คืนนี้ซย่านีทั้งทำงานไปด้วยทบทวนพินอินกับลูกสาวไปด้วย ตอนแรกที่เริ่มเปิดปากท่องพินอินเธอพูดตะกุกตะกักอยู่บ้างจนหลังๆ ก็เริ่มท่องได้คล่องขึ้น นั่นถือว่าเป็การพัฒนามากแล้วสำหรับซย่านี
ตอนนี้เรียกได้ว่าซ่งวั่งซูได้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อแม่ของเธอเป็เชิงบวกขึ้นในพริบตา หลักสูตรนี้เป็หลักสูตรประถมที่เธอต้องใช้เวลาเรียนประมาณสองถึงสามเดือนเลย แต่ซย่านีเรียนแค่สองวันก็สามารถจำได้แล้ว
“แม่คะ ตอนเด็กๆ ทำไมแม่ถึงไม่ไปโรงเรียนหรือคะ ถ้าแม่ไปเรียนจะต้องสอบติดมหาวิทยาลัยได้แน่!”
แม้แต่เซี่ยงเหมยที่เฝ้าดูความคึกครื้นมาตลอดทั้งคืนก็ยังกล่าวเสริมว่า “ซย่านี เธอน่ะหัวดีใช้ได้เลยนะ”
ซย่านีเองก็รู้สึกประหลาดใจกับความเร็วในการเรียนรู้ของตนเองเหมือนกัน “เพราะ...นั่นก็เพราะพินอินค่อนข้างง่ายล่ะมั้ง หานเจียงเองก็บอกแล้วว่าผู้ใหญ่มีความสามารถในการทำความเข้าใจดีกว่าเด็กๆ”
เซี่ยงเหมยส่ายหัวอย่างไม่เห็นด้วย “เธอเพิ่งได้ัักับพินอินแค่สองวันเท่านั้น เธอก็สามารถเรียนรู้และจดจำได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ นั่นก็ถือว่าเธอมีความจำดีแล้ว เธออย่าไปฟังที่สามีของเธอพูดนักเลย มันสมองอย่างสามีเธอน่ะ ทั้งประเทศจะมีสักกี่คนกันเชียว?”
ซย่านีลองคิดตามก็รู้สึกว่าคำพูดของเซี่ยงเหมยมีเหตุผล ทันใดนั้นเธอก็มีความมั่นใจมากขึ้นในการบรรลุเป้าหมายที่ตนอยากสอบติดมหาวิทยาลัย
ประมาณสองทุ่มครึ่งถึงเวลาที่เด็กๆ ใกล้จะเข้านอนแล้ว ซย่านีจึงจบงานฝั่งของตนลงแล้วพาเด็กๆ กลับบ้านนอน
คิดไม่ถึงว่าพอกลับมาแล้ว ประตูใหญ่หน้าบ้านตระกูลซ่งกลับถูกลงกลอนเอาไว้
ฤดูใบไม้ผลิอากาศหนาวเย็นและกลางคืนเป็เวลาที่หนาวที่สุดของวัน ลมพัดโชยมาเพียงครั้งเดียวซย่านีก็แทบน้ำมูกไหล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเด็กๆ เลย
“แม่ เราจะทำอย่างไรดีคะ?” ซ่งวั่งซูรู้สึกจิตใจอ่อนไหว เธอเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาแล้วแต่โชคดีที่ยังมีแม่อยู่ข้างๆ ชั่วขณะหนึ่งเธอก็คิดหาที่พึ่งอย่างซย่านีขึ้นมา เธอกำเสื้อของแม่ตัวเองแน่น
เนื่องจากซย่านียังอุ้มลูกคนเล็กอยู่ในอ้อมแขน เธอจึงทำได้เพียงยิ้มปลอบใจลูกสาว “วางใจเถอะ ไม่เป็ไรหรอก...หยางหยางลูกไปเคาะประตูสิแล้วร้องะโเรียกย่าดังๆ หน่อย”
“ได้ครับ” หลังจากซ่งตงซวี่ได้รับมอบหมายหน้าที่แล้วเขาก็วิ่งไปที่ประตูทันที จากนั้นก็เคาะประตูเสียงดังปึงปังอยู่หลายทีพลางะโเรียก “ย่า ย่าครับ เปิดประตูหน่อย!”
เสียงของเด็กเล็กทั้งชัดและกังวาน ในค่ำคืนที่เงียบสงัดเสียงนั้นดังสะท้อนออกไปไกล
แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากบ้านตระกูลซ่งเลย
ซ่งตงซวี่หันหน้ากลับมาแล้วส่งสายตาเป็เชิงถามซย่านี
ซย่านีเชิดคางขึ้นแล้วกล่าวว่า “เคาะต่อไป...หาก้อนหินหรือไม้มาใช้แทนก็ได้ อย่าทำให้มือของลูกเจ็บละ”
ประตูในยุคนี้ล้วนทำจากไม้พอเคาะลงไปก็เสียงดังอู้อี้ ซย่านีจึงสั่งเพิ่ม “เคาะตรงที่ลงกลอนประตูไว้นะ”
พอหินกระทบแม่กุญแจโลหะ เสียงก็ดังลั่นขึ้นมา
ซ่งตงซวี่เคาะประตูไปพร้อมกับร้องะโเรียกเสียงดัง “ย่า ย่าครับ รีบเปิดประตูให้ผมที ผมหยางหยางเองครับ!”
หลังจากเคาะประตูอยู่นานแต่คนด้านในก็เหมือนแกล้งตายกันหมด ไม่มีใครยอมออกมาเปิดประตูให้พวกเธอเลยสักคน
ซย่านีร้องบอกซ่งตงซวี่ “หยางหยาง ลูกมาพักสักหน่อยเถอะ เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ลูกไปเคาะประตูแทนที”
ซ่งวั่งซูลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นมองซย่านี “แม่คะ...”
ซย่านียิ้มให้ลูกสาว “ไม่เป็ไรหรอกก็แค่เคาะประตูเท่านั้น พวกเราลองเคาะอีกสักพัก ถ้าย่าไม่เปิดประตูให้จริงๆ แม่ค่อยพาลูกไปเปิดโรงแรมนอน ลูกลืมไปแล้วหรือว่าสองวันมานี้แม่หาเงินได้เยอะมากเลยนะ” แต่ก่อนที่เธอจะจากไป เธอจะต้องทำให้เหล่าเพื่อนบ้านรู้กันให้ทั่วว่าเป็บ้านตระกูลซ่งที่ขับไล่พวกเธอแม่ลูกออกมา และหากเื่ที่เธอขายยางรัดผมจนได้กำไรมากมายถูกเปิดเผยแล้วล่ะก็ ครอบครัวตระกูลซ่งที่หน้าด้านไร้ยางอายจะต้องทวงบุญคุณแล้วขอเงินจากเธอแน่ๆ ถึงตอนนั้นหากเธอไม่ให้เงินแม้แต่แดงเดียวพวกเพื่อนบ้านยังจะว่าอะไรได้อีก
ซ่งวั่งซูเคาะประตูอย่างเชื่อฟังคำมารดาพลางร้องะโเรียกคนด้านในเหมือนอย่างซ่งตงซวี่ “ย่าคะ ปู่คะ! เปิดประตูให้หนูที!”
ทว่าคนด้านในราวกับเป็คนตาย พวกเขายังคงไม่เคลื่อนไหวสักนิด
“เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นกัน? หวังซิ่วอิงก็อยู่บ้านนี่นา?”
“ใช่ ฉันเพิ่งเจอเธอตอนไปเข้าห้องน้ำนี่เอง ไม่ได้มีแค่เธอที่อยู่บ้านนะสามีของเธอก็อยู่ยังมีลูกชายคนโตกับสะใภ้ใหญ่ก็อยู่ด้วยเช่นกัน อยู่กันทั้งครอบครัวนั่นแหละ”
“แล้วทำไมไม่เปิดประตูเล่า?”
“ก็คงจงใจน่ะสิ หวังซิ่วอิงคนนี้ก็ช่างร้ายกาจจริงๆ เลยเชียว หล่อนคงมีความแค้นกับลูกสะใภ้มากเลยสิท่า แม้แต่หลานแท้ๆ ก็ยังปล่อยทิ้งไว้นอกประตูบ้านได้ลงคอ เธอดูสิซย่านียังอุ้มลูกคนเล็กอยู่ในอ้อมแขนด้วยมิใช่หรือ?”
“ใช่จริงด้วย เธออุ้มลูกอยู่เลย! อากาศข้างนอกหนาวมากจริงๆ เด็กตัวแค่นี้ จะทนอากาศหนาวขนาดนี้ได้นานแค่ไหนกัน...”
ซย่านีกับลูกๆ ไม่ได้จงใจจะเคาะประตูบ้านตระกูลซ่งให้เปิดออกหรอก แต่้าทำให้เพื่อนบ้านรอบๆ ข้างพากันตื่นใแทน หลายบ้านพากันแง้มประตูออกมาดูอย่างสอดรู้สอดเห็นเพื่อรอดูเื่สนุกของตระกูลซ่ง พวกเขาดูไปพลางซุบซิบกันไปพลาง
เซี่ยงเหมยที่บ้านอยู่ห่างจากตระกูลซ่งไม่กี่หลังก็ได้ยินเสียงดังเหมือนกัน เธอรีบวิ่งออกมาดูอย่างร้อนใจ
“ซย่านี เกิดเื่อะไรขึ้น? แม่สามีของเธอไม่เปิดประตูให้เธอหรือ?” ใบหน้าของเซี่ยงเหมยเต็มไปด้วยความกังวล
ซย่านียักไหล่อย่างอับจนหนทางแล้วถอนหายใจ
เซี่ยงเหมยมองไปทางเด็กๆ จากนั้นก็เอื้อมมือไปลูบใบหน้าของพวกเด็กๆ ที่ถูกลมพัดจนเย็น “เธอพาพวกเด็กๆ ไปค้างที่บ้านฉันสักคืนดีไหม?” เธออดไม่ได้ที่จะก่นด่าคนตระกูลซ่งในใจ ช่างไม่ได้เื่กันเลยมีเื่ขัดแย้งอะไรกันทำไมไม่พูดกันในบ้านเด็กๆ ยังตัวเล็กขนาดนี้ กล้าปล่อยพวกเขาทิ้งไว้ข้างนอกได้เชียวหรือ? หลังจากทำเื่เช่นนี้แล้วไม่กลัวว่าซ่งหานเจียงที่เป็ลูกชายจะเสียใจบ้างหรือไง?
เฝิงหย่งตามหลังเซี่ยงเหมยมาติดๆ ในมือเขายังถือเสื้อคลุมทหารอยู่ด้วย เขาคลุมเสื้อคลุมทหารไว้บนไหล่ของเซี่ยงเหมยพลางกล่าวว่า “ใช่แล้ว น้องซย่านีเธอพาเด็กๆ มาค้างที่บ้านฉันสักคืนก็แล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอกเดี๋ยวฉันไปเบียดๆ อยู่บ้านพี่น้องก่อนก็ได้”
บ้านของพวกเขาไม่ได้ใหญ่โตมากนัก มีเพียงสองห้องนอนซึ่งหนึ่งในห้องเ่าั้ก็ยังเต็มไปด้วยกองเศษผ้า เฝิงหย่งกลัวว่าซย่านีจะรู้สึกไม่สะดวกใจจึงเสนอความคิดที่จะไปนอนข้างนอกบ้าน
ซย่านีรู้ว่าเซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งมีเจตนาดีกันทั้งคู่แต่เธอไม่ใช่คนประเภทที่จะสร้างปัญหาให้ผู้อื่นอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอเลยปฏิเสธไปแล้ว “ไม่ต้อง...ไม่ต้องหรอก ฉัน...”
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
คำพูดของซย่านีถูกตัดบทเข้าเสียแล้ว
เป็สหายหญิงสองคนที่สวมปลอกแขนสีแดง เนื่องจาก่นี้ความปลอดภัยในทางสาธารณะนั้นแย่มาก ดังนั้นทางหมู่บ้านจึงมีการจัดสหายส่วนหนึ่งให้ออกลาดตระเวนตามตรอกซอกซอยต่างๆ ในเวลากลางคืนซึ่งแบ่งเป็กลุ่มละสองคน
หนึ่งในสหายหญิงนั้นมองหน้าซย่านีแล้วถามขึ้น “ซย่านี? เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ทำไมไม่กลับบ้าน? นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”
สหายสายตรวจล้วนคัดเลือกมาจากคนในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียง ทุกคนอยู่บนถนนสายเดียวกันจึงรู้จักกันหมด
“เธอน่ะอยากเข้าไปแต่คนข้างในไม่เปิดประตูให้ต่างหาก” เซี่ยงเหมยชิงพูดก่อน “นี่ก็เคาะประตูมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ป้าอู๋ดูสิพวกเด็กๆ หนาวจนหน้าแดงกันหมดแล้ว”
หากเป็วันธรรมดาหวังซิ่วอิงจะสั่งให้ซย่านีทำงานเท่าไหร่ก็ได้ พวกเธอเพื่อนบ้านจะไม่พูดอะไรสักคำแต่วันนี้อากาศหนาวมาก หวังซิ่วอิงกล้ากลับปล่อยแม่ลูกกลุ่มนี้ทิ้งไว้ด้านนอก ทำเช่นนี้มันจะมากเกินไปแล้ว
เร็วๆ นี้เบื้องบนกำลังประเมินอารยธรรมครัวเรือนและอารยธรรมชุมชน เหตุการณ์ของบ้านตระกูลซ่งนั้นแย่มาก หากเื่นี้แพร่กระจายออกไปแล้วส่งผลต่อการประเมินชุมชนของพวกเขาล่ะ ใครจะรับผิดชอบกันเล่า?
ดังนั้นป้าอู๋จึงก้าวไปข้างหน้าแล้วเข้ามายืนแทนที่ซ่งวั่งซู จากนั้นก็เคาะประตูไปพร้อมกับร้องะโเรียกคนด้านใน “หวังซิ่วอิง? หวังซิ่วอิงเธอเปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
