กู้อิ๋งอึ้งไป
“สิบกว่าปีมานี้หวังซู่เหนียงสร้างปัญหาให้ข้ากับบิดาเ้าได้ไม่เว้นวันขอเพียงนางไม่ไปทำขายหน้าข้างนอก ข้าก็จะไม่ถือสาหาความกับนางคนอย่างนางไหนเลยจะสอนสิ่งเหล่านี้ให้กับบุตรสาวได้”
นางนึกถึงพี่ใหญ่ในกาลก่อนเทียบกับพี่ใหญ่ในตอนนี้กู้อิ๋งตั้งท่าครุ่นคิดพร้อมพูดว่า “การเปลี่ยนแปลงของพี่ใหญ่เริ่มขึ้นหลังจากถูกโบยในครั้งนั้นเ้าค่ะ”
เว่ยซื่อแค่นเสียงเย็น “การโดนโบยในครานั้นได้เรียกสตินางทำให้นางได้รับรู้ถึงฐานะของตัวเอง ว่านางควรจะทำดีต่อพี่น้องอย่างพวกเ้ามิฉะนั้น ข้าคงจะไม่อาจทนต่อพวกนางสองแม่ลูกได้” เว่ยซื่อกล่าวคำพูดทั้งหมดนี้ด้วยน้ำเสียงปกติทว่ามีเพียงตัวนางเองเท่านั้นที่รู้ความหมายเื้ัถ้อยคำเหล่านี้
สองสามีภรรยาเสิ่นนั่งรถม้ากลับบ้านไปแล้ว กู้เจิง เสิ่นเยี่ยนและชุนหงจึงต้องให้รถม้าของจวนกู้มาส่งกลับบ้าน
ในยุคสมัยที่พระอาทิตย์ขึ้นก็ควรตื่น พระอาทิตย์ตกก็ควรพักผ่อน* ถนนยามดึกดื่นค่ำคืนดังในเวลานี้จึงเงียบสงัดนักมีเพียงเสียงสุนัขเห่าหอนดังขึ้นบ้างเป็ครั้งคราว
(* หมายถึงวิถีชีวิตของคนสมัยโบราณ)
เสิ่นเยี่ยนนั่งหลังตรงเช่นเคยเขาเหลือบมองภรรยาที่ดูเงียบขรึมขึ้น ปกตินางจะชอบยิ้มอยู่บ่อยๆ เวลานางยิ้มใบหน้าของนางจะดูอ่อนหวานเป็พิเศษและเวลาที่นางสบตาเขา ดวงตาคู่นั้นของนางจะเปล่งประกายระยิบระยับเขาเลยไม่คุ้นเคยกับความเงียบของนางในตอนนี้นัก
“เ้าเป็อะไรไป?”
เสิ่นเยี่ยนถามอย่างกะทันหันทำให้กู้เจิงประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่มีอะไรเ้าค่ะ”
“เ้าช่างพูดช่างจามาตลอดไม่ใช่หรือ?”
นางเนี่ยนะช่างพูดช่างจา? ทำไมตัวนางเองถึงไม่รู้สึกอย่างนั้น กู้เจิงมองเขาด้วยความงุนงง
“เื่ท่านน้าเฝิง ท่านแม่เ้าว่ายังไงบ้าง?”
กู้เจิงนั่งคิดมาตลอดทางว่าจะเล่าเื่นี้ให้เขาฟังอย่างไรดีแต่ในเมื่อเขาถามขึ้นแล้ว นางจึงเล่าให้เขาฟัง “ท่านแม่ตกลงจะให้หลัวฉี่เก๋อดูแลเื่เสื้อผ้าในจวนต่อส่วนทางฝั่งจวนตวนอ๋องคงต้องรอหลังน้องสามแต่งงานไปแล้วถึงค่อยว่ากันจุดประสงค์ของท่านแม่คือหวังว่าท่านน้าจะแสดงท่าทีต่อเื่ของน้องหงซานเ้าค่ะ”
คิ้วของเสิ่นเยี่ยนขมวดมุ่น เขาไม่คิดว่าจะมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น “ั้แ่ขึ้นรถมาเ้าก็คิดแต่เื่นี้หรือ?”
“ไม่ใช่เ้าค่ะ เื่นี้นายหญิงแก้ปัญหาเองได้ ข้าไม่จำเป็ต้องเข้าไปยุ่ง” ในเมื่อแรกเริ่มเดิมทีเว่ยซื่อก็ไม่ได้บอกเื่นี้แก่นางและซู่เหนียงนั่นแปลว่าอีกฝ่ายไม่้าให้พวกนางรู้ นางจึงไม่ได้กังวลมากนัก
เสิ่นเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรอีกทว่าเขาเอาแต่มองจ้องกู้เจิงอย่างไม่วางตา เหมือนรอคอยให้กู้เจิงพูดอะไรขึ้นอีก
แต่ยามนี้ กู้เจิงไม่อยากพูดอะไรแล้วนางจำเป็ต้องคิดให้ดีว่าจะทำอย่างไรต่อไป หลังจากมาที่นี่แม้เื่ราวจะไม่เป็ไปอย่างที่นางคาดหวัง แต่ก็นับว่าผ่านไปได้ด้วยดีนางได้รับอิสรภาพ ซู่เหนียงมีชีวิตสุขสบาย ส่วนสามีก็ดูท่าจะมีอนาคตที่ดีตัวนางเองทั้งรู้หนังสือและทำบัญชีเป็ นับว่ามีความรู้ความสามารถแล้วอีกไม่นานนางก็จะเอาร้านหนังสือมาจัดการดูแลเอง แม้กระบวนการขั้นตอนต่างๆอาจล่าช้าไปบ้าง แต่ตอนนี้นางก็มีความสุขดีอยู่
เสิ่นเยี่ยนนั้นมองนางอย่างไม่วางตาจริงๆ กู้เจิงทำได้แค่ฝืนยิ้มออกมา “คาดว่าไม่เกินสองวันนายหญิงคงจะเชิญน้าเฝิงไปพูดคุยเื่นี้ที่จวน หากเื่ออกมาไม่ดีท่านว่าจะมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างมารดาท่านกับท่านน้าเฝิงไหมเ้าคะ?”
“เมื่อครู่เ้าบอกว่าไม่ได้คิดเื่นี้ไม่ใช่หรือ?”
กู้เจิง “...” พอนางพูดออกไปเขาก็กลับประชด
“ข้าอยากฟังความจริง”
“ที่ข้าพูดคือความจริงเ้าค่ะ”
สายตาที่เขามองกู้เจิงฉายแววไม่เชื่อแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา
ยามที่บุรุษผู้นี้ทำหน้าไร้อารมณ์ผู้คนที่เห็นจะต้องรู้สึกหวาดกลัวมากทีเดียวบัดนี้กู้เจิงเดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เสิ่นเยี่ยนปรายตามองหญิงสาวที่นั่งเงียบๆอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเฉยชา
“ทุกครั้งที่นั่งรถม้า ข้าต้องนั่งตัวตรงเช่นนี้ตลอดเหนื่อยมากเลยเ้าค่ะ” กู้เจิงเอ่ยขึ้นพร้อมทิ้งกายลงพิงสามีอย่างอ่อนแรง
เสิ่นเยี่ยนทำเป็หลับตาพักผ่อน
“ท่านพี่เ้าคะ” กู้เจิงกอดแขนเขาไว้พลางออดอ้อนเสียงหวาน
อีกฝ่ายยังนิ่งไม่ไหวติง
กู้เจิงเบ้ปาก แผนการอ่อยเหยื่อเป็อันล้มเหลวนางจึงได้แต่พูดออกมาอย่างไม่ปิดบังว่า “ข้ากำลังคิดถึงฐานะของซู่เหนียงอยู่เ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนลืมตาขึ้นมองนาง “เพราะซู่เหนียงของเ้าไม่ได้มากินข้าวด้วยกันกับเราหรือ?”
คุยกับคนฉลาดนี่นะ กล่าวเพียงแค่ประโยคเดียวเขาก็เข้าใจแล้วกู้เจิงพยักหน้า “พวกเรากลับไปกินข้าวที่จวนกู้กันตั้งหลายคราซู่เหนียงของข้าไม่เคยได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารเลยสักครั้งข้าเองก็ทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างภรรยาเอกกับอนุภรรยาดีแต่ในใจข้ากลับรู้สึกไม่ดีอยู่บ้างเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนเงียบลงอีกครั้ง เขานั่งมองผ้าม่านอย่างครุ่นคิด
กู้เจิงถลึงตาใส่สามีอย่างขุ่นเคือง ตอนแรกนางก็ไม่ได้อยากจะพูดเพราะกลัวโดนคนหัวเราะเยาะและหาว่าพูดพร่ำเพ้อเจ้อ คิดฝันลมๆ แล้งๆหรือหนักไปกว่านั้นอาจจะถูกกล่าวหาว่าทำผิดธรรมเนียมปฏิบัติกฎระเบียบการแบ่งชนชั้นสูงต่ำนั้นมีมาอย่างเคร่งครัด นางจะฝ่าฝืนไปได้อย่างไร
“ดังนั้นเ้าจึงหวังว่าข้าจะได้เป็จ้วงหยวนหรืออย่างน้อยก็ต้องสอบได้อันดับต้นๆเพื่อเ้ากับซู่เหนียงจะได้มีตำแหน่งฐานะที่มั่นคงขึ้นหรือ”
เขาฉลาดมากถึงเพียงนี้เชียว? แม้จะถูกเสิ่นเยี่ยนจับได้ถึงสิ่งที่นางคิด แต่กู้เจิงกลับไม่อายเลยสักนิดเฮ้อ นางคงหน้าหนาขึ้นมาหน่อยแล้วจริงๆ นางทำเป็กอดแขนเขาไว้แน่นดูท่านี่จะเป็แขนทองคำของนาง กู้เจิงอมยิ้มออดอ้อน “ท่านพี่เป็เสาหลักของบ้านเรา หากท่านมีอนาคตสดใสบิดามารดาท่านย่อมดีใจมาก และแน่นอนว่าข้ายิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ แต่ว่าต่อให้ท่านพี่สอบไม่ติดสักอันดับข้าก็จะใช้ชีวิตร่วมกับท่านอย่างมีความสุข จริงๆ นะเ้าคะ” ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมานี้ จุดสำคัญอยู่ในประโยคสุดท้าย
“อย่างนั้นหรือ?”
“ใช่เ้าค่ะ ท่านพี่ไม่เพียงแต่มีความรู้รอบด้านหน้าตาก็หล่อเหลาขนาดนี้ สตรีทุกคนล้วนต้องหวั่นไหวแน่เ้าค่ะ” กู้เจิงพูดด้วยสีหน้าจริงใจ
“เ้าก็หวั่นไหวด้วยหรือ?”
กู้เจิงพยักหน้า นางเกยศีรษะครึ่งหนึ่งพิงบนไหล่เขา พลางยิ้มตาหยี “ข้าชอบท่านพี่เ้าค่ะ”
ใบหน้าด้านข้างของหญิงสาวงดงามราวกับภาพวาดยิ่งยามที่นางเงยหน้าส่งยิ้มหวานให้เขาเช่นนี้เป็อีกหนึ่งความงามที่ทำให้ผู้คนอยากได้ไว้ เสิ่นเยี่ยนหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าจุมพิตบนริมฝีปากแดงที่เขาอยากลิ้มลองมานานโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ริมฝีปากแดงสั่นระริก เดิมสองมือที่กอดแขนเสิ่นเยี่ยนไว้ตั้งใจจะผลักเขาออกแต่เขากลับเป็ฝ่ายผละออกกะทันหันชั่วขณะนั้นกู้เจิงคิดว่าััที่แตะผ่านเมื่อครู่นั้นเป็เพียงภาพหลอน ทว่าจู่ๆสองมือของเขาก็จับลงบนเอวของนาง พร้อมอุ้มนางขึ้นเบาๆร่างทั้งร่างของนางขึ้นมานั่งอยู่บนตักเขา
เขาจับคางของนางด้วยมือเดียวแล้วยกมันขึ้นเล็กน้อยจากนั้นจึงก้มหน้าลงประกบปากนางอีกครั้ง โดยที่นางยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงร้องออกมา
เขาแค่เปลี่ยนท่า เพื่อที่จะได้จูบนางง่ายขึ้นเท่านั้นเอง
จุมพิตที่ไม่ทันตั้งตัวนี้ ทำให้กู้เจิงไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธได้แต่ยอมเป็ผู้ถูกกระทำในฉากจูบที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด
หากถามว่านางมีความรู้สึกอย่างไร ตอบได้ว่าเหมือนโดนลงโทษอีกฝ่ายกัดนางจนเจ็บ นางแค่เม้มปากเพียงเล็กน้อย เขากลับยิ่งบดริมฝีปากของนางให้เผยอออกเพื่อแทรกลิ้นของเขาเข้ามาเขาทั้งร้อนแรงและดุเดือดภาพลักษณ์ของชายหนุ่มผู้สงบเสงี่ยมสุขุมไร้ซึ่งความปรารถนาของเขาได้พังทลายลงในพริบตา
หลังจากกู้เจิงพยายามดิ้นรนนับครั้งไม่ถ้วนทว่ากลับไม่เป็ผลนางจึงได้แต่ยอมแพ้
จนเขาปล่อยนางในที่สุด หางตาของกู้เจิงเคล้าไปด้วยหยาดน้ำตาสีหน้าราวกับร่ำไห้ “เจ็บเ้าค่ะ”
เสิ่นเยี่ยนมีสีหน้าวาบหวามเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็ปกติดวงตาดำขลับจับจ้องบนริมฝีปากของภรรยาที่ถูกตนแทะเล็มจนบวมเป่งมุมปากเขายกยิ้มจางๆ อย่างพอใจ “ปากเ้าบวมหมดแล้วคราวหน้าข้าจะระวังกว่านี้”
“ถ้าท่านพ่อท่านแม่เห็น ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” กู้เจิงซุกหน้าในอ้อมอกเขาในสภาพเหมือนอ่อนแอหมดหนทาง
“ข้าจะอุ้มเ้าเข้าห้องเอง ถ้าพบใคร ก็จะบอกว่าเ้าหลับไปแล้ว”
“อ้อ”
เมื่อถึงบ้านชุนหงที่นั่งข้างสารถีอยู่ด้านนอกรถจึงหันไปเลิกม่านขึ้นเพื่อบอกคนด้านในว่าถึงบ้านแล้วแต่เมื่อเปิดม่านเข้าไปก็เห็นท่านบุตรเขยกำลังอุ้มคุณหนูเขามองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “นางหลับไปแล้ว”
ชุนหง “...” เห็นๆอยู่ว่าคุณหนูกำลังยิ้มมองนาง
วันที่เสิ่นเยี่ยนต้องเข้าไปสอบในพระราชวังทั้งฝนและหิมะได้ตกลงพร้อมกัน ทำให้อากาศยิ่งหนาวจัดเป็สัญญาณว่า่เวลาที่หนาวที่สุดได้มาถึงอย่างแท้จริง
กู้เจิงตื่นแต่เช้าตรู่ นางกับชุนหงกำลังช่วยกันเตรียมอาหารเช้านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางทำอาหารเช้า วันนี้อาหารที่นางทำเป็ข้าวต้มทรงเครื่องนางใส่ขนมเข่งและผักกาดขาวลงไปต้มรวมด้วยเมื่อสุกแล้วค่อยเติมเกลือและน้ำมันหมูลงไปจะช่วยให้หอมและรสชาติดียิ่งขึ้น
“วันนี้อากาศหนาวนัก นอนต่ออีกสักหน่อยก็ได้เ้าไม่จำเป็ต้องทำอาหารเช้าให้พวกเราทุกวันหรอก” นายหญิงเสิ่นเข้ามาในห้องครัวเห็นลูกสะใภ้ทำอาหารเช้าอยู่ในใจก็นึกขอบคุณ แต่ที่นางเอ่ยออกมา ก็มาจากใจจริงเช่นกันอาหารเช้าของคนไม่กี่คนนางก็ทำได้ไม่เหนื่อยอะไร
“ท่านแม่ วันนี้ท่านพี่จะเข้าไปสอบในวังข้าเลยอยากทำอาหารเช้าให้เขาด้วยตัวเองน่ะเ้าค่ะ” กู้เจิงตักข้าวต้มใส่ทีละชาม
นายท่านเสิ่นกับเสิ่นเยี่ยนเพิ่งเดินเข้ามาในครัวพอดีทั้งสองคนจึงได้ยินคำพูดนี้ของกู้เจิง นายท่านเสิ่นตบไหล่ลูกชายเบาๆ “อาเยี่ยน วันนี้เ้าต้องตอบคำถามให้ดี อย่าให้อาเจิงผิดหวังล่ะ”
เสิ่นเยี่ยนมองภรรยาที่กำลังยุ่งอยู่กับการยกอาหารเช้าเขาส่งเสียงตอบรับบิดาเบาๆ