กองกำลังทั้งสองฝ่ายต่างก็แผ่รังสีสังหารออกมากันอย่างเต็มที่ ทำให้สถานการณ์ในตอนนี้เป็ไปอย่างตึงเครียด เหล่าบัณฑิตที่อยู่ภายในโรงอาหารไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาเลยสักนิด และความเงียบที่ดำเนินไปเช่นนี้ เกรงว่าหากมีเข็มสักเล่มร่วงตกลงบนพื้นก็คงจะได้ยินเสียงมันอย่างชัดเจน
ฉู่หมั่งจ้องคนทั้งสองอย่างเ็า มือข้างหนึ่งของเขายังคงกุมาแบริเวณหน้าอกเอาไว้ แม้ว่าระดับวรยุทธ์ของเขาจะสูงกว่าทั้งคู่ แต่เนื่องจากเขาจะเพิ่งถูกมู่เฟิงใช้กริชแทงหน้าอกจนทำให้เกิดาแฉกรรจ์มา ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ยังไม่แน่ว่าเขาจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
“พอได้แล้ว เื่เล็กน้อยแค่นี้ก็ช่างมันปะไร พวกเ้ายังคิดจะสู้กันอีกหรือ?”
ทันใดนั้นเสียงเ็าก็พลันดังขึ้น เพียงไม่นานเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกลุ่มคนในชุดคลุมสีขาว และบนแขนเสื้อของพวกเขายังปักตัวอักษรเป็คำว่า ‘ผู้คุมกฎ’
สตรีในชุดกระโปรงสีขาวผู้มาใหม่นี้มีใบหน้างดงามและโดดเด่นเป็อย่างมาก ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ คิ้วโก่งโค้งเหมือนใบหลิว ดวงตากลมโตราวกับเมล็ดซิ่ง ทว่าในแววตาคู่งามกลับมีเพียงความเ็าเท่านั้น ส่วนรูปร่างของนางก็สามารถกล่าวได้ว่าเป็สัดส่วนทองคำที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
“ข่งย่วน!”
เมื่อผู้คนรอบข้างเห็นสตรีผู้นี้ พวกเขาก็แสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาทันที เหมือนกับหนูเห็นแมวอย่างไรอย่างนั้น
ข่งย่วนคือยอดฝีมืออันดับสองของสำนักศึกษาเทียนอวิ่น ความแข็งแกร่งของนางนั้นทรงพลังเป็อย่างมาก นอกจากนี้นางยังเป็หัวหน้าผู้คุมกฎที่มีนิสัยเ็าราวกับก้อนน้ำแข็ง
เมื่อฉู่หมั่งเห็นสตรีผู้นี้ปรากฏตัว แววตาของเขาก็เผยให้เห็นถึงร่องรอยของความหวาดกลัว ผู้คนโดยรอบต่างก็รีบหลีกทางให้นางในทันที ข่งย่วนเดินนำเหล่าผู้คุมกฎเข้ามาอย่างใจเย็น
“ทำไมเล่า ฉู่หมั่ง หยวนเฮ่า พวกเ้ายัง้าจะต่อสู้หลั่งเืกันที่นี่อีกอย่างนั้นรึ!”
ข่งย่วนเหลือบมองพวกเขาอย่างเ็า
“เหอะๆ ศิษย์พี่ข่งล้อพวกข้าเล่นแล้ว พวกเราเพียงแค่แลกเปลี่ยนทักษะวิชาการต่อสู้กันเท่านั้น”
ฉู่หมั่งประสานมือกำหมัดก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“หึ ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าพวกเ้าจะทำอะไร แต่กฎของสำนักศึกษาคือกองกำลังใหญ่ห้ามต่อสู้กัน หากพวกเ้าอยากเยือนหอคุมกฎ ข้าก็ยินดีที่จะนำทาง”
ข่งย่วนแค่นเสียงออกมาอย่างเ็า ชายหนุ่มทั้งสองจึงเงียบเสียงโดยไม่คิดจะโต้แย้งทันที
จากนั้นหญิงสาวก็กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่โดยรอบ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยท่าทางวางอำนาจว่า “ถึงเวลากินข้าวก็ควรจะรีบกิน หากยังชักช้า ต่อไปก็อย่าหวังว่าจะได้กินอีก”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ไม่มีใครกล้ารั้งอยู่ต่อ รีบแยกย้ายกันไปในทันที
ข่งย่วนชำเลืองตามองมู่หลิงเอ๋อร์ที่กำลังประคองมู่เฟิงไว้ในอ้อมแขน นางไม่ได้กล่าวอะไรกับอีกฝ่าย เพียงแค่หันไปพูดกับฉู่หมั่งว่า “โต๊ะเก้าอี้ที่พังไป เ้าต้องชดเชยเป็เงินจำนวนสิบเท่า แยกย้ายกันไปได้แล้ว”
“ขอรับ ศิษย์พี่ข่ง”
ทั้งสองฝ่ายประสานมือกำหมัดรับคำอย่างนอบน้อม เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นี้มีอำนาจอยู่ไม่น้อย
เพราะไม่มีทางเลือก เนื่องจากหอคุมกฎคือกองกำลังที่คอยดูแลกฎระเบียบและความเรียบร้อยของเหล่าบัณฑิต โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักศึกษา อีกทั้งสำนักศึกษายังให้อำนาจในการลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนกฎอย่างเต็มที่อีกด้วย
ฉู่หมั่งหยิบถุงเงินออกมาจากแหวนเฉียนคุน ก่อนจะส่งมอบมันให้กับข่งย่วน จากนั้นน้องสาวของเขาก็เข้ามาประคองเขาจากไปพร้อมกับคนของเขา
แต่ทันใดนั้นเองมู่หลิงเอ๋อร์ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ฉู่หมั่งเื่นี้ไม่จบแค่นี้แน่”
ฉู่หมั่งเหลือบตามองมู่หลิงเอ๋อร์พร้อมกับแผ่รังสีสังหารออกมา แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงยิ้มอย่างเหยียดหยันโดยไม่ได้สนใจคำขู่ของนาง
จากนั้นมู่หลิงเอ๋อร์ก็ประคองร่างของมู่เฟิงจากไป พร้อมกับหยวนเฮ่าและคนอื่นๆ
สองวันต่อมา
แสงอาทิตย์ในวสันต์ฤดูสาดส่องผ่านหน้าต่างตกกระทบลงบนร่าง บรรยากาศเช่นนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกเกียจคร้านขึ้นมาไม่น้อย
ภายในเรือนพักของมู่เฟิง เด็กหนุ่มยังคงนอนอยู่บนเตียงโดยมีว่านเอ๋อร์ใช้ผ้าคอยเช็ดรอยฟกช้ำตามตัวของเขาให้ ดวงตาของเด็กสาวกำลังแดงระเรื่อและมีรอยช้ำเล็กน้อย
มู่เฟิงถูกทุบตีจนซี่โครงหักไปสองซี่ นอกจากนี้บนตัวของเขายังเต็มไปด้วยรอยฟอกช้ำและแผลถลอก โชคดีที่อาการาเ็ภายในไม่ได้ร้ายแรง
มู่เฟิงมองว่านเอ๋อร์ก่อนจะยิ้มออกมา ฝ่ามือของเขาลูบลงบนเส้นผมของนางแ่เบา
“าเ็ขนาดนี้ เ้ายังจะยิ้มได้อีกหรือ”
ว่านเอ๋อร์หวีดเสียงร้องออกมาทันที
“ฮิๆ มีหญิงงามคอยดูแลแบบนี้ ต่อให้ต้องาเ็ข้าก็ยินดี”
มู่เฟิงหัวเราะร่า
“เ้า...ฮึ่ม ข้าไม่สนใจเ้าแล้ว”
ว่านเอ๋อร์กลอกตามองมู่เฟิง นางโยนผ้าผืนนั้นลงบนตัวของเขาก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้น มู่เฟิงก็แสร้งทำเป็ร้องออกมาอย่างเ็ป “อ่า เจ็บ...”
“เฟิง…”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของว่านเอ๋อร์ก็พลันเปลี่ยนไปในทันที เด็กสาวรีบถามด้วยความเป็กังวลว่า “เ้าเจ็บตรงไหนหรือ”
“เจ็บตรงนี้…”
มู่เฟิงชี้ไปที่หน้าอกของเขา
“พี่หญิง ท่านมาั้แ่เมื่อใด”
มู่เฟิงกล่าวขึ้นด้วยความเก้อเขิน
“พี่หลิงเอ๋อร์ ท่านคุยกับเฟิงเถอะ ข้าจะออกไปก่อน”
สีหน้าของว่านเอ๋อร์พลันแดงก่ำขึ้นมาเพราะความเขินอาย เด็กสาวมองมู่หลิงเอ๋อร์อย่างเก้อเขิน จากนั้นนางก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
มู่เฟิงยังคงได้กลิ่นหอมจากฝ่ามือของตัวเอง มันคือกลิ่นกายของว่านเอ๋อร์
เมื่อมู่หลิงเอ๋อร์เดินเข้ามา นางก็บิดหูของมู่เฟิงอย่างแรงและหมุนมันสามร้อยหกสิบองศา ก่อนจะกล่าวอย่างถมึงทึงว่า “ช่างดีนักเ้าเด็กหน้าหนา ข้าให้เ้าพักฟื้นหวังให้เ้าหายดี แต่เ้ากลับมาเรียนรู้ที่จะกลั่นแกล้งว่านเอ่อร์อย่างนั้นรึ”
“โอ๊ย เจ็บ เจ็บ พี่หญิง ข้าผิดไปแล้ว ข้ากลั่นแกล้งว่านเอ๋อร์ที่ไหนกัน ข้า โอ๊ย ข้าผิดไปแล้ว ท่านปล่อยมือนะ ข้าเจ็บ”
มู่เฟิงร้องออกมาด้วยความเ็ป เขารีบขอความเมตตาจากพี่สาวของตัวเองในทันที
“หึ!”
มู่หลิงเอ๋อร์พ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็า จากนั้นนางก็ยอมปล่อยมือ ก่อนจะนั่งลง
มู่เฟิงลูบหูตัวเองเบาๆ ขณะมองไปยังมู่หลิงเอ๋อร์ที่ยังคงมีสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย เด็กหนุ่มรีบกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มขี้เล่นว่า “พี่หญิง ข้าผิดไปแล้ว”
มู่เฟิงจับแขนของมู่หลิงเอ๋อร์ ท่าทางออดอ้อนเช่นนี้ไหนเลยจะสามารถรู้ได้ว่าเวลาอยู่ในสนามรบเขาจะห้าวหาญและเืเย็นเพียงใด
มู่หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจ มือบางยกขึ้นดีดหน้าผากของเขาอย่างแรง จากนั้นนางก็ดุเขาทั้งรอยยิ้มว่า “เ้าเด็กไม่รักดี เ้าเพิ่งจะโตกลับมีความคิดที่จะรังแกว่านเอ๋อร์แล้ว เ้าในตอนนี้ยังไม่เป็ผู้ใหญ่เต็มตัวด้วยซ้ำ”
มู่เฟิงหน้าแดง เขากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มแห้งว่า “แหะๆ ก็ข้าหักห้ามใจไม่ได้"
“แล้วเ้าเป็อย่างไรบ้าง อาการาเ็ดีขึ้นหรือยัง”
มู่หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามถึงอาการาเ็ของเขา ในขณะที่นิ้วเรียวบางก็ลูบลงบนรอยแผลของมู่เฟิงเบาๆ ยิ่งเห็นาแนางก็ยิ่งปวดใจ
“ข้าไม่เป็อะไร แล้วมู่ขวงกับจื่อเยว่เป็อย่างไรบ้าง?”
มู่เฟิงเอ่ยถามถึงเด็กหนุ่มอีกสองคน
“จื่อเยว่ไม่เป็อะไรมาก แต่าแบนฝ่ามือของมู่ขวงนั้นค่อนข้างรุนแรง ต้องให้เขาพักฟื้นต่ออีกหนึ่งเดือนถึงจะสามารถฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม”
มู่หลิงเอ๋อร์กล่าวตอบเสียงเบา
หลังจากที่ได้ยินดังนั้นแล้ว สายตาของมู่เฟิงที่อยู่ในอ้อมแขนของมู่หลิงเอ๋อร์ก็พลันเปลี่ยนเป็เ็า “ฉู่หมั่งผู้นั้น ข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่”
“เอาละ เ้าในตอนนี้ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา รักษาอาการาเ็ของเ้าให้ดี ส่วนมันผู้นั้น พี่หญิงของเ้าจะช่วยจัดการให้เ้าเอง เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนักหรอก”
มู่หลิงเอ๋อร์ดีดนิ้วลงบนหน้าผากของมู่เฟิงอีกครั้ง เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งในทันที เขามองมู่หลิงเอ๋อร์ด้วยสายตาตกตะลึง หญิงสาวยกมือขึ้นแตะใบหน้าของตัวเองก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ทำไม หน้าข้ามีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือ”
“พี่หญิง ท่านดูเปลี่ยนไปนะ”
มู่เฟิงกล่าว
หัวใจของมู่หลิงเอ๋อร์พลันสั่นสะท้าน แต่นางยังคงรักษาสีหน้าเอาไว้ และไม่ลืมที่จะกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างหยอกล้อว่า “พี่หญิงของเ้าเปลี่ยนไปแล้ว สวยขึ้นใช่หรือไม่”
“ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้น จิตสังหารของท่านเมื่อครู่ช่างรุนแรงนัก ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ท่านก็ให้ความสำคัญกับคุณค่าของชีวิตมาก ไม่มีทางพูดเื่ฆ่าฟันเช่นนี้ออกมาหรอก”
มู่เฟิงขมวดคิ้ว
มู่หลิงเอ๋อร์เงียบเสียงลง แต่ฉับพลันนั้นมู่เฟิงกลับกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ไม่ว่าท่านจะเป็แบบไหน ข้าก็ล้วนชอบทั้งหมด”
มู่หลิงเอ๋อร์ยังคงเงียบ นางจ้องมองมู่เฟิงด้วยสีหน้าลังเลซึ่งดูผิดปกติไปจากเดิม
“เสี่ยวเฟิง หากว่าพี่หญิงของเ้าเปลี่ยนไปแล้วเล่า?”
หลังจากเงียบไปสักพัก ในที่สุดมู่หลิงเอ๋อร์ก็เอ่ยถามออกมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้