เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของหญิงสาว มุมปากของเย่เช่อก็ยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว
อวิ๋นจื่อเดินเร็วขึ้นเล็กน้อยจนเกือบชนเข้ากับต้นชบา นางกังวลเป็อย่างมากว่าจมูกของนางจะได้รับาเ็ แต่จะกังวลตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว จู่ๆ เย่เช่อก็กอดนางไว้แน่น
นางััได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของอีกฝ่าย อวิ๋นจื่อเอามือโอบรอบคอเขาโดยสัญชาตญาณ นางไม่กล้าสบตาเขาจึงหันไปมองปี้จื่อที่ขึ้นอยู่บนพื้นแทน
นางถามอย่างเขินอายว่า “พืชชนิดนี้ดูมีชีวิตชีวาจริงๆ มันมีชื่อเรียกหรือไม่?”
มือของเย่เช่อแข็งเกร็งเล็กน้อย เขาหยุดการเคลื่อนไหวและกล่าวว่า “นี่คือปี้จื่อ”
“ปี้จื่อหรือ?” อวิ๋นจื่อถามย้ำก่อนจะพูดต่อว่า “ชื่อนี้ฟังดูมีเอกลักษณ์มาก แม้ว่า…”
“แม้ว่ามันจะดูไม่สะดุดตา” เย่เช่อกล่าวแทรกทั้งที่นางยังพูดไม่ทันจบ
หญิงสาวรู้สึกว่าลิ้นของนางพันกันจนพูดไม่ได้ศัพท์ “ข้า...ข้า...ข้า...ข้า...นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้า้าจะพูด”
เย่เช่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้”
หญิงสาวผินหน้ากลับมาและสบตาเย่เช่อโดยบังเอิญ
การสบตาครั้งนี้คล้ายกับการสบตาในค่ำคืนที่เงียบสงัดครั้งก่อน มีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้กำลังผลิบานเงียบๆ
ดวงตาของเย่เช่อนั้นงดงาม ั์ตาของเขาทอประกายลึกล้ำราวกับค่ำคืนอันไร้แสงดาว เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเขา อวิ๋นจื่อก็มองเห็นเงาสะท้อนของตนเอง เส้นผมสีดำขลับของเขากระจัดกระจายอย่างไม่เป็ระเบียบ แววตาของเขาดูหมองเศร้าเล็กน้อย
ทั้งสองสบตากันเช่นนี้ แต่หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว ชายหนุ่มก็ถอนสายตากลับมา
เย่เช่อคิดว่าการกระทำของเขาออกจะไร้มารยาทไปหน่อย แม้ว่าเขาจะหลบตา แต่หัวใจของเขากลับรู้สึกจั๊กจี้ราวกับถูกแมวข่วน และเขาอยากจะทำอะไรสักอย่าง
ทันทีที่ก้มศีรษะลง เย่เช่อก็เห็นริมฝีปากสีแดงสดที่ชุ่มฉ่ำของหญิงสาว กลิ่นหอมหวานอันเป็เอกลักษณ์ของนางลอยมาแตะจมูก แค่เขากอดนางไว้ ร่างกายอันนุ่มนิ่มก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว
ทั้งหมดดูราวกับความฝันอันสวยงาม เมื่ออยู่ในความฝันเช่นนี้ เย่เช่อเพียง้าลิ้มลองรสชาติที่หอมหวานที่สุดในโลก
เขาจูบเส้นผมของนางและกล่าวเบาๆ ว่า “ปี้เหยียน เ้าเป็หญิงสาวที่จิตใจดีมาก”
อวิ๋นจื่อรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ถ้าเป็ตัวตนเดิมแน่นอนว่านางสามารถรับคำชมนี้ไว้อย่างไม่ละอายใจ อย่างไรก็ตาม เพียงชั่วข้ามคืนนางก็กลายเป็คณิกาไปแล้ว นางจึงไม่เข้าใจว่า “จิตใจดี” ที่เขาพูดถึงคืออะไร
หากยังอยู่ในตัวตนเดิม อวิ๋นจื่อคงตอบไปแล้วว่า “แน่นอน ข้าคิดว่าตนเองจิตใจดีอยู่แล้ว”
แต่ในขณะนี้อวิ๋นจื่อกลับมองเขาอย่างอับจนหนทาง สีหน้าของนางตกอยู่ในสายตาของเย่เช่อและทำให้เขารู้สึกสงสารนางมากยิ่งขึ้น
“คุณชายล้อข้าเล่นแล้ว” นางกล่าว “ข้าไม่ใช่คนดีเลิศอะไร”
เย่เช่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เ้าเก่งและดีในแบบของเ้า”
อวิ๋นจื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน นางไม่ได้ต่อความยาวสาวความยืด เพียงกล่าวว่า “คุณชาย ได้โปรดปล่อยข้า!”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนาง หัวใจของเย่เช่อก็สั่นสะท้าน บุปผาทั้งลานยังงดงามไม่เท่ารอยยิ้มของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีอย่างยิ่งที่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ในเมืองหยงโจวทำให้นางได้มาอยู่เคียงข้างเขา เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันนุ่มนวลของหญิงสาว เย่เช่อก็รู้สึกสบายใจอย่างมาก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แต่ข้าไม่้าปล่อยเ้า เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไรดี?”
เมื่ออวิ๋นจื่อเงยหน้าสบตาเขา นางก็ััได้ถึงความรักอันแรงกล้า สายตาที่ร้อนแรงของเขาทำให้จิตใจของนางเหมือนมีบางอย่างผุดขึ้นมา สิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้เอ่อล้นในหัวใจของหญิงสาว นางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป
หลังจากมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง เย่เช่อก็พานางเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้ว
บ่าวรับใช้ในห้องโถงใหญ่ต่างทำความเคารพเย่เช่ออย่างนอบน้อมและมองไปที่อวิ๋นจื่อในชุดสีชมพูอ่อนด้วยสายตาไม่เป็มิตรนัก ความดูแคลนฉายออกมาผ่านสายตาของพวกเขาอย่างชัดเจน
ด้วยการแต่งกายแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ต้องมองออกว่านางเป็หญิงสาวจากหอคณิกา
บ่าวรับใช้ที่ทำความเคารพเย่เช่อยืนขึ้น พวกเขามีท่าทางลังเลและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
เมื่อเย่เช่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกรำคาญและไล่ทุกคนออกจากห้อง เขาวางร่างอวิ๋นจื่อไว้บนตั่งนุ่มในห้องโถงใหญ่อย่างระมัดระวังและกล่าวว่า “เ้า้าดื่มอะไร?”
อวิ๋นจื่อกระซิบ “ข้าดื่มอะไรก็ได้ แค่ได้มาเยือนสถานที่พิเศษของคุณชายข้าก็มีความสุขมากแล้ว ชาสักกาก็ได้”
ขณะที่รินชาเย่เช่อก็กล่าวว่า “ที่นี่มีเพียงชาหอมหมื่นลี้ที่ได้รับความนิยมในเมืองอวิ๋นเมิ่ง ลองชิมดูสิ!”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “การได้ดื่มชาหอมหมื่นลี้ในฤดูกาลนี้ช่างน่าพึงพอใจเสียจริง”
ขณะที่ดื่มชาเย่เช่อก็มองอวิ๋นจื่อด้วยรอยยิ้มพร่างพราว
อวิ๋นจื่อรู้สึกอายเล็กน้อย “คุณชาย เหตุใดท่านถึงเอาแต่มองข้า? หรือมีดอกไม้ติดอยู่บนหน้าข้า?”
เย่เช่อยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “เพราะเ้าน่ามอง”
อวิ๋นจื่อหัวเราะคิกคัก “คุณชายคงจะทานขนมหวานมากไป สิ่งที่กล่าวออกมาถึงได้ฟังดูหวานเช่นนี้”
หลังจากดื่มชาได้ครู่หนึ่ง เย่เช่อก็ดึงนางให้ลุกขึ้นจากตั่ง อวิ๋นจื่อเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย แต่เย่เช่อไม่พูดอะไร เพียงจูงมือนางเดินผ่านซุ้มดอกไม้และต้นหลิวไปยังสวน ที่นั่นมีต้นไม้สูงใหญ่แลดูเขียวชอุ่มซึ่งปกคลุมด้วยดอกสีม่วงและผลสีเขียวที่งดงามแปลกตา
อวิ๋นจื่อไม่เคยเห็นต้นไม้ชนิดนี้มาก่อน ดังนั้นนางจึงได้แต่มองด้วยความสงสัย
หลังจากนั้นไม่นาน เย่เช่อก็นำตะกร้าผลไม้มาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่คือต้นอวิ๋นซู่[1] มันค่อนข้างพบเห็นได้ยากในหยงโจว ข้านำมันกลับมาจากหวยโจวเมื่อไม่กี่ปีก่อน ไปเก็บผลของมันกันเถอะ”
ใบหน้าเล็กๆ ของอวิ๋นจื่อเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของนางเป็ประกาย นางถามด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ผลไม้ที่งดงามเช่นนี้กินได้ด้วยหรือ?”
พูดจบมือเล็กก็หยิบผลไม้ขึ้นมาลูกหนึ่ง
ทั้งสองเก็บไปพูดคุยไปจนผลไม้เต็มตะกร้าในเวลาอันรวดเร็ว
อวิ๋นจื่อมองไปที่ผลไม้จำนวนมากในตะกร้า นางขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าเก็บมามากมายเช่นนี้คงกินไม่หมดแน่”
เย่เช่อกล่าวว่า “ผลไม้นี้ไม่เพียงแต่ทานดิบๆ ได้เท่านั้น แต่ยังทานตอนสุกได้ด้วย หรือหากเ้ากินไม่หมด เ้าสามารถนำกลับไปแบ่งปันกับพี่น้องในหอจุ้ยฮวนของเ้าก็ได้”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เย่เช่อเรียกบ่าวให้นำตะกร้าใบใหม่มาคัดเลือกผลไม้ไปบางส่วนและส่งไปที่ครัว จากนั้นเขาก็หยิบตะกร้าและจูงมืออวิ๋นจื่อออกไป
ในสวนขนาดใหญ่ชายหญิงเดินจูงมือกันท่ามกลางต้นไม้สีเขียว ดูเหมาะสมกลมกลืนและงดงามยิ่ง
------------------------
[1] อวิ๋นซู่ต้นเมฆา มีชื่อเรียกว่ามังคุดยูนนาน อยู่ในสกุลส้มแขก เปลือกสีน้ำตาลเข้ม โคนมน และขึ้นหนาแน่นที่ยอดลำต้น ผลมีรสหวานอมเปรี้ยว เมื่อสุกสามารถรับประทานได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้