"ท่านพี่จ้าน" เฉียวเยว่ไถลลงจากเก้าอี้ วิ่งไปหาอวี้อ๋อง พลางะโโลดเต้นด้วยความดีใจ "ช่างดีเหลือเกิน ไม่นึกว่าจะได้พบท่านที่นี่ เยี่ยมไปเลย วันนี้ช่างเป็วันดีจริงๆ"
หรงจ้านสวมอาภรณ์สีคราม ทับด้วยเสื้อคลุมกันลมสีแดงสะดุดตายิ่งนัก
แม้ว่าอวี้อ๋องหรงจ้านจะไม่ค่อยออกมาเดินในเมืองบ่อยนัก แต่คนส่วนใหญ่ล้วนเคยเห็นคนผู้นี้ จึงรีบเข้ามาคารวะทันที หรงจ้านตอบรับเสียงเรียบ แล้วอุ้มเฉียวเยว่ขึ้นมาถาม "ตอบถูกกี่ข้อแล้ว?"
เฉียวเยว่ยกนิ้วมือสิบนิ้ว "เพิ่มอีกหนึ่ง"
"สมองทึบ" หรงจ้านค่อนแคะ
เฉียวเยว่ไม่รู้สึกอันใด นางยิ้มตาหยี "แต่ข้ายังเป็เด็ก ตอบได้เยอะเท่านี้ก็ดีมากแล้ว เดี๋ยวกินขนมเสร็จ ยังต้องออกไปทายต่อ ฮึบๆ ข้าต้องสู้ๆ"
หรงจ้านกวาดตามองโคลงคู่ของโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติ แล้วถามว่า "เ้าไม่ลองตอบข้อนี้ดูหรือ?"
คำกล่าวนี้ทำเอาเหล่าบัณฑิตทั้งหลายแทบอยากเตะเขาให้ตาย
ขนาดพวกเขาที่ร่ำเรียนโคลงกลอนบทกวียังรู้สึกว่ายาก นางเป็เด็กผู้หญิงอายุแค่หกขวบจะตอบได้อย่างไร
คนผู้นี้ดูแคลนผู้อื่นใช่หรือไม่
"ข้ายังเด็ก ไม่เป็หรอก" เสียงของเฉียวเยว่นุ่มนิ่มขึ้นจมูกเล็กน้อย ฟังดูไร้เดียงสาอย่างยิ่ง
หรงจ้านอมยิ้ม "เช่นนั้นเ้ามาอยู่เป็เพื่อนพี่ชายตอบคำถามได้หรือไม่?"
เฉียวเยว่ "งั้นข้าไปหยิบขนมหนึ่งชิ้นแล้วค่อยมาอยู่เป็เพื่อน"
หรงจ้านอมยิ้มแล้วพยักหน้า บัดนี้ขนมส่งมาขึ้นโต๊ะแล้ว แต่คนอื่นๆ ยังไม่ขยับ เฉียวเยว่เอ่ยขึ้นว่า "พวกท่านรอข้าก่อน ข้าจะไปเล่นเป็เพื่อนท่านพี่จ้านสักครู่ หลังจากนั้นพวกเราค่อยออกไปต่อข้างนอกกัน ข้าว่าเขาคุยไปอย่างนั้นเอง คงไม่ผ่านั้แ่ชั้นล่างแล้วล่ะ ไม่นานก็กลับมา"
แม่หนูน้อยพูดตรงเกินไปหรือไม่?
หรงจ้านอมยิ้ม "อาจารย์ก็คิดว่าข้าไม่ไหวหรือ?"
คำกล่าวนี้ทำให้ทุกคนตะลึงพรึงเพริด ฉีจือโจวกลายเป็อาจารย์ของอวี้อ๋องั้แ่เมื่อไร?
แต่ฉีจือโจวกลับมีสีหน้าเรียบเฉย "ท่านอ๋องได้โปรดระวังวาจา กระหม่อมขอพูดซ้ำอีกครั้ง ว่าตนเองไม่อาจรับคำเรียกขานว่าอาจารย์จากท่านได้"
แน่นอนว่าต้องมีเื่ราวอื่นอยู่เื้ั แต่ก็ยากเกินไปสำหรับทุกคนที่จะคาดคะเน
อย่างไรเสียพวกเขาล้วนไม่ใช่คนที่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งสองคน
หรงจ้านคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไม่ต่อความจากเขา แต่กลับอุ้มเฉียวเยว่ขึ้นมา "ไป พวกเราไปดูกัน"
"ลมโชยทิวไผ่ลู่ไหว ลมหยุดต้นไผ่เงียบสงัด ห่านป่าข้ามสระหนาว ข้ามแล้วย่อมไม่เหลือเงาให้ัั สัตบุรุษเื่มาจิตเริ่มสำแดง เื่ผ่านพ้นจิตคืนหวนสู่ความสงบ" เฉียวเยว่ท่องออกมา ก่อนกัดขนมหนึ่งคำ "คืออะไร?"
ระดับสติปัญญาของนางตอนนี้ ไม่เข้าใจจริงๆ
แต่หรงจ้านกลับแทบไม่ต้องคิด เขาอมยิ้มเอ่ยขึ้นว่า "ขุนเขาสงบดวงตะวันเจิดจ้า ทว่าสุริยาต้องข้ามผ่านห้วงจักรวาล สายน้ำไหลผ่านพิภพ น้ำหลากล้นผืนปฐีจึงฟื้นฟู คนสามัญยามมองฟ้ารู้เดือนปี ยามก้มหน้ารับรู้ความเป็นิรันดร์"
ทุกคนต่างอึ้ง
เถ้าแก่ปรบมือทันที "ท่านอ๋องปราดเปรื่องปรีชา ขอเชิญขึ้นชั้นบนพ่ะย่ะค่ะ"
แท้จริงแล้วโคลงบทนี้ใช่ว่าทุกคนจะต่อไม่ได้ เพียงแต่ต่อได้แล้วขึ้นไปชั้นบน ยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรอีก ด้วยเหตุนี้จึงมักคิดมากกัน แต่อวี้อ๋องไม่คิดอะไรมากต่อโคลงออกไปตรงๆ โดยไม่นำพาเื่ชื่อเสียง ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกัน
แล้วก็เป็ดังคาด ชั้นสองไม่ใช่โคลงคู่ แต่เป็อ่างที่ทำมาจากเงินใบหนึ่ง
ในนั้นมีของอยู่สามสิ่ง
เฉียวเยว่สดชื่นขึ้นมาทันควัน "อันนี้ข้าทำได้ อันนี้ข้าทำได้"
ซูซานหลางไม่วางใจที่บุตรสาวอยู่ข้างกายอวี้อ๋องจึงตามขึ้นมาพร้อมกับบัณฑิตอีกกลุ่มหนึ่ง ทุกคนได้ยินเสียงของเฉียวเยว่ ต่างก็มองไปที่นางอย่างเหลือเชื่อ
แม่หนูน้อยจ้ำม่ำคนนี้คงไม่คิดว่าสิ่งของเหล่านี้เป็ของเล่นหรอกกระมัง?
อวี้อ๋องอมยิ้มมองเถ้าแก่ "ข้าไม่คิดจะละเมิดกฎเกณฑ์ของท่าน ไม่ว่าของรางวัลจะเป็สิ่งใด ข้าล้วนไม่้า แต่จะให้นางทดลองดูได้หรือไม่?"
เถ้าแก่ดูลำบากใจอยู่บ้าง แต่ไม่ช้าเขาก็พยักหน้าตอบ "เมื่อไม่ละเมิดกฎก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องเชิญ"
โคลงคู่ของชั้นล่างถูกตีแตก ย่อมจะเปลี่ยนเป็โคลงบทใหม่ แต่อวี้อ๋องเปลี่ยนคนที่ชั้นสอง เท่ากับเขาสละสิทธิ์แล้ว
ในที่สุดเฉียวเยว่ก็ได้ััข้อดีของการข้ามภพ ฮิๆๆ ์มาโปรดแล้ว ต้องขอบคุณการศึกษาด้านโบราณคดีของตนเอง ทำให้นางต้องขลุกอยู่กับของสารพัดสารเพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของเล่นลับสมองเหล่านี้
นางเลือกหยิบรูบิกออกมาก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าของเล่นชิ้นนี้ยุคสมัยนี้เรียกว่าอะไร นางหันไปมองเถ้าแก่ "ต้องหมุนให้แต่ละสีอยู่ในด้านเดียวกันใช่หรือไม่?"
เถ้าแก่พยักหน้า
สิ้นคำกล่าว ก็เห็นเฉียวเยว่เคลื่อนไวอย่างคล่องแคล่ว นางเร็วมากแต่ยังสามารถมองเห็นได้ ขณะที่หมุนของเล่นนางก็พำพึมบางอย่างกับตัวเองตลอดเวลา
ส่วนพึมพำอันใดนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นอกจากเ้าตัวเพียงคนเดียว
ชิ ของแบบนี้ย่อมจะมีเคล็ดลับ เื่จิ๊บๆ ระดับอนุบาล!
"เรียบร้อย"
ทุกคนยังไม่ทันเห็นขั้นตอนของนางอย่างชัดเจน แม่หนูน้อยก็หมุนเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นางยิ้มร่า "ข้าเริ่มอันที่สองได้เลยหรือไม่?"
เถ้าแก่ซึ่งเพิ่งสงบจากความใ พยักหน้าให้นาง
"กลเก้าห่วงนี่เอง!" อันนี้ก็ไม่ยาก แท้จริงแล้วของประเภทนี้มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะกลายเป็คนดังในใต้หล้า คิกๆๆ นางจะได้รับตำแหน่งยอดหญิงอัจฉริยะในอนาคตหรือเปล่านะ?
แต่อย่ายิ่งโตก็ยิ่งถดถอยแล้วกัน มีคำกล่าวว่าฉลาดตอนเด็ก ไม่ได้หมายความว่าอนาคตจะดี หากเป็เช่นนั้นก็คงประหม่าน่าดู
นางแก้เสร็จอย่างรวดเร็ว แล้ววางของลง ดวงหน้ายิ้มระรื่นหยิบของอีกอันขึ้นมา "สลักไม้ขงเบ้ง"
หลังจากนั้นก็เป็ดังคาด ไม่นานหลังจากนั้นเฉียวเยว่ก็ทำเสร็จเรียบร้อย นางเชิดหน้า สายตากวาดมองทุกคน "ข้าเก่งหรือไม่?"
อย่าว่าแต่ผู้อื่น แม้แต่ซูซานหลางบิดาแท้ๆ ของนางก็ยังอึ้งงัน รู้สึกเหมือนเห็นบุตรสาวของตนเองไม่ชัด
เขาไม่คาดคิดว่าจะเห็นซาลาเปาน้อยของตนเอง ชีวิตคนเราช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้ว
"มาสิ เด็กน้อย พี่ชายอุ้มเ้า"
หากไม่มีเหตุสุดวิสัย ก็คงจะมีหรงจ้านเพียงคนเดียวที่นั่น แต่พอเฉียวเยว่เดินมาถึง เขาก็คว้ามือน้อยๆ ของนาง แล้วล้วงผ้าออกมาเช็ดนิ้วมือของนางทีละนิ้ว "สกปรก"
เฉียวเยว่ "ท่านนั่นแหละเื่มาก"
หรงจ้านไม่กล่าวอันใด เพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ไม่ช้าก็เงยหน้าขึ้น "เอาล่ะ ของขวัญอันใดก็ไม่เอา ขอขนมสักชิ้นให้เด็กคงพอได้อยู่กระมัง?"
เถ้าแก่หัวไวรีบตอบทันควัน "ได้ ได้เดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ"
บัดนี้คนจำนวนไม่น้อยต่างถอนหายใจ รู้สึกว่าสมองของคนเรือนสามสกุลซูไม่รู้ว่าทำมาจากอะไร
บิดาฉลาดปราดเปรื่อง บุตรก็ยิ่งเฉลียวฉลาดเช่นนั้นหรือ?
เฉียวเยว่กัดขนมกุ้ยฮวาคำใหญ่ เอ่ยด้วยความดีใจ "พวกเราไปชั้นสามกันเถอะ"
ดูแล้วก็สนุกดีเหมือนกัน
ยามนี้พวกเขาไม่ได้คิดอยากได้ของขวัญ เพียงแค่้าทายปริศนาให้ดีที่สุดเท่านั้น
ชั้นสามเป็โคลงคู่อีกบท หรงจ้านแค่นหัวเราะ ต่อได้ทันทีแทบไม่ต้องใช้ความคิด
ชั้นสี่เป็วิชาคำนวณที่ซับซ้อน เฉียวเยว่นึกว่าที่นี่จะมีแต่ทายปริศนาโคมไฟ แต่พอมาถึงจึงรู้ว่าชั้นนี้ไม่ใช่ปริศนาโคมไฟ
สำหรับเด็กสายศิลป์ วิชาคำนวณก็คือศัตรูโดยธรรมชาติ เฉียวเยว่หยิบขนมมาอีกชิ้นแล้วกินต่อ
เดินหนึ่งชั้น กินขนมหนึ่งชิ้น
ชั้นห้ายังคงเป็โคลงคู่ ชั้นหกเป็อะไร เฉียวเยว่เองก็ไม่แน่ใจ ล้วนเป็รูปภาพ มีทั้งวงกลม กากบาท และสามเหลี่ยม เห็นแล้วปวดหัว แต่กลับไม่ยากสำหรับหรงจ้าน เขาแทบจะเหมือนมาเล่นแล้วก็เดินขึ้นชั้นหก ยามนี้ทุกคนต่างถอนหายใจ หากคุณหนูเจ็ดสกุลซูมาขอเล่นตอนอยู่ชั้นสอง เกรงว่าของที่อยู่ชั้นสองคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงสำหรับเขา
แต่เมื่อไตร่ตรองดีๆ สถานะเช่นอวี้อ๋องไม่จำเป็ต้องละโมบสิ่งของของโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติ มีสิ่งใดที่ผู้อื่นไม่มีอีกบ้าง!
ชั้นเจ็ดดูเหมือนว่าจะเป็โคลงคู่ที่เรียบง่ายบทหนึ่ง
นี่ก็แสดงว่าชั้นเลขคี่เป็โคลงคู่ ชั้นเลขคู่เป็อย่างอื่น
"เ้าวิงวอนขอชื่อเสียงลาภยศ เขาทำนายชะตาดีร้าย น่าเวทนาข้าไร้หัวใจ จะออกความคิดอ่านเช่นไรได้"
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา ทำให้ทุกคนต่างหันมามอง นางเอานิ้วชนกันเอ่ยเสียงเบา "พี่จ้านเ้าคะ คือว่า... เฉียวเยว่ต่อโคลงได้เ้าค่ะ"
"ไกวเยว่มาต่อดู" ไม่รู้ว่าอาจารย์ฉีตามหลังพวกเขามาั้แ่เมื่อไร ทุกคนต่างมิได้สังเกต
เฉียวเยว่รู้สึกว่าไม่ควรทำลายความสุขในการเหยียบย่ำผู้คนของอวี้อ๋อง จึงเอ่ยอีกว่า "ท่านพี่จ้าน พวกเรามาเขียนพร้อมกันดีหรือไม่?"
หรงจ้านเลิกคิ้ว หลังจากนั้นก็อมยิ้ม "ย่อมดีแน่นอน"
เถ้าแก่หยิบกระดาษและพู่กันออกมาทันที เฉียวเยว่กับหรงจ้านหันหลังชนกัน ต่างคนต่างเขียนของตนเอง อักษรของหรงจ้านงดงามดุจหงส์ฟ้อนัเหินเขียนจบอย่างรวดเร็ว
แต่เขายังไม่หันกลับมา เฉียวเยว่เขียนเสร็จก็หมุนตัวมายิ้มอย่างเริงร่า "นี่คือที่ข้าเขียน"
"สร้างวิหารกั้นเมฆหมอก สร้างห้องโถงเรียงระฆัง ล้วนเป็เื่ไร้แก่นสาร เปลืองแรงเสียพลัง"
ทั้งสองเขียนเหมือนกันเปี๊ยบ!
เฉียวเยว่ะโโลดเต้น "ข้านี่เก่งจริงๆ"
แม้ว่าผู้อื่นจะคิดว่าโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติแห่งนี้จะมีความลึกลับแยบยล แต่สำหรับอวี้อ๋องแล้วกลับเรียบง่ายเสียจนไม่มีสิ่งใดจะเรียบง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว ย้อนนึกตามคำร่ำลือที่ว่าเขาเคยแฝงตัวเข้าไปอยู่ในแคว้นของข้าศึก สร้างความปั่นป่วนให้กับราชวงศ์ซีเหลียง ทำลายกองทัพศัตรูจนย่อยยับั้แ่ก่อนออกศึก ดูท่าข่าวลือเหล่านี้น่าจะมีมูลความจริง ต้องมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน ชั่วขณะนั้นสายตาที่มองอวี้อ๋องล้วนเต็มไปด้วยความชื่นชมยกย่อง เด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกแต่มีความสามารถถึงเพียงนี้ ชวนให้คนคาดไม่ถึงจริงๆ
นอกจากนี้ ทุกคนยังรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวอาจารย์ฉีกับซูซานหลางเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน เด็กมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็เื่หนึ่ง แต่หากมิได้รับการชี้นำอย่างเหมาะสม ไหนเลยจะมีความเฉียบแหลมเช่นนี้ได้
ซูเฉียวเยว่ เฉลียวฉลาดเกินไปจริงๆ
เถ้าแก่ก้าวเข้ามา "ท่านอ๋อง แม้ว่าท่านจะตอบคำถามได้ถึงชั้นที่เจ็ด แต่โรงน้ำชาเจ็ดสมบัติก็มีกฎของโรงน้ำชาเจ็ดสมบัติ ต้องตอบคำถามเพียงผู้เดียวเท่านั้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าท่านจะต่อโคลงได้ถูกต้อง ก็ไม่อาจนับได้"
อวี้อ๋องมิได้นำพาแม้แต่น้อย ขณะนี้เขากำลังเช็ดมืออย่างพิถีพิถัน และระมัดระวังเกินกว่าปรกติ ราวกับว่าที่นี่สกปรกเสียเต็มประดา
"แต่เ้านายของพวกเราบอกว่า ถึงแม้ว่าท่านจะมิได้ทำตามกฎ จึงไม่อาจมอบรางวัลประจำปีนี้ให้แก่ท่านได้ แต่ท่านสามารถตอบมาถึงข้อสุดท้าย ดังนั้นจึงขอมอบขนมหนึ่งกล่องให้แก่ท่านเพื่อเป็การแสดงน้ำใจ"
เขาหิ้วขนมออกมา อวี้อ๋องเปิดตะกร้าออกดู ชั้นที่หนึ่งเป็ขนมรูปสัตว์เล็กๆ ที่ประณีตงดงาม ดูราวกับมีชีวิตจริงๆ เฉียวเยว่ถึงกลับกลืนน้ำลาย
อวี้อ๋องอมยิ้มเปิดดูชั้นที่สอง เป็ขนมรูปดอกไม้หลากชนิด ทั้งดอกโบตั๋น ดอกสาลี่ ดอกเหมยกุ้ย (กุหลาบ) และดอกไม้อื่นๆ อีกมากมาย
ชั้นที่สาม เป็ขนมรูปดวงดาว พระจันทร์ และพระอาทิตย์
ในแต่ละชั้นล้วนแตกต่างกัน ทั้งหมดรวมเจ็ดชั้น ชั้นสุดท้ายในนั้นเป็กระต่ายน้อยที่ทำมาจากทองคำ อยู่ในอิริยาบถต่างๆ แลดูน่ารักเป็ที่สุด
อวี้อ๋องปิดฝาก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วกวักมือเรียก เฉียวเยว่รีบไปข้างกายเขาอย่างรวดเร็ว "ท่านพี่จ้าน"
"ของเหล่านี้ยกให้เ้า" หรงจ้านชี้ไปที่ตะกร้า
"หา?" เฉียวเยว่เบิกตากว้าง
หรงจ้านหัวเราะเบาๆ "ข้าไม่ชอบกินของหวาน ให้เ้าทั้งหมดนี่เลย ข้าว่ากระต่ายเหมาะสมกับเ้าดี"
"แต่มันล้ำค่ามาก" เฉียวเยว่ไม่กล้ารับ
หรงจ้านหยิกพวงแก้มของนางส่ายไปมา "ข้าขาดแคลนทองคำแค่สองสามก้อนหรือเปล่า?"
เฉียวเยว่นึกแล้วส่ายหน้า
"ข้าขาดแคลนของสิ่งนี้ หรือมีใครทำได้อร่อยกว่าข้าหรือเปล่า?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด
หรงจ้านยิ้มพลางพยักหน้า "เช่นนั้นก็ถูกแล้ว เอาไปเถอะ ให้เ้า"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าตนเองได้รับของขวัญชิ้นนี้มีความหมายอย่างยิ่ง
นางอุ้มตะกร้า ป่าวประกาศเสียงดัง "ท่านพี่จ้าน ท่านเป็คนดีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า"
หรงจ้านพยักหน้า "ฉลาดจริงๆ ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้