเพื่อทำลายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วโดยไม่ลังเลละก็ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่ควรมาคำนึงถึงความสุขสงบเพียงชั่วครู่ชั่วยามนี้ แล้วปล่อยให้ชีวิตที่เหลือของตนต้องเสี่ยงอันตรายจากความคิดแค้นของสวี่ชิวเยวี่ย
น่าสงสารจิตใจของพ่อแม่ในโลกนี้ การกระทำที่ดูเหมือนจะเผด็จการเช่นนี้ของฮูหยินเยี่ยนนั้น ความจริงแล้วเป็การคำนึงถึงเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั่นเอง
สวี่ชิวเยวี่ยยืนตัวตรงโดยไม่มีท่าทางเสแสร้งดังปกติ ปฏิเสธข้อเสนอของฮูหยินเยี่ยนและเอ่ยขอบคุณอย่างไม่อ้อมค้อม แล้วนั่งกลับลงยังตำแหน่งของตน
ทว่านางกำลังหวาดหวั่น กลัวว่าโอกาสครั้งสุดท้ายนี้จะมลายหายไปในขณะที่ตนกำลังใช้แผนแสร้งปล่อยเพื่อจับนี้ หากเป็เช่นนั้น นางก็จะสูญเสียโอกาสกลับมาอยู่ในตระกูลเยี่ยนไปโดยสมบูรณ์
ต่อให้คุณชายจ้าวผู้นั้นจะรูปงามสง่าความสามารถล้ำเลิศเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบเท่าได้แม้แต่ผมเส้นเดียวของเยี่ยนอวิ๋นเฟยในใจของสวี่ชิวเยวี่ย สวี่ชิวเยวี่ยเองก็รู้ดีว่าความคิดของตนนั้นสุดขั้วเกินไป แต่ความเชื่อมั่นและความคิดที่ถูกปลูกฝังอยู่ในหัวสมองของนางั้แ่เด็กนั้น ทำให้สวี่ชิวเยวี่ยกลายเป็เช่นนี้ รู้ว่าผิดแต่ไม่แก้ แม้อยากแก้ก็ทำไม่ได้
แววตาของนางเย็นะเืลงชั่วขณะ ราวกับจมดิ่งลงในโพรงน้ำลึกเกินหยั่ง
ในสายตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังมีความต่อต้านขัดขืนมากมาย นางยืนค้างอยู่ตรงนั้นมองฮูหยินเยี่ยนเป็เวลานาน แทบอยากจะประกาศความจริงที่ตนนั้นไม่ใช่เยี่ยนอวิ๋นเฟยมาั้แ่แรกให้โลกรู้เดี๋ยวนั้น เพื่อยุติพันธะอันยุ่งเหยิงเละเทะนี้เสียเลย แต่ความรู้สึกในแววตาของฮูหยินเยี่ยนนั้นกำลังเตือนสติเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่หยุด ให้นางอดทนอีกสักครั้ง อดทนอีกครั้งสุดท้าย
เห็นแก่เป็ครั้งสุดท้ายแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจึงยอมประนีประนอมต่อโชคชะตาอีกครั้งหนึ่ง…
ในเมื่อเป็ครั้งสุดท้าย การดูแลเอาใจใส่สวี่ชิวเยวี่ยสักหน่อย ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยากเย็นอะไรขนาดนั้น ก็แค่ให้นางนั่งเกวียนข้าขี่ม้า ไม่ต้องคุยกันตลอดทางก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ตัดสินใจมั่นแล้วจึงไม่ได้มีการต่อต้านอีก ตรงกันข้าม นางโค้งคำนับฮูหยินเยี่ยนอย่างยอมรับชะตาโดยไม่ขัดขืน แล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย “ท่านแม่มีคำสั่ง ลูกย่อมต้องทำตาม ไม่กล้าฝืนฝ่าขอรับ”
“ดี เ้าไปเถอะ” ฮูหยินเยี่ยนเห็นเช่นนั้น ในที่สุดก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ แล้วเอ่ยปากปล่อยเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกลับไป
เยวี่ยเจาหรานที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างประตูเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู แววตาก็เป็ประกาย มองไปยังผู้มาเยือน “กลับมาแล้วหรือ? ได้ยินว่าวันนี้แม่ของเ้าพาตัวเ้าไปจากคาบเรียนของอาจารย์อวี้เลยหรือ... ฮี่ อาจารย์อวี้คงเดือดดาลอีกแล้วสิท่า?”
เสียงของเยวี่ยเจาหรานนั้นแม้จะเข้าหูของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แต่ก็กลับไม่ได้เข้าไปในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเลย ได้ยินเพียงเสียงขานรับ “อืม” อันล่องลอยของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเท่านั้น ก่อนจะนั่งลงอย่างไม่สนใจรอบข้างแล้วรินชาให้ตัวเอง ด้วยท่าทางอย่างที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวโดยสิ้นเชิง
นั่นทำให้เยวี่ยเจาหรานสับสนงุนงงเล็กน้อย เขายั้งมือที่กำลังรินชาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้ แล้วเอ่ย “พอแล้ว หากยังเทอีกก็จะล้นออกมาแล้ว” พูดจบจึงคว้ากาน้ำชามาจากมือของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แล้วเอ่ยถามอย่างไม่สนใจนัก “เห็นท่าทีของเ้าเช่นนี้ มันเกิดอะไรขึ้น? อาจารย์อวี้โมโหใส่เ้า หรือว่า... หรือว่าแม่เ้าทำให้เ้าลำบากใจกัน?”
“เปล่า” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยามนี้กลายเป็เครื่องตอบคำถามที่ไร้ความรู้สึกไปเสียแล้ว นางแหงนหน้าซดน้ำชาอย่างไม่สนใจรอบข้าง เยวี่ยเจาหรานที่มองดูนั้นรู้สึกเจ็บแสบคอไปหมด น้ำร้อนขนาดนั้น… ไม่กลัวลวกเลยหรือ?
แต่เยวี่ยเจาหรานนั้นก็เกรงใจที่จะถาม ถึงอย่างไรเห็นสภาพของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตอนนี้ นางคงจะประสบกับความกระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง จนเกิดเป็ปัญหาเช่นนี้จริงๆ ดังนั้นเยวี่ยเจาหรานจึงไม่อยากราดน้ำมันเข้ากองไฟ ให้นางยิ่งเสียใจมากไปกว่านี้
ด้วยการถามซ้ำไปซ้ำมาของเยวี่ยเจาหราน ในที่สุดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็เล่าเื่ราวที่เกิดขึ้นในตอนบ่ายวันนี้กับเขาอย่างละเอียดครบถ้วน สุดท้ายยังไม่ลืมเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “ข้าคิดว่า อย่างไรนางก็ใกล้จะแต่งงานอยู่แล้ว แค่ครั้งนี้สักครั้ง แล้วต่อไปก็คงไม่ต้องพึ่งข้าอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงตกลงไป”
เยวี่ยเจาหรานคิดคำนวณดูอย่างคร่าวๆ ประโยคนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดมาอย่างน้อยก็สี่ห้ารอบแล้ว ด้วยบทสนทนานี้ เขาจึงยิ่งมั่นใจว่าความกระทบกระเทือนที่เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้รับนั้นไม่น้อยเลย เมล็ดแตงในมือถูกส่งเข้าปากเรื่อยๆ ไม่หยุด เยวี่ยเจาหรานพยักหน้าอย่างสนอกสนใจ
“ในความเห็นข้า เื่นี้ไม่ธรรมดา”
ถึงจะว่าอย่างไรในตอนนี้เยวี่ยเจาหรานก็นับว่าเป็แนวหน้าของศึกในจวนคนหนึ่ง โดยเฉพาะในเื่การต่อกรกับฮูหยินเยี่ยนและสวี่ชิวเยวี่ย กระทั่งสรุปกลอุบายการจัดการศัตรูของตนออกมา เขาใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าเห็นว่า เ้าต้องทำการนี้ให้รอบคอบ”
“อย่างไรล่ะ?” ในที่สุดดวงตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ไม่ไร้อารมณ์ความรู้สึกเหมือนดังเมื่อครู่อีก อย่างน้อยก็นับว่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง นางหันกลับมาส่งสายตาสงสัยไปที่เยวี่ยเจาหราน
เยวี่ยเจาหรานหยิบเมล็ดแตงสองเมล็ดวางไว้บนโต๊ะเบื้องหน้า ชี้ไปที่เมล็ดหนึ่งในนั้นแล้วเอ่ย “นี่คือแม่เ้า นี่คือสวี่ชิวเยวี่ย ยามนี้แม่เ้าคงไม่ได้สมคบคิดกับสวี่ชิวเยวี่ยอีกแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ยอมรับยอดสามีที่พวกเราหาให้สวี่ชิวเยวี่ยแล้ว ไม่จำเป็ต้องเล่นสกปรกอะไรกับลูกสาวแท้ๆ อย่างเ้า ทว่า... ทางฝั่งของสวี่ชิวเยวี่ยนั้นก็ไม่แน่ ข้าว่าครั้งนี้ที่จะไปอารามชีอะไรนั่น นางต้องคิดจะสร้างเื่วุ่นวายให้เ้าแน่ และพยายามที่จะอยู่ที่จวนเยี่ยนต่อไป ไม่ต้องออกเรือน”
“เ้าว่าสวี่ชิวเยวี่ยไม่อยากออกเรือนหรือ?”
ยามนี้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วสับสนจริงๆ ถึงอย่างไรในใจของนาง ที่สวี่ชิวเยวี่ยมาเมืองหลวงก็เพื่อตามหาที่พึ่งพิงแล้วจากนั้นก็ออกเรือน อาภรณ์อาหารไม่ขาด สุขสบายไปตลอดชีวิตไม่ใช่หรอกหรือ?
เยวี่ยเจาหรานส่ายนิ้วมือไปมา แล้วเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “มิใช่มิใช่ นางผู้นั้น ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากแต่งงาน เพียงแต่ไม่อยากแต่งกับคนอื่นนอกจากเ้า หรือก็คือพี่ชายของเ้าต่างหาก”
คำพูดของเขาทำให้ในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยิ่งเกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่มีเวลาให้อธิบายมาก เห็นเยวี่ยเจาหรานลุกขึ้นมา ตบที่ไหล่ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเบาๆ แล้วเอ่ยต่อ “ดูท่าไปอารามชีครั้งนี้… ข้าคงต้องไปกับเ้าด้วย ข้าถึงจะวางใจได้!”
