ใต้เท้าไซไม่ได้เล่าเื่ราวของตัวเองให้ฟัง แต่หนิงมู่ฉือก็รู้ว่ามันต้องเกี่ยวกับสตรีนางหนึ่งเป็แน่ สตรีนางนั้นทำให้ใต้เท้าไซมีความทรงจำที่งดงาม ทว่าระหว่างทั้งสองกลับมีตอนจบที่น่าเศร้า กลอนที่ใต้เท้าไซกล่าวก่อนจะเดินจากไปกล่าวเอาไว้เช่นนั้น
“แม่นางหนิง ที่ท่านบอกว่าจะมาเป็แม่ครัวในจวนเสนาบดีสามวัน ท่านหมายถึงเมื่อใดหรือ” พอวันนี้ไซพานอันได้ทานอาหารฝีมือหนิงมู่ฉือก็อดใจรอให้หญิงสาวมาทำอาหารให้สามวันติดไม่ไหว
ทว่าทันทีที่เอ่ยจบก็ต้องรู้สึกเสียวสันหลัง เมื่อหันหลังไปมองก็พบว่าจ้าวซีเหอกำลังจ้องมองมาที่ตนตาเขม็ง ใบหน้าดูไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
“ไซพานอัน จนถึงตอนนี้หนิงมู่ฉือก็ยังเป็คนของตำหนักอ๋องของข้าอยู่ แต่จู่ๆ เ้ามาพูดดึงคนไปเช่นนี้ ถามความเห็นข้าหรือยัง หากข้ายังไม่ปล่อยคน นางก็จะยังเป็คนของข้า!”
จ้าวซีเหอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวประหนึ่งเด็กน้อยที่กำลังหวงของเล่นไม่ยอมให้ใครมาแย่งไป ทว่าหนิงมู่ฉือฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
อย่างไรคือหากเขาไม่ยอม นางก็จะเป็คนของเขาตลอดไป ตอนนี้นางเป็อิสระแล้ว นางจะเป็คนกำหนดเองว่าจะทำเช่นไร ไม่ยอมให้ผู้ใดมาควบคุมเด็ดขาด หรือต่อให้วันหน้านางคิดจะแก้แค้น นางก็จะไม่ยอมให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาเดือดร้อนไปด้วย
“คุณชายไซ ท่านวางใจเถิด คำใดที่ข้าเคยพูดข้าต้องรักษาคำพูดนั้นแน่นอน ให้เวลาข้าสักเล็กน้อย ข้ายังมีเื่ที่ต้องจัดการ รอข้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วข้าจะทำตามคำที่เคยพูดไว้กับท่าน”
จ้าวซีเหอได้ยินดังนั้นรู้ทันทีว่าหญิงสาวหมายถึงเื่ใด แต่จะให้พูดตอนนี้ก็ใช่ที่ ทำได้แค่สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
ไซพานอันรับรู้ได้รางๆ ว่าบรรยากาศในตอนนี้ช่างแปลกเหลือเกิน
หนิงมู่ฉืออยู่ที่จวนเสนาบดีต่ออีกสักครู่ หลังได้รู้ว่าใต้เท้าไซชื่นชอบน้ำแกงข้นเห็ดหูหนูใส่รังนกอย่างยิ่ง แม่ครัวของจวนก็รีบมาประจบเอาใจนางเพื่อขอวิธีทำ
ไม่ใช่ว่านางไม่อยากบอก เพียงแต่รังนกที่นำมาทำไม่ได้เก็บได้ง่ายๆ นางเองยังเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้ง หากต้องเอาชีวิตไปทิ้งเพียงเพื่ออาหารหนึ่งชนิด มันดูไม่คุ้มเอาเสียเลย
ทว่าแม่ครัวไม่ว่าอย่างไรก็ยังอยากจะรู้ให้ได้ ด้วยความจนปัญญานางจึงต้องบอกวิธีทำไป แต่ความที่ไม่อยากให้แม่ครัวไปเสี่ยงอันตรายเหมือนตนเอง นางจึงบอกไปว่าใต้หล้านี้นอกจากนางแล้วไม่มีใครสามารถทำรสชาตินี้ออกมาได้ ให้แม่ครัวทำแบบธรรมดานั่นแหละดีแล้ว ได้ยินนางพูดเช่นนี้แม่ครัวถึงยินยอม
ไซพานอันให้คนไปส่งหนิงมู่ฉือที่ตำหนักอ๋อง ตอนนี้เป็เวลาเย็นมากแล้ว เมื่อกลับมาถึงตำหนักอ๋อง นางต้องกลับมาทำอาหารเย็นอีก เรียกได้ว่าวันนี้นางแทบไม่ได้หยุดพักเลย
เช้าวันต่อมา พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกเป็สัญญาณว่าวันใหม่ได้มาถึงแล้ว สำหรับนาง วันนี้ถือเป็วันเริ่มต้นชีวิตใหม่ นางตัดสินใจแล้วว่าต่อให้ต้องแก้แค้น นางก็จะมีชีวิตในแบบของนางเอง ใช้ชีวิตในแบบที่นาง้า ต่อให้มันจะเป็การแก้แค้น นางก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ต้องมารู้สึกเสียใจภายหลัง
อาการป่วยของท่านอ๋องดีขึ้นมาก สามารถออกมาเดินข้างนอกได้แล้ว หมอแนะนำว่าตอนนี้พูดให้น้อยถือว่าดีที่สุด อย่างไรก็ต้องรักษาคอให้หายดีก่อน
เช้าวันนี้นางตั้งใจทำอาหารเช้าให้ท่านอ๋องโดยเฉพาะ ท่านอ๋องทานโจ๊กติดต่อกันมาหลายวันแล้ว แม้จะเป็โจ๊กหลากหลายชนิดและมีรสชาติอร่อยก็ตาม แต่ก็ต้องมีวันเบื่อกันบ้าง เช่นนั้นเพื่อให้คอของท่านอ๋องดีขึ้น นางจึงตัดสินใจว่าจะทำอาหารที่นางตั้งชื่อที่แสนจะไพเราะให้ว่า วั่นจื่อเชียนหู
นางคิดขึ้นมาได้ั้แ่เมื่อคืนหลังจากกลับมาถึงตำหนักอ๋อง เช้าวันนี้จึงสามารถทำได้เลย เพราะนางเตรียมวัตถุดิบเอาไว้ั้แ่เมื่อคืนแล้ว ข้าวสารนางก็แช่น้ำเอาไว้ั้แ่เมื่อคืนแล้วเช่นกัน ตอนเช้าเมื่อเปิดออกดู เม็ดข้าวจึงกลายเป็สีใสพองกำลังได้ที่ นางนำมันม่วงที่อยู่ในห้องครัวมาหั่นเป็ชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปนึ่งในลังถึง
มันม่วงเป็พืชชนิดเดียวกับมันเหลือง ต่างกันแค่สีและกลิ่น มันม่วงก็มีกลิ่นเฉพาะตัวของมัน ทั้งมันม่วงที่อยู่ในห้องครัวก็เป็นางที่เป็คนเอามาจากห้องเครื่องในวังหลวง นางคิดมาตลอดเลยว่าจะเอามันมาทำอะไรให้ท่านอ๋องทานดี ซึ่งวันนี้นางจะได้นำมันมาใช้ประโยชน์พอดีเลย
เมื่อมันม่วงถูกนึ่งจนสุก สีสันก็ยิ่งสวยงามน่าทาน เหนียวเล็กน้อย และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ท้องของนางที่ยังไม่ได้ทานอาหารเช้าอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องโครกครากออกมา
นางอาศัย่ระหว่างรอมันม่วงเย็น นำข้าวสารที่แช่น้ำั้แ่เมื่อคืนไปตำในครกจนละเอียด เพื่อที่ท่านอ๋องจะได้ทานได้ง่ายขึ้น นางตำอยู่นาน มือซ้ายตำจนเมื่อยก็เปลี่ยนเป็มือขวา มือขวาเมื่อยก็เปลี่ยนกลับมาตำด้วยมือซ้ายดังเดิม
ข้าวถูกตำจนละเอียด แม้การทำเช่นนี้จะทำให้คุณประโยชน์ของมันหายไป แต่เป็เพราะเมื่อคืนนางซาวข้าวเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็ต้องซาวอีกรอบ คุณประโยชน์ของมันจึงไม่หายไปมากนัก
มันม่วงที่นำไปนึ่งเริ่มเย็นแล้ว นางจึงรีบนำมาเพื่อเตรียมไว้ใช้ทำขั้นตอนต่อไป การทำหมี่หู[1] สำคัญคือระดับไฟต้องพอเหมาะ หากใช้ไฟอ่อนเกินไปข้าวก็จะครึ่งสุกครึ่งดิบ ทำให้ทานได้ยาก แต่ถ้าไฟแรงไป ข้าวที่นำไปบดละเอียดก็จะติดก้นหม้อ สุดท้ายก็จะไหม้
มันม่วงสุกอยู่แล้วจึงไม่ต้องรีบเอาลงหม้อ นางใส่ข้าวสารที่ถูกตำจนละเอียดใส่ลงในหม้อแล้วเริ่มเคี่ยวเช่นเดียวกับการทำโจ๊ก
รอจนข้าวสารสุกเกือบจะได้ที่ นางเปิดฝาหม้อออก ค่อยๆ ใส่มันม่วงลงไปทีละชิ้นแล้วคนให้เข้ากัน จนข้าวในหม้อเป็เนื้อเดียวกับมันม่วงถึงค่อยปรับไฟให้ลงมาอยู่ระดับอ่อนสุด จากนั้นต้มต่ออีกสักพัก
การควบคุมไฟให้ได้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ หากไม่เคยทำมาแล้วหลายครั้งก็จะควบคุมไม่ได้ หากคนที่ทำเปิดฝาหม้อขึ้นบ่อยๆ เพื่อดูว่าข้าวในหม้อสุกหรือยัง เวลาเปิดฝาหม้อความร้อนก็จะโชยออกมา รวมถึงกลิ่น เมื่อทำเสร็จกลิ่นก็จะไม่หอมเท่าที่ควร
แต่นางคือใคร นางคือคนที่เ้าแม่อาหารบูชาถ่ายทอดเคล็ดวิชาการทำอาหารให้ แม้นางจะไม่เคยทำ ทว่านางมีสัญชาตญาณที่แม่นยำ อย่างน้อยก็ในด้านการทำอาหาร
เสียงนกร้องดังมาจากด้านนอก พอคิดว่าต่อไปนางจะไม่ได้ทำอาหารในห้องครัวห้องนี้อีก ในใจนางรู้สึกหม่นหมองเหลือเกิน ถึงอย่างไรก็อยู่ที่นี่มานาน ย่อมต้องมีความรู้สึกผูกพันกับที่นี่เป็ธรรมดา
ขณะที่นางกำลังเหม่อลอยอยู่นั้น เสียงของผู้ดูแลห้องครัวก็ดึงนางออกจากความคิดของตัวเอง “แม่นางหนิง เหตุใดถึงได้ตื่นเช้าเช่นนี้ ยกหน้าที่ทำอาหารให้พวกข้าก็ได้ เ้ากลับไปนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด”
นางหันไปมองผู้ดูแลห้องครัวพร้อมกับคิดว่า บอกลาอีกฝ่ายสักหน่อยก็ไม่เสียหลาย
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะท่านผู้ดูแล ข้าแค่อยากทำอาหารให้ท่านอ๋องทานสักมื้อเท่านั้น ต่อไป…อาหารมื้อหลังๆ คงต้องรบกวนท่านแล้ว”
ผู้ดูแลห้องครัวได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ “แม่นางหนิง เ้ากำลังพูดเื่ใดกัน เ้าจะไปจากตำหนักอ๋องหรือ”
ผู้ดูแลห้องครัวมีสีหน้าอาลัยอาวรณ์ “เป็เพราะซื่อจื่อรังแกเ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ เ้าถึงได้คิดจะไปจากตำหนักอ๋อง ซื่อจื่อแค่ล้อเ้าเล่นเท่านั้น ความจริงแล้วซื่อจื่อเป็คนดี ไม่ได้มีนิสัยไม่ดีอย่างที่แสดงออกมา แม้แต่ข้ายังดูออกเลยว่าซื่อจื่อเป็ห่วงเ้ามาก!”
[1] หมี่หู คือการนำข้าวมาบดให้ละเอียดแล้วนำไปต้นจนเหนียวคล้ายโจ๊ก เป็อาหารที่คนจีนมักทำให้เด็กเล็กๆ ทาน