ซิ่วเอ๋อร์สวมรองเท้า แล้วลงจากเตียง ในห้องไม่มีกระจก นางจึงใช้มือรวบผมขึ้นมวยไว้หลวมๆ อย่างลวกๆ เมื่อคลำมวยผมที่ไม่ค่อยเป็ทรงนักที่ท้ายทอย นางจึงตระหนักได้ว่าตนเองได้แต่งงานกับเขาแล้วจริงๆ
พอผลักประตูห้องออกไป แสงตะวันก็สาดส่องต้องใบหน้าพอดี นางได้ยินเสียงเคลื่อนไหวมาจากลานหลังบ้าน จึงค่อยๆ ก้าวเท้าเดินไปทางนั้น
ที่ลานหลังบ้าน มีห้องครัวเล็กๆ สร้างชิดกำแพงอยู่ จางเจิ้นอันกำลังนั่งยองๆ ก่อไฟในเตา ดูเหมือนกำลังจะทำอาหาร ซิ่วเอ๋อร์รีบเดินเข้าไปหาเขา แล้วกล่าวเสียงเบา “ให้ข้าทำเองดีกว่าเ้าค่ะ”
โบราณว่า 'บุรุษไม่เข้าครัว' แม้แต่ในหมู่บ้านชิงสุ่ยแห่งนี้ ก็ไม่มีธรรมเนียมให้ผู้ชายต้องมาทำอาหาร แต่วันนี้เป็วันแรกหลังแต่งงาน นางกลับมัวแต่นอนเกียจคร้านอยู่บนเตียง ปล่อยให้สามีต้องมาทำครัวเอง เขาคงจะโกรธแล้วกระมัง?
อันซิ่วเอ๋อร์แอบชำเลืองมองสีหน้าของจางเจิ้นอัน แต่เขายังคงนั่งอยู่บนม้านั่งเตี้ยตัวนั้น ไม่ได้ขยับไปไหน ในมือถือเหล็กคีบถ่าน ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เ้าไปล้างหน้าล้างตาก่อนเถิด วันนี้เ้าใช้กิ่งหลิวไปก่อนก็แล้วกัน รออีกสองสามวันถึงวันตลาดนัด ข้าจะเข้าไปซื้อแปรงสีฟันมาให้”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ ข้าใช้กิ่งหลิวก็ได้” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าจางเจิ้นอันไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง ก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก นางยิ้มให้เขา มุมปากมีลักยิ้มบุ๋มลงไปเล็กน้อย ดูน่ารักน่าเอ็นดู
แม้จางเจิ้นอันจะแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการมีภรรยา ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านจึงมีเพียงชุดเดียวสำหรับเขาเท่านั้น อันซิ่วเอ๋อร์จึงหยิบชามใบหนึ่งจากตู้กับข้าวไปล้าง พอเห็นว่าบนโต๊ะเล็กมุมห้องมีกิ่งหลิวที่เขาเตรียมไว้ให้แล้ว นางจึงหยิบมาหนึ่งกิ่ง บิปลายให้แตกเป็ฝอย แล้วใช้แปรงฟันขาวสะอาดเรียงสวยของตน
เมื่อบ้วนปากเสร็จ นางก็หากะละมังไม้ใบหนึ่งมา กะละมังใบนี้ยังคงส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเนื้อไม้ เป็หนึ่งในไม่กี่สิ่งที่นางได้มาพร้อมกับสินเดิม
“ต่อไปข้าจะใช้กะละมังใบนี้ล้างหน้านะเ้าคะ” อันซิ่วเอ๋อร์ชี้ไปที่กะละมังไม้ที่วางอยู่บนพื้นแล้วกล่าวบอกเขา
“ตามใจเ้า” เื่เล็กน้อยเช่นนี้ จางเจิ้นอันหาได้ใส่ใจไม่
“อ้อ” เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของจางเจิ้นอัน อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เดิมทีนางหาผ้าเช็ดหน้าไม่เจอ กะว่าจะลองถามเขาดู คราวนี้จึงได้แต่ใช้น้ำเย็นลูบหน้า แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดพอให้แห้ง
น้ำในตอนเช้าค่อนข้างเย็นะเื พอถูกผิวหน้า อันซิ่วเอ๋อร์ก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
จางเจิ้นอันยังคงง่วนอยู่กับการก่อไฟในครัว นางเองก็ไม่มีอะไรทำ จึงได้แต่เดินไปยืนข้างเตาไฟ สบตากับเขา แล้วหาเื่ชวนคุย “ท่านกำลังต้มอะไรหรือเ้าคะ? หอมเหลือเกิน”
“โจ๊ก” จางเจิ้นอันยังคงหวงคำพูดดุจทองคำเช่นเคย
“อ้อ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า แล้วกล่าวต่อ “เมื่อก่อนตอนอยู่บ้าน ข้าไม่เคยได้กินอาหารเช้าเลย ทุกวันกินเพียงสองมื้อเท่านั้น” พลางชำเลืองมองสีหน้าเขา แล้วลองถามดู “แล้วต่อไป...พวกเราจะกินสองมื้อหรือสามมื้อดีเ้าคะ?” คนชนบทส่วนใหญ่มักยากจน จึงนิยมกินข้าวเพียงวันละสองมื้อเท่านั้น
จางเจิ้นอันไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองอันซิ่วเอ๋อร์อย่างพิจารณา เห็นนางรูปร่างบอบบาง เอวเล็กคอดกิ่ว ราวกับว่าเขาสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวโอบรอบได้สบายๆ
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมนางถึงได้ผอมบางเช่นนี้ ที่แท้ก็เพราะอดอยากนี่เอง
อันซิ่วเอ๋อร์ถูกสายตาเขามองสำรวจ ก็รู้สึกแก้มร้อนผ่าวขึ้นมา ในใจพลันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “เ้าวางใจเถิด เมื่อข้าแต่งเ้าเข้ามาแล้ว จะไม่ปล่อยให้เ้าต้องอดอยาก สิ่งอื่นข้าอาจให้เ้าไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็จะไม่ปล่อยให้เ้าต้องทนหิวโหย”
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ราวกับได้ยินคำมั่นสัญญาที่สำคัญยิ่ง นางเบิกตากว้าง พยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วกล่าวกับจางเจิ้นอันอย่างจริงจังว่า “ท่านก็วางใจเถิดเ้าค่ะ เมื่อข้าแต่งให้ท่านแล้ว ข้าก็จะตั้งใจดูแลท่านอย่างดีที่สุดเช่นกัน”
ท้ายที่สุด นางก็กล่าวเสริมอีกประโยคว่า “ตราบใดที่ท่านไม่ทำร้ายข้า ข้าก็จะไม่มีวันทิ้งท่านไปไหน”
จางเจิ้นอันฟังประโยคแรกก็รู้สึกอบอุ่นใจดี แต่พอฟังประโยคหลังกลับรู้สึกแปลกๆ อย่างไรชอบกล หรือว่า...เขาดูเหมือนคนที่จะชอบทำร้ายทุบตีสตรีมากนักหรือ?
แต่เขาก็ยังอธิบายอย่างจริงจังว่า “ตราบใดที่เ้าไม่ทำให้ข้าโกรธ ข้าก็จะไม่ทำร้ายเ้า”
“แล้วเมื่อใดท่านถึงจะโกรธหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์ถามด้วยความกังวล ในหมู่บ้านมีบุรุษมากมายที่ชอบทุบตีภรรยา นางไม่อยากถูกทุบตีเลยแม้แต่น้อย จึงต้องสอบถามให้แน่ใจ จะได้ไม่เผลอไปทำสิ่งที่เขาไม่ชอบ
“เื่นี้ข้าก็บอกไม่ได้หรอก” อารมณ์ความรู้สึกของคนเราจะควบคุมได้อย่างไร “เ้าคงไม่ทำให้ข้าโกรธได้ง่ายๆ หรอก”
“อืม นั่นสินะเ้าคะ ข้าเป็คนว่านอนสอนง่าย จะไม่ทำให้ท่านโกรธแน่นอน” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางเผยรอยยิ้มสบายใจออกมา แล้วกล่าวต่ออีกว่า “หากต่อไปข้าทำสิ่งใดไม่ดี ท่านต้องบอกข้านะเ้าคะ ข้าจะได้รีบแก้ไข จะได้ไม่ทำให้ท่านโกรธ”
จางเจิ้นอันมองดูรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของนาง รู้สึกว่านางช่างดูอ่อนเยาว์และไร้เดียงสา แต่หญิงสาวที่ดูเหมือนจะเข้าใจโลกและปรับตัวได้ง่ายเช่นนี้ หากได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจริงๆ ก็คงจะไม่ลำบากจนเกินไปนัก
“อ๊ะ โจ๊กของเราน่าจะได้ที่แล้วกระมังเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์สูดจมูกฟุดฟิด รู้สึกว่ากลิ่นหอมของข้าวต้มผสมกับกลิ่นเนื้อต้มฟุ้งกระจายไปทั่วห้องครัว แม้นางจะไม่ค่อยได้กินอาหารเช้า แต่พอได้กลิ่นหอมยั่วน้ำลายเช่นนี้ ก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที จึงอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหมายจะเปิดฝาหม้อ
“เ้าหลีกไป ข้าทำเอง” พอเห็นมือน้อยๆ เรียวบางของนางกำลังจะไปยกฝาหม้อไม้ที่หนักอึ้ง จางเจิ้นอันก็รีบลุกขึ้นยืน เขารูปร่างสูงใหญ่จึงยกฝาหม้อขึ้นได้อย่างง่ายดาย แล้วนำไปวางพิงไว้ที่กำแพงอีกด้านหนึ่ง
อันซิ่วเอ๋อร์จึงเดินไปหยิบชามสองใบจากตู้กับข้าว พอเห็นว่าขอบชามยังมีคราบข้าวแห้งกรังติดอยู่เล็กน้อย นางก็อดขำไม่ได้ ที่แท้ที่เขาว่าผู้ชายไม่ควรเข้าครัว ก็คงเป็เพราะเหตุนี้กระมัง
นางแอบหันหลังให้จางเจิ้นอัน แล้วใช้เล็บขูดคราบข้าวที่ติดอยู่ขอบชามออก จากนั้นจึงไปตักน้ำมาล้างชามอีกครั้งจนสะอาด แล้วจึงถือชามเดินมาวางไว้บนขอบเตา กล่าวว่า “ประตูตู้กับข้าวปิดไม่ค่อยสนิทนัก ฝุ่นคงเข้าไปเกาะ ข้าเลยเอาไปล้างน้ำอีกทีเ้าค่ะ”
“อืม” จางเจิ้นอันไม่ได้สงสัยอะไร เพียงหยิบชามมาตักโจ๊ก อันซิ่วเอ๋อร์กำลังจะเข้าไปช่วยยก แต่เขากลับกวาดสองมือไปบนเตา ยกชามโจ๊กเดินนำไปยังห้องโถงเสียแล้ว
อันซิ่วเอ๋อร์รีบหยิบตะเกียบสองคู่มาล้างน้ำ แล้ววิ่งตามไปยังห้องโถง ยื่นตะเกียบให้เขา จางเจิ้นอันยื่นมือมารับ ไม่ได้พูดอะไร เพียงก้มหน้าก้มตากินโจ๊กในชามของตน
อันซิ่วเอ๋อร์ก็ก้มหน้าลงกินโจ๊กเช่นกัน ในโจ๊กมีเนื้อสับหยาบๆ ข้าวที่ใช้ก็เป็ข้าวสารอย่างดี ต้มด้วยไฟแรงจนข้น รสชาติอร่อยกลมกล่อมอย่างยิ่ง
“อร่อยมากเลยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมเขา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจนาง อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย จึงก้มหน้ากินโจ๊กของตนเงียบๆ
ทั้งสองกินเสร็จเกือบจะพร้อมกัน แต่อันซิ่วเอ๋อร์ใช้ชามใบเล็ก ส่วนจางเจิ้นอันใช้ชามใบใหญ่
“เ้าอิ่มแล้วรึ?” จางเจิ้นอันเงยหน้าขึ้นมองอันซิ่วเอ๋อร์
“อืมๆๆ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบพยักหน้า
“แค่นี้ก็กินไม่ลงแล้ว?” จางเจิ้นอันเหลือบมองนาง ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่อันซิ่วเอ๋อร์กลับรู้สึกเหมือนเขาอ่านใจนางออก
“เช่นนั้น...ข้าขอกินอีกนิดหน่อยได้หรือไม่เ้าคะ?” นางจึงใช้นิ้วทำท่าประกอบเล็กน้อย ดวงตากลมโตมองเขาอย่างออดอ้อน “ข้าขอกินอีกนิดเดียวเท่านั้นเ้าค่ะ”
นางรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง สตรีที่กินจุนั้นมักถูกตำหนิ เมื่อก่อนนางเคยได้ยินมารดาบ่นว่าพี่สะใภ้กินเปลืองอยู่บ่อยๆ ในความฝันครั้งนั้น พ่อม่ายน่ารังเกียจผู้นั้นก็มักจะคอยจ้องจับผิดว่านางกินมากเกินไป แถมยังทุบตีนางเพราะเื่นี้อีกด้วย นางจึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่โจ๊กชามนี้อร่อยเกินห้ามใจจริงๆ ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะอยากกินอีก
“ถือตะเกียบไว้ให้ดี” จางเจิ้นอันลุกขึ้นยืน
อันซิ่วเอ๋อร์รีบถือตะเกียบไว้แน่น แล้วมองดูจางเจิ้นอันเก็บชามของนางเดินกลับเข้าไปในครัว แล้วก็มองดูเขาเดินกลับออกมา ก้าวเข้ามาใกล้ แล้ววางโจ๊กชามใหม่ที่เต็มเปี่ยมไว้ตรงหน้านาง “กินเถิด”
“มากเกินไปเ้าค่ะ ข้ากินไม่หมดหรอก” อันซิ่วเอ๋อร์รีบกล่าว นางอยากกินอีกนิดหน่อยก็จริง แต่กระเพาะนางไม่ได้ใหญ่โตขนาดนั้น
“กินไปก่อนเถิด กินไม่หมดค่อยว่ากัน” จางเจิ้นอันเลื่อนชามเข้ามาใกล้นางอีก อันซิ่วเอ๋อร์จึงไม่ได้ปฏิเสธอีกต่อไป มองเขาแวบหนึ่ง แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา
นางคิดว่าตนเองคงจะกินได้มาก แต่พอตักกินไปเพียงไม่กี่คำ ก็รู้สึกอิ่มจนกินต่อไม่ไหวแล้ว ไม่อยากทิ้งอาหารให้เสียของ จึงฝืนกินเข้าไปอีกสองสามคำ สุดท้ายก็จำต้องวางตะเกียบลง กล่าวว่า “ข้ากินไม่ไหวแล้วจริงๆ เ้าค่ะ”
“กินไม่ไหวก็เททิ้งไปเถิด” จางเจิ้นอันกล่าวเรียบๆ
“เสียดายแย่เลยเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รู้สึกเสียดาย นางเลื่อนชามโจ๊กไปทางเขา กล่าวว่า “เมื่อเช้าท่านก็กินไปนิดเดียวเอง”
นี่หมายความว่าอย่างไร? จางเจิ้นอันขมวดคิ้ว นางจะให้ตนกินของเหลือจากนางอย่างนั้นหรือ? ไหนนางบอกว่าจะดูแลตนอย่างดีไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใดตอนนี้กลับจะให้ตนกินข้าวเหลือจากนางเล่า?
จางเจิ้นอันมองนางอย่างไม่เข้าใจ แม้แต่เด็กสาวเอาแต่ใจในเมืองก็ยังรู้ว่าการกระทำเช่นนี้เป็การไม่ให้เกียรติอย่างยิ่ง!
แต่นางกลับมีสีหน้าจริงจัง ในดวงตาไม่มีแววดูถูกเหยียดหยามแม้แต่น้อย พอเห็นจางเจิ้นอันไม่ยอมกิน อันซิ่วเอ๋อร์ก็ก้มหน้าลง ราวกับเพิ่งสำนึกได้ว่าการกระทำของตนเองไม่เหมาะสม นางใช้มือกำชายเสื้อตัวเองไว้แน่น กล่าวเสียงอ่อย “ข้าขอโทษเ้าค่ะ ข้าเพียงคิดว่าเราเป็ครอบครัวเดียวกัน เป็สามีภรรยา เื่เล็กน้อยเช่นนี้คงไม่เป็ไร หากท่านรังเกียจ...ก็ไม่เป็ไรเ้าค่ะ เดี๋ยวข้าเก็บไว้กินตอนเที่ยงก็ได้”
เมื่อครู่ยังทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่หยกๆ แต่พอเงยหน้าขึ้นมา นางกลับยิ้มแย้ม นางเงยหน้ามองเขาแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นก็ลุกขึ้นเตรียมจะเก็บชาม
จางเจิ้นอันกลับคว้าข้อมือนางไว้ แล้วดึงชามโจ๊กมา ซดเพียงสองสามครั้งก็หมดเกลี้ยง ทำราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาใช้หลังมือเช็ดปาก วางชามลงบนโต๊ะ แล้วเดินเข้าห้องไปเฉยๆ
อันซิ่วเอ๋อร์เผยรอยยิ้มออกมาอย่างจริงใจยิ่งขึ้น นางยกชามไปเก็บในครัว แล้วนำผ้าสะอาดมาชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดโต๊ะจนสะอาดเอี่ยม
นางกำลังจะหันหลังกลับไปล้างชาม ก็เห็นจางเจิ้นอันสวมงอบใบลานเดินออกมาจากห้อง อันซิ่วเอ๋อร์รีบวางผ้าเช็ดโต๊ะลง แล้ววิ่งตามออกไปถามว่า “ท่านจะออกไปจับปลาหรือเ้าคะ?”
“อืม” จางเจิ้นอันพยักหน้า อันซิ่วเอ๋อร์จึงกล่าวว่า “ท่านรอสักครู่นะเ้าคะ” กล่าวจบก็หันหลังวิ่งกลับเข้าไปในครัว ครู่เดียวก็กลับออกมา ในมือถือกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่ง นางยื่นให้เขา กล่าวว่า “ข้างในข้าเติมน้ำสะอาดไว้ให้แล้ว ท่านชอบดื่มชาหรือไม่เ้าคะ? หากชอบ ต่อไปข้าจะได้ตื่นให้เช้าขึ้นหน่อยมาต้มน้ำชาให้”
“ไม่ต้อง ข้าไม่ค่อยชอบดื่มชาเท่าไหร่”
จางเจิ้นอันยื่นมือไปรับกระบอกไม้ไผ่มา ถือไว้ในมือแล้วพิจารณาดู กระบอกไม้ไผ่ดูเรียบง่าย แต่ก็ทำขึ้นอย่างประณีตใช้ได้ทีเดียว ตรงปากกระบอกมีคนเจาะรูไว้ แล้วใช้จุกไม้เล็กๆ อุดปิดไว้ ถึงแม้จะเผลอทำกระบอกไม้ไผ่ล้ม แต่น้ำข้างในก็จะไม่หกออกมาง่ายๆ
ที่ปลายจุกไม้มีตะปูเล็กๆ ตอกติดไว้ ร้อยเชือกเส้นเล็กๆ ผูกเชื่อมกัน รอบปากกระบอกไม้ไผ่มีลวดเส้นเล็กๆ พันรัดไว้ เชือกผูกติดอยู่กับลวดเส้นนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่าจุกไม้จะหลุดหายไปไหน
