“แม่หนูถงเข้าไปดูเองเถิด เมื่อครู่ท่านเ้าอาวาสออกปากอนุญาตแล้วว่าสามารถเลือกสองสามกิ่งไปปักแจกันได้ ป้าสะใภ้เองก็โง่งมนัก ไม่รู้ว่าเด็กสาวเดี๋ยวนี้ชอบแบบไหน หากเลือกให้ก็เกรงว่าจะไม่ตรงใจ ถงเอ๋อร์เข้าไปเลือกเองดีกว่า”
ปรกติแล้วฮูหยินผู้เฒ่ามักจะใจดีมีเมตตาต่อโม่เสวี่ยถงอยู่แล้ว ขอเพียงแค่ไม่มีสิ่งใดไปสะกิดขีดความอดทนของนาง ก็นับได้ว่าเป็าุโที่ดีคนหนึ่ง ยามนี้กำลังอารมณ์ดีหัวเราะรื่นอย่างมีความสุข สายตาทอดมองทัศนียภาพรอบด้านพลางตบหลังมือโม่เสวี่ยถงเบาๆ อนุญาตให้นางไปเลือกกิ่งเหมยด้วยตนเองตามสบาย
ดอกเหมยวัดชิงเหลียงเป็ของล้ำค่าสูงส่ง ไม่ใช่ใครคิดอยากจะชมก็ได้ชม หรืออยากจะเด็ดก็เด็ดได้ตามอำเภอใจ
“ท่านป้าสะใภ้ไปเดินชมเป็เพื่อนถงเอ๋อร์ดีหรือไม่ สายตาของท่านป้ามักเฉียบคมเสมอ” โม่เสวี่ยถงเข้าไปดึงแขนเสื้อของอวี้ซื่ออย่างออดอ้อน ทว่ากลับให้ความรู้สึกกึ่งบังคับว่าหากนางไม่ไปตนเองก็จะไม่ไป
“เอาล่ะๆ ถงเอ๋อร์ไปเองเถิด เื่ของสาวๆ ป้าสะใภ้ไม่เข้าร่วมดีกว่า ดูจากที่ป้าสะใภ้เลือกไปเมื่อครู่สิ เห็นหรือไม่ว่าไม่ได้เื่แค่ไหน เดี๋ยวจะไม่สมวัยของถงเอ๋อร์เปล่าๆ เ้าไปเองน่ะดีแล้ว เลือกเอาตามชอบใจ ป้าสะใภ้อายุมากแล้วควรจะอยู่รอกับท่านยายของเ้าที่นี่ ฉวยโอกาสพักผ่อนสักครู่” อวี้ซื่อสะบัดผ้าเช็ดหน้ากรีดกราย ยิ้มกล่าวด้วยท่าทางเมตตาอ่อนโยน พลางประคองฮูหยินผู้เฒ่าฉินไปนั่งในศาลาด้านข้างเยี่ยงสะใภ้ผู้กตัญญู
นางยังหาข้ออ้างปลีกตัวจากไปไม่ได้ ไหนเลยจะอยู่เป็เพื่อนโม่เสวี่ยถงในยามนี้ จึงแอบส่งสายตาให้สาวใช้ประจำตัว สาวใช้ผู้นั้นก็ผงกศีรษะเล็กน้อย
“สายตาของป้าสะใภ้ไหนเลยจะไม่ดีดังว่า ดอกเหมยที่ท่านเลือกไปปักแจกันงดงามจนไม่รู้จะว่าอย่างไร ถงเอ๋อร์เลือกกิ่งงามๆ เยี่ยงนั้นเป็ที่ไหนกันเล่า ถ้าอย่างนั้น... ถงเอ๋อร์อยู่ที่นี่ไม่ไปไหนดีกว่า จะได้นั่งคุยเป็เพื่อนท่านยายกับป้าสะใภ้ด้วย” โม่เสวี่ยถงยิ้มน้อยๆ มองหน้าอวี้ซื่อด้วยท่าทางฉอเลาะน่าเอ็นดู นางหาได้ขยับเท้าราวกับไม่คิดจะจากไปไหน ริมฝีปากเล็กดั่งผลอิงเถายื่นมุ่ยออกมาเพิ่มความน่ารักสดใสอีกหลายส่วน
นางไม่ไป อวี้ซื่อย่อมร้อนใจ
“เป็เด็กสาวแรกรุ่นอยู่แท้ๆ ไฉนจึงเกียจคร้านเยี่ยงนี้เล่า ไปเถิด บุปผางามเยี่ยงนั้นมิได้มีให้ชมกันบ่อยๆ ที่นั่นยังมีเหมยนิลอยู่สองสามต้น ป้าสะใภ้จำได้ว่าถงเอ๋อร์ชอบมากมิใช่หรือ เหมยนิลเ่าั้เป็ต้นไม้ล้ำค่า สีสันก็คล้ายดอกโม่หลันอยู่หลายส่วน ได้ยินว่าส่งมาจากแดนโพ้นทะเล ทั่วทั้งเมืองหลวงก็มีให้เห็นน้อยมาก” อวี้ซื่อชี้ไปที่ป่าเหมยด้านโน้นอย่างกระตือรือร้น พูดเกลี้ยกล่อมอย่างอบอุ่น
โม่เสวี่ยถงหันศีรษะหลบไปด้านข้าง แต่ยังคงเหลือบสายตามองอีกฝ่ายอยู่ เห็นรอยยิ้มที่แม้จะอบอุ่นของอวี้ซื่อ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับหลุกหลิกยิ่งนัก เห็นทีป้าสะใภ้คงจะมองหาใครอยู่กระมัง ดูจากสายตาและทิศทางที่นิ้วของนางชี้ไป ริมฝีปากที่ยกขึ้นผลิยิ้มอ่อนโยนกอปรกับท่าทางที่ดูเร่งเร้าเช่นนี้ คาดว่าที่แห่งนั้นคงจะมีใครแอบซ่อนตัวอยู่กระมัง
“แม้กระทั่งความชอบของถงเอ๋อร์ท่านป้าสะใภ้ก็ยังรู้กระจ่าง ช่างดีต่อถงเอ๋อร์ยิ่งนัก วันนี้จึงขอโอกาสยืมดอกไม้ถวายพระ ใช้น้ำชาถ้วยนี้ของวัดชิงเหลียงขอบคุณในความเมตตากรุณาของท่านยายและท่านป้าสะใภ้ด้วยเ้าค่ะ”
โม่เสวี่ยถงหยิบน้ำชาจากถาดที่หลวงจีนน้อยส่งให้ ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองถ้วยแล้วยกให้ฮูหยินผู้เฒ่าถ้วยหนึ่ง แล้วก็ใช้วิธีเดียวกันยกน้ำชาให้อวี้ซื่อ
อวี้ซื่อเห็นโม่เสวี่ยถงไม่มีท่าทีว่าจะจากไปก็ร้อนใจเหลือประมาณ ยิ่งเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของนางก็ยิ่งรู้สึกขวางหูขวางตา นึกขุ่นเคืองในใจ นังเด็กเ้าเล่ห์ความตายจะมาถึงตัวอยู่แล้วยังทำอวดเก่ง อีกประเดี๋ยวดูสิว่าจะยังอวดดีได้อยู่อีกหรือไม่ นางรับถ้วยน้ำชาจากโม่เสวี่ยถงมาดื่ม ขณะที่กำลังจะเอ่ยวาจาก็มีฮูหยินคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับอวี้ซื่อร้องทักทายขึ้น
ยามนี้อวี้ซื่อไม่สนใจฮูหยินผู้เฒ่าฉินอีกแล้ว นางพาสาวใช้สองสามคนเดินไปพูดคุยกับฮูหยินเ่าั้ และฉวยโอกาสปลีกตัวออกมาจากโม่เสวี่ยถงด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าฉินมิได้้าให้โม่เสวี่ยถงอยู่ปรนนิบัติ นางบังเอิญพบกันฮูหยินที่รู้จักคุ้นเคยกันอีกสองสามคนจึงรั้งอยู่พูดคุย แล้วบอกให้โม่เสวี่ยถงไปเดินเที่ยวชมป่าเหมยตามอัธยาศัย
ภายในป่าเหมยมีเหล่าฮูหยินและคุณหนูมากมาย ต่างแต่งตัวสวมเครื่องประดับอย่างงดงามยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ประปราย โม่เสวี่ยถงเดินชมบุปผาไปเรื่อยๆ ในอดีตนางอยู่แต่เรือนชั้นในมาโดยตลอด น้อยนักที่จะได้ออกมานอกจวน เนื่องจากมารดาล้มป่วยนางจึงปรนนิบัติอยู่ข้างกายไม่ห่าง หลังจากมารดาเสียชีวิตตนเองก็มีอันล้มป่วยเช่นกัน ต่อมาสกุลโม่ย้ายที่ออกจากเมืองอวิ๋นเฉิงทิ้งให้นางอยู่ที่นั่นคนเดียว ดังนั้นนางจึงไม่รู้จักคุณหนูคนอื่นๆ ยามนี้จึงเดินเล่นเพียงลำพังท่ามกลางบุปผางาม
แต่เมื่อเดินเข้าใกล้เขตต้นเหมยนิล นางพลันหยุดนิ่งไม่เข้าไปที่นั่น แต่กลับเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งมีคุณหนูแรกรุ่นคุยกันอยู่สองสามคน นางเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ กับคุณหนูเ่าั้ ฟังพวกนางคุยกันอยู่เงียบๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังโหวกเหวกลอยมาจากถนนเล็กๆ ที่เงียบสงบสายหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาสายตาของทุกคนก็ถูกดึงดูดไปที่นั่น
เมื่อได้ยินคลับคล้ายว่าจะเป็เสียงบุรุษ เหล่าคุณหนูก็เงยศีรษะมองไปทางนั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่กล้าเดินไปที่นั่น ต่างพาสาวใช้ของตนเองเดินกลับไปอยู่ข้างกายฮูหยินของบ้านตน โม่เสวี่ยถงมิได้ตามไปเดี๋ยวนั้น แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่
“คุณหนูเ้าคะ พวกเราจะเข้าไปดูหรือไม่” โม่เยี่ยเห็นกลุ่มคนพากันเดินไปตรงจุดนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น
“เดี๋ยวค่อยไป” โม่เสวี่ยถงกำลังจดจ่ออยู่กับดอกเหมยสีชมพูอ่อนที่แต่งแต้มด้วยวงสีดำ สีที่ดูคล้ายน้ำหมึกอ่อนจางเ่าั้เพิ่มเสน่ห์ความงดงามให้กับดอกเหมยไม่น้อย ยามที่สายลมโชยพัดกิ่งก้านไหวเอน ให้ความรู้สึกคล้ายสตรีที่กำลังเหนียมอาย
เสียงเอะอะโวยวายดูรุนแรงขึ้น ท้ายที่สุดก็เห็นคนสองสามคนกำลังยื้อยุดฉุดกระชาก
“คนผู้นั้นกล้าบุกรุกเข้ามาในเขตเรือนชั้นใน ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”
หญิงสูงวัยท่าทางหยาบกร้านสองสามคนจับกุมตัวบุรุษหน้าตาบวมปูดสภาพอเนจอนาถไปทั้งตัวผู้หนึ่งเอาไว้ แล้วพาเดินไปยังสถานที่ที่เหล่าฮูหยินล้อมวงกันอยู่ ฮูหยินสูงวัยท่าทางสง่าผ่าเผยมีอันจะกินเ่าั้กำลังนั่งคุยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีฮูหยินผู้เฒ่าฉินรวมอยู่ด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าฉินนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เมื่อเห็นบ่าวสูงวัยจับตัวบุรุษเข้ามาก็ขมวดคิ้วมุ่น ตวาดถามอย่างไม่พอใจ “นี่เป็สถานที่ส่วนตัวในเรือนชั้นใน ไฉนจึงปล่อยให้คนนอกบุกเข้ามาได้ ให้คนคุมตัวไปส่งทางการเดี๋ยวนี้”
“เอ๋... คนผู้นี้ลักลอบเข้ามาได้อย่างไร ไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็เขตของสตรี” อวี้ซื่อสะบัดผ้าเช็ดหน้า แสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ แล้วส่งสายตาให้สาวใช้ประจำตัว สาวใช้ผู้นั้นเป็คนหัวไว เมื่อได้รับคำสั่งลับจากเ้านายก็รู้ได้ว่าเื่นี้มีเป้าหมายสำคัญในการทำลายชื่อเสียงของโม่เสวี่ยถง จึงแสร้งทำเป็โมโหเดินเข้าไปค้นตัวของบุรุษผู้นั้น
“ว้าย... นั่นอะไรน่ะ หรือไปแอบขโมยของของใครมา” ฮูหยินท่านหนึ่งสายตาเฉียบคม มองเห็นอกเสื้อที่คลายออกของบุรุษผู้นั้นมีผ้าสีแดงสดห้อยออกมา จึงร้องเรียกให้คนดู
ในน้ำเสียงของนางมีกลิ่นอายความรู้สึกเริงใจอยู่ไม่น้อยที่กำลังจะได้เห็นเคราะห์กรรมของผู้อื่น แท้จริงแล้วฮูหยินผู้นั้นเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ดึงออกมาจากอกเสื้อของบุรุษผู้นั้นดูเหมือนจะเป็เอี๊ยมบังทรงของสตรี เพียงแต่ไม่สะดวกที่จะพูดออกมา
สีหน้าของฮูหยินผู้าุโสองสามท่านพลันเย็นเยียบดุดันขึ้นมาทันที ฮูหยินผู้เฒ่าฉินจึงขยิบตาให้หญิงรับใช้าุโข้างกาย นางจึงเข้าไปแหวกอกเสื้อของชายผู้นั้นออก ทำให้เอี๊ยมบังทรงสตรีสีแดงสดตัวหนึ่งหล่นลงที่พื้น หลังจากนั้นหญิงรับใช้ของฮูหยินผู้เฒ่าก็เก็บขึ้นมาและนำส่งให้เ้านายตน ฮูหยินผู้าุโคนอื่นๆ ต่างเห็นชัดเจนว่าเป็เอี๊ยมบังทรงที่ตัดเย็บอย่างวิจิตรประณีตปักลายดอกเสาเย่างดงามยิ่ง สีแดงสว่างตัดกับสีเขียวสด แค่มองก็รู้ว่ามิใช่ของธรรมดาที่สตรีทั่วไปจะมีได้ และเนื้อผ้าที่ใช้ผู้คนที่อยู่ในสถานที่นั้นย่อมรู้ว่าเป็แพรต่วนชื่อดังของเมืองอวิ๋นเฉิง
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจฉับพลัน
เหล่าคุณหนูต่างพากันถอยห่างจากบุรุษที่ถูกทุบตีจนหน้าบวมปูดอย่างรังเกียจราวกับอสรพิษ รู้สึกว่าหากคนผู้นี้พูดพาดพิงถึงใครแม้เพียงประโยคเดียว ก็อาจทำลายชื่อเสียงของคนผู้นั้น
“ลักลอบเข้ามาในวัด ทำให้สตรีในเรือนชั้นในได้รับความตื่นตระหนก ทั้งยังหยิบฉวยสิ่งของโดยพลการ คนเลวทรามต่ำช้าเยี่ยงนี้ยังไม่รีบลากตัวไปส่งให้เ้าหน้าที่ทางการจัดการอีกหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าฉินพิจารณาเอี้ยมที่อยู่ในมือ สีหน้านิ่งขรึม แล้วกล่าวเสียงเย็นะเื
“ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดไว้ชีวิต ของชิ้นนี้ข้ามิได้ขโมยมา แต่ถง...” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็ทำท่านึกได้ก็อ้าปากค้าง แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดแก้ตัวใหม่ “เ้าของเอี๊ยมตัวนี้เป็ผู้มอบให้แก่ข้าไว้เป็ของแทนใจ แล้วจะเรียกว่าเป็ขโมยได้อย่างไร”
อวี้ซื่อแสร้งเดินเข้าไปดู หลังจากเห็นชัดเจนแล้วก็ร้องเสียงดัง “นี่มิใช่ซิ่วไฉที่ชื่อหวางอวิ๋นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของใต้เท้าโม่สมัยก่อนหรอกหรือ? ได้ยินว่าตอนที่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิง มีอยู่่หนึ่งที่ใต้เท้าโม่ยังนิยมชมชอบในตัวเขามาก แต่ไม่รู้ว่าต่อมาเกิดเหตุอะไรขึ้น จึงขับไล่เขาออกมาจากจวนโม่”
เมื่อกล่าวจบก็ทำเป็เพิ่งนึกได้ว่าตนเองพูดสิ่งใดออกไป จึงรีบปิดปากไว้ แล้วหันไปถามสาวใช้ประจำตัวด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน “ถงเอ๋อร์เล่า ให้นางมาดูจะต้องจำได้แน่นอน เมื่อก่อนนางก็อยู่จวนเดียวกับเขา น่าจะคุ้นเคยกันดี”
หวางอวิ๋นเคยเป็ผู้ช่วยอยู่ในจวนโม่ เมื่อครู่คำพูดของเขาหลุดคำว่าถงออกมา โม่เสวี่ยถงก็ยังรู้จักคุ้นเคยกับเขา ต่อมาถูกขับไล่ออกจากจวนโม่ ผู้คนย่อมคาดเดาไปว่าเป็เพราะโม่ฮว่าเหวินพบว่าเขาลักลอบพบกับคุณหนูธิดาภรรยาเอก จึงขับไล่ออกจากจวน หากเป็เช่นนี้ทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งหมดแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าฉินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจึงถลึงตาใส่อวี้ซื่อ แล้วหันไปตวาดใส่หวางอวิ๋น “พูดจาเหลวไหล คุณหนูทุกคนย่อมรักนวลสงวนตัวตระหนักในศักดิ์ศรีของตนเอง ไหนเลยจะทำเื่ไร้ยางอายดังคำเ้าว่า เด็กๆ ลากตัวเขาส่งไปให้ทางการ”
“ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดตรวจสอบให้กระจ่าง เอี๊ยมตัวนี้ถงเอ๋อร์เป็ผู้มอบให้กับข้าจริงๆ หากไม่เชื่อ ข้างบนมีชื่อของนางปักอยู่ ข้ากับนางรู้จักกันมานานแล้ว ต่างมีใจรักมั่นต่อกัน บุปผาจันทราล้วนเป็พยาน ตกลงใจจะอยู่เคียงคู่กันชั่วชีวิต นี่เป็เอี๊ยมที่นางถอดจากกายมอบให้ข้าเองกับมือ แล้วจะกล่าวหาว่าข้าเป็ขโมยได้อย่างไร” เมื่อเห็นว่าบ่าวหญิงร่างใหญ่กำลังจะลงมือหวางอวิ๋นก็ร้อนใจ พูดเล่าไปพลาง สายตาก็หลุกหลิกสอดส่ายไปมา ท่าทางลนลานกลัวว่าจะถูกจับส่งทางการจริงๆ
หลังจากที่ถูกโม่ฮว่าเหวินขับไล่ออกจากจวนเขาก็ระเหเร่ร่อนไปเรื่อยๆ อาหารไม่เคยได้กินครบสามมื้อ เดิมทีเขาเป็บัณฑิตคนหนึ่ง แต่ยามนี้กลับต้องใช้ชีวิตอย่างข้นแค้นเทียบกับคนเร่ร่อนก็ไม่ปาน ทว่าเขากลับไม่เคยสำนึกในความผิดที่ตนเองก่อไว้ กลับนึกแค้นเคืองโม่ฮว่าเหวินมาโดยตลอด จนกระทั่งถูกเฉินซื่อตามตัวมาเพื่อให้ป้ายสีความผิดเื่ชู้สาวให้โม่เสวี่ยถง
“เ้าคนสารเลว อย่างเ้านับว่าเป็ตัวอะไรได้ สภาพอนาถาเยี่ยงนี้ถงเอ๋อร์จะหมายตาได้อย่างไร” อวี้ซื่อแสร้งตำหนิ แต่กลับเป็การยืนยันว่าถงเอ๋อร์ที่หวางอวิ๋นเอ่ยถึงก็คือโม่เสวี่ยถง แล้วส่งสัญญาณลับให้หวางอวิ๋นพูดต่อไป ที่นี่มีนางคอยช่วยเหลืออยู่
นางตกลงกับหวางอวิ๋นไว้ว่าหากเื่นี้สำเร็จไม่เพียงแต่จะมอบเงินให้เขาห้าสิบตำลึงเงิน ยังจะให้เขาได้บุตรสาวของโม่ฮว่าเหวิน หวางอวิ๋นเคยพบกับโม่เสวี่ยถงมาก่อน แม้ว่าตอนนั้นนางจะยังเล็ก แต่ก็ดูออกว่าหากเติบโตขึ้นจะต้องเป็หญิงงามคนหนึ่งอย่างแน่นอน และยังคิดว่าจะฉวยโอกาสนี้สร้างความอัปยศให้แก่โม่ฮว่าเหวินด้วย จึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล
“แม้ว่าชีวิตของข้าตอนนี้จะไม่ดีเท่าไร แต่เพื่อถงเอ๋อร์ข้าจึงยอมถูกขับไล่ออกจากจวน หลังจากนางแต่งให้ข้าแล้ว ข้าย่อมทำทุกอย่างเพื่อให้นางมีความสุข ไม่ให้ใครดูถูกนางได้ ข้าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและสอบเป็ขุนนางนำชื่อเสียงเกียรติยศมามอบให้นาง” หวางอวิ๋นกลอกตาไปมา แสร้งเชิดหน้าขึ้นวางมาดทะนงตน แต่ใบหน้าที่ฟกช้ำดำเขียวกลับยิ่งทำให้เขาดูน่ารังเกียจ
“ที่แท้ก็เป็ละครปาหี่คุณหนูผู้สูงศักดิ์หลงรักซิ่วไฉตกยากนี่เอง วันนี้มีละครสนุกให้ชม ช่างเหมือนเื่จริงแท้ๆ” มีคนเริ่มเอ่ยวาจาเสียดสีขึ้นก่อน
“ไม่รู้ว่าสกุลโม่อบรมบุตรสาวอย่างไร จึงได้ทำตัวแพศยาไร้ยางอายเช่นนี้ สกุลโม่อุตส่าห์สั่งสมชื่อเสียงมายาวนาน ที่แท้ก็มีบุตรสาวนอกคอกอยู่คนหนึ่งจริงๆ มิน่าเล่าใต้เท้าโม่จึงทิ้งนางไว้ที่เมืองอวิ๋นเฉิง นี่ถ้าตอนนั้นพาเข้าเมืองหลวงมาด้วย ยังไม่รู้ว่าจะไปหว่านเสน่ห์ให้กับผู้ใดอีกบ้าง”
“ยามเข้ามาอยู่จวนฉินก็ก่อเื่น่าละอายไว้มากมาย หากเป็บ้านข้าคงได้ส่งนางไปปลงผมบวชชีนานแล้ว ไม่ปล่อยไว้เป็ที่เสื่อมเสียแก่วงศ์ตระกูลหรอก”