สวีซื่อจึงเสริมว่า “หากเ้าหนาวจริงๆ ก็ให้บ่าวรับใช้กลับไปเอาเสื้อคลุมมาให้ หรือจะยืมเจียเฮ่อก็ได้ เขาก็เป็พี่ชายแท้ๆ ของเ้า ถึงอย่างไรการสวมเสื้อของเขา คงไม่น่าอายเท่าใส่เสื้อของโจวชิงหวา นี่เ้าไม่สนใจเลยหรือ ว่าคนอื่นจะมองอย่างไร! หืม?”
ผู้คนที่นี่ล้วนมิใช่คนโง่ ซึ่งไม่อาจตีความคำพูดของนางได้ สวีซื่อ้าจะชี้ให้เห็น ว่าหนีเจียเอ๋อร์ทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับบุรุษอย่างโจวชิงหวา ซึ่งมิใช่พี่ชายของตนมากเกินไป
เว่ยอี๋เหนียงเอ่ยปรามเสียงแ่ “พี่หญิง”
ส่วนนายท่านหนี ก็ใช้สายตาตำหนิสวีซื่อ
แม้นางจะรับรู้ได้ถึงสายตาติเตียนของสามี แต่ก็แสร้งทำเป็มองไม่เห็น ทั้งยังพูดอีกว่า “เจียเอ๋อร์ เชื่อแม่สักครั้ง คืนเสื้อคลุมให้โจวชิงหวาเสีย เดี๋ยวข้าจะให้บ่าวไปนำเสื้อคลุมของเ้ามาให้”
สุดท้ายนางยังก้าวไปข้างหน้า หมายจะถอดเสื้อคลุมของชายหนุ่มที่อยู่บนกายอีกฝ่ายออก
แต่โจวชิงหวาก็เข้าไปขวางหน้าเสียก่อน และชิงกล่าวขึ้นมาว่า “เพราะต้องทุ่มเทฝึกร่ายรำอย่างหนัก คุณหนูรองจึงนอนดึกมาสองสามวันแล้ว หากได้รับลมเย็นอีก อาจจะป่วยได้ ให้นางสวมไว้ก่อนดีกว่า ชิงหวาไม่ขัดข้องขอรับ”
ร่างอันสูงใหญ่นั้นเป็ดั่งูเาขวางกั้น ยิ่งมองสายตาที่คล้ายพายุโหมภายใต้ท่าทีสงบนิ่ง ก็ทำให้สวีซื่อหวั่นเกรงจนต้องยอมรามือ
หนีเจียเอ่อร์จึงเดินไปคั่นกลาง พลางยิ้มหวานให้ทุกคน ก่อนอธิบายว่า “พวกเราสองคนดื่มนมจากเต้าเดียวกัน ข้าจึงสนิทสนมกับเขามากกว่าท่านพี่เสียอีก”
หญิงสาวเอ่ยเสียงฉอเลาะน่ารัก แสดงท่าทีราวกับเด็กซุกซนอย่างเหมาะเจาะ แล้วแกล้งพูดด้วยความฉุนเฉียวว่า “สมัยเด็กๆ ใครกันนะที่ชอบรังแกข้า หืม?”
โจวชิงหวารีบรับลูกต่อ “เสี่ยวเอ๋อร์พูดถูกแล้ว ข้าคอยกลั่นแกล้งเ้าเสมอ ไม่สมเป็พี่ชายเลย ดังนั้น โตมาข้าย่อมต้องทำเพื่อเ้าบ้าง”
สวีเพ่ยหรานหวนนึกถึง่เวลาที่หนีเจียเอ๋อร์คอยตามติดเขา ในวัยเยาว์ นางมักจะเว้นระยะห่างกับโจวชิงหวาเสมอ...
เพราะเหตุใด นางถึงได้ทำตัวแปลกๆ เหมือนเปลี่ยนเป็คนละคนเช่นนี้?
หญิงสาวหลีกเลี่ยงสายตาของอีกฝ่าย หันกลับมาหยิบจอกสุราชูไปทางบิดา แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอันงดงาม “ท่านพ่อ สุขสันต์วันเกิดเ้าค่ะ ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นทุกปี”
นายท่านหนีดื่มสุรามงคลด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ปลีกตัวไปสนทนากับแม่ทัพหลี แม่ทัพหวัง และเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
ส่วนหนีเจียเอ๋อร์ ก็หันไปทางสวีซื่อกับเว่ยอี๋เหนียง
ทันทีที่หญิงสาวผละออกมา สวีเพ่ยหรานที่กำลังมึนเมาไปด้วยฤทธิ์สุราก็ปรี่เข้ามาหา ด้วยใบหน้าแดงก่ำกับน้ำเสียงยานคาง “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้าไปหัดร่ายรำมาั้แ่เมื่อใด?”
ในน้ำเสียง แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
แต่หนีเจียเอ๋อร์ไม่สนใจน้ำเสียงของเขา เพียงค้อมศีรษะอย่างสุภาพ พลางก้าวถอยหลัง และตอบเสียงเรียบ “ข้าเพิ่งเรียนมาเมื่อไม่นานนี้เอง”
สวีเพ่ยหรานมองเสื้อคลุมบนร่างบาง ด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เสี่ยวเอ๋อร์ โจวชิงหวาหาใช่คนดี เ้าอย่าได้ให้ความสนิทสนมนัก เขาเป็บุคคลอันตราย!”
หญิงสาวหน้าเปลี่ยนสี ความชิงชังฉายชัดบนใบหน้างาม ขณะคิดในใจว่า ‘หากโจวชิงหวามิใช่คนดี เช่นนั้น เ้าย่อมเป็จอมวายร้ายแล้ว!’
“ท่านพี่หรานไม่ต้องห่วง เสี่ยวเอ๋อร์แยกแยะได้ ว่าสิ่งใดถูกผิด”
หนีเจียเอ๋อร์กระชับเสื้อคลุมสีม่วงเข้าหาตัว เตรียมหันหลังกลับ แต่ดันพบมู่หรงจิ่งหลีเสียก่อน ดวงตาเรียวยาวของเขา เผยให้เห็นเสน่ห์ดุจสุนัขจิ้งจอก
“คุณหนูเจียเอ๋อร์ เ้าทำให้ข้าแปลกใจได้เสมอ”
รอยยิ้มของนางจืดจางลง “ขอบคุณสำหรับคำชม องค์ชายสาม”
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้ พลางลดเสียงลง กระซิบเบาๆ พอให้ได้ยินเพียงสองคน “ดูเหมือนข้าจะชอบเ้ามากขึ้นทุกที”
หนีเจียเอ๋อร์ถอยไปสองก้าว ดวงตาฉายแววเ็า “นั่นเป็เื่ของพระองค์ ไม่เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉัน!”
องค์ชายสามเลิกคิ้ว จากนั้นพลันคลี่ยิ้ม เฝ้ารอวันที่สตรีหยิ่งผยองผู้นี้จะยอมพ่ายแพ้ และมาคุกเข่าอ้อนวอนตน
โจวชิงหวาเดินเข้ามาแทรก “จิ่งหลี เสี่ยวเอ๋อร์ พวกเ้าคุยอะไรกันหรือ?”
หญิงสาวจึงตอบว่า “ไม่มีอันใด แค่ทักทายเท่านั้น”
โจวชิงหวาและมู่หรงจิ่งหลีกล่าวทักทายกันสองสามคำ ก่อนที่โจวชิงหวาจะเข้าไปหาหนีจวิ้นหว่าน
“สวัสดีคุณหนูใหญ่”
เขาไม่เคยทักทายนางมาก่อน ดังนั้นหญิงสาวจึงแปลกใจเล็กน้อย พลางกะพริบตา แล้วยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์ หยิบจอกสุราขึ้นมาชน ก่อนยกมือซ้ายปิดใบหน้าไปครึ่งหนึ่ง ขณะดื่มสุรา
แล้วก็เป็ไปตามที่ชายหนุ่มคาดการณ์ เพราะเขาสังเกตเห็นกริชซึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้ออีกฝ่ายได้จริงๆ
พอหนีจวิ้นหว่านวางจอกสุรา ก็ััได้ว่าบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป จิตสังหารที่แผ่ออกจากร่างโจวชิงหวา ทำให้นางถึงกับตัวสั่น
“คุณชายโจว มีอะไรหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถาม
ชายหนุ่มจึงมองมาอย่างเยียบเย็น
เมื่อเห็นว่าหนีเจียเอ๋อร์ถูกสวีเพ่ยหรานก่อกวนอีกครั้ง แม้ในใจจะนึกขุ่นเคือง แต่ก็จำต้องอดทน ด้วยมีแผนการบางอย่างที่จะทำให้หนีจวิ้นหว่านต้องอับอาย อย่างที่อีกฝ่ายอยากจะให้หนีเจียเอ๋อร์เป็
พอคล้อยหลัง โจวชิงหวาก็เข้าไปเป่าหูแม่ทัพและเหล่าขุนนางชั้นสูง ถึงความสามารถของคุณหนูใหญ่สกุลหนีกับสวีเพ่ยหราน จนผู้คนรีบเข้าไปกลุ้มรุมนายท่านสกุลหนี เพื่อถามหาบุตรสาวคนโตอย่างหนีจวิ้นหว่านทันที อีกทั้งหลายคนยังพยายามคะยั้นคะยอ ให้เขาอนุญาตให้นางแสดงฝีมือ เพื่อให้พวกเขาได้ประจักษ์เป็ขวัญตา
แต่นายท่านหนีรู้ดี ว่าหนีจวิ้นหว่านนั้นหาได้เก่งกาจเช่นที่ทุกคนคิด จึงบอกปัดข้อเสนออย่างแเี ทำให้ทุกคนจำต้องยอมแพ้
แต่มิใช่กับแม่ทัพฉิน ที่เดิมทีก็มีอุปนิสัยดื้อรั้นอยู่แล้ว เขาคิดว่านายท่านหนีเพียงหวงแหนบุตรสาวเท่านั้น จึงเอ่ยวาจายั่วยุนายท่านหนีกับสวีซื่ออย่างต่อเนื่อง ด้วยการพูดว่าหนีจวิ้นหวานนั้น ไม่เก่งกาจเท่าหนีเจียเอ๋อร์ผู้เป็น้องสาว รวมไปถึงฉินหยาน บุตรสาวของตนด้วย
เช่นนี้แล้ว นายท่านหนีที่ไม่ชอบถูกท้าทายจะยอมแพ้ได้หรือ เขาจึงกล่าวว่า “หว่านเอ๋อร์ เพ่ยหราน ในเมื่อแม่ทัพฉินอยากฟังเพลงของพวกเ้า ก็บรรเลงให้เขาฟังสักครั้งเถอะ!”
สวีเพ่ยหรานตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ส่วนหนีจวิ้นหว่าน ก็ได้แต่มองสวีซื่อด้วยความหนักใจ
สวีซื่อแอบดึงแขนเสื้อของนายท่านหนี แล้วกัดฟันกระซิบเบาๆ “นายท่าน อยากให้บุตรสาวของเราอับอายไปทั่วหรืออย่างไร?”
นายท่านหนีจึงตอบว่า “หืม... แล้วเป็เพราะใครเล่า! มิใช่เพราะเ้าเอาแต่สั่งสอนให้นางเกลียดชังทุกคนหรอกหรือ? ดูเสี่ยวเอ๋อร์สิ! เ้าตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตัวเองกับเว่ยอี๋เหนียงหรือยัง?”
สวีซื่อสำลัก ได้แต่หันไปมองเว่ยอี๋เหนียงด้วยท่าทีขมขื่น พลางเฝ้าดูบ่าวรับใช้จัดวางกู่ฉินและกู่เจิงอย่างพูดไม่ออก
ผู้คนต่างรอคอย ที่จะได้ชื่นชมความสามารถของคุณหนูใหญ่สกุลหนี
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หนีจวิ้นหว่านก็ไม่อาจบิดพลิ้วได้ จำต้องขึ้นไปแสดงคู่กับสวีเพ่ยหรานอย่างไม่มีทางเลือก
ซึ่งชายหนุ่มก็บรรเลงกู่ฉินได้เก่งกาจ แทบจะทัดเทียมกับโจวชิงหวาเลยก็ว่าได้ แต่น่าเสียดายที่เสียงกู่ฉินอันแสนไพเราะนั้น กลับถูกเสียงกู่เจิงเพี้ยนๆ ของหนีจวิ้นหว่าน กลบทับไปจนหมดสิ้น
ใบหน้าของสวีเพ่ยหรานมืดครึ้ม แม้จะไม่พอใจเพียงใด ก็จำต้องอดทน
“ไม่คิดเลย ว่าการเล่นกู่เจิงของคุณหนูใหญ่สกุลหนี จะน่าผิดหวังขนาดนี้”
“ใช่ๆ ไม่ได้สักครึ่งของคุณหนูรองเลย”
“แม่นางหนีผู้นั้นเป็ถึงสตรีเก่งกาจอันดับหนึ่ง เ้าว่าข้าต้องทำอย่างไร ถึงจะสอนบุตรสาวให้มีความสามารถเช่นนั้นได้?”
“คุณชายสวี ผู้เคยเป็ยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เมื่อเทียบกับยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งในปัจจุบันอย่างโจวชิงหวาแล้ว ก็ยังนับว่าห่างชั้นกันอยู่มาก”
แม้พวกเขาจะกระซิบกันเบาๆ แต่คำพูดบางส่วนก็ยังดังไปถึงหูหนีจวิ้นหว่าน ที่กำลังทำการแสดงอยู่ หญิงสาวจึงหันไปมองสวีเพ่ยหรานด้วยความกังวล เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย ความกล้าก็หายไปหมดสิ้น รู้สึกอับอายจนไม่อาจแสดงต่อ นางจึงหยุดบรรเลงกลางคัน แล้ววิ่งจากไปทั้งน้ำตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้