วันนี้มีคณะกรรมการอยู่จำนวนห้าคน อย่างน้อยๆ เป้าหมายที่เซี่ยเสี่ยวหลานวางไว้ก็คงกินใจแคทเธอรีนกับจานอ้ายฉวิน
ทำไมผู้หญิงต้องด้อยกว่าผู้ชาย?
แม้ในแง่พละกำลังจะแตกต่างกันก็จริง แต่สติปัญญาควรต่างกันด้วยอย่างนั้นหรือ?
ใช่แล้ว สายอาชีพสถาปัตยกรรมนั้นค่อนข้างลำบาก ทว่ามันไม่ใช่อาชีพที่ต้องใช้กำลังกายเพื่อประสบความสำเร็จ ยังต้องอาศัยความรู้และความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานมากกว่า คนที่คิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเรียนสถาปัตยกรรมแล้วจะไร้อนาคตจึงบอกให้เธอไปเป็ดาราที่ฮ่องกงต่างหากที่คิดไม่ซื่อ!
ผู้หญิงทำได้แค่อาศัยหน้าตาเพื่อหาเงินอย่างนั้นหรือ ใช้สมองสร้างความสำเร็จบ้างไม่ได้หรืออย่างไร?
ค่านิยมของสังคมในยุค 80 มีการเรียกร้อง ‘ความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง’ มากกว่าอนาคตเสียอีก ไม่ใช่แค่ออกมาเรียกร้องเท่านั้น แต่สภาพแวดล้อมโดยรวมก็เป็เช่นเดียวกัน ตำแหน่งงานที่ผู้ชายทำ ผู้หญิงก็สามารถทำได้เช่นกัน
ผู้หญิงทำงานอย่างจานอ้ายฉวินและกวนฮุ่ยเอ๋อมีจำนวนมากมาย ผู้หญิงที่ไม่ทำงานอยู่แต่ที่บ้านต่างหากที่มีเป็ส่วนน้อย
หากตัดเื่เนื้อหาที่เซี่ยเสี่ยวหลานพูด ทักษะการพูดของเธอไม่แย่เลยจริงๆ !
ถูกเปลี่ยนโจทย์กะทันหัน มีเพียงการแนะนำตัว่แรกเท่านั้นที่เตรียมการมาก่อนแล้วล่วงหน้า ส่วนสองโจทย์ที่เหลือต่อให้เก็งข้อสอบมาก่อนก็ไม่มีวันเดาถูก ดังนั้นการแสดงออกทั้งหมดคือความสามารถที่แท้จริงของเธออย่างแน่นอน โจทย์พวกนี้สวีกั๋วจางปรึกษากับกรรมการอีกแค่สองคนเท่านั้น ไม่มีทางที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะรู้คำถามล่วงหน้าได้
พิธีกรพูดคำว่าให้คะแนน อาจารย์หลินและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างเวทีต่างพากันกลั้นหายใจทันที
อาจารย์หลินคิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานทำได้ดีมาก โจทย์ข้อที่สองถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหันเพราะพวกคณะกรรมการอย่างสวีกั๋วจาง้าขัดขวางการโกงข้อสอบสินะ!
เช่นนั้นการตอบคำถามเมื่อครู่ของเซี่ยเสี่ยวหลาน จะสามารถไขข้อข้องใจของกรรมการได้หรือเปล่า?
“เด็กคนนี้พูดจาได้ดีจริงๆ”
ย่าโจวกดเสียงให้เบาลง “ฉันว่าเธอตอบดีที่สุด ว่าไหม”
ย่าโจวย่อมลำเอียงอยู่แล้ว สำหรับเธอนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนที่พูดดีที่สุด ครั้งนี้ผู้ชมที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังต้องยอมแพ้ ดีที่สุดหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่อย่างน้อยต้องยอมรับว่าการตอบคำถามของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นโดดเด่นมากจริงๆ
หากไม่ใช่คนที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ต้องอยู่อันดับต้นๆ จากในบรรดาผู้เข้าแข่งขัน 17 คนที่แข่งผ่านไปแล้ว
พิธีกรได้เชิญกรรมการให้คะแนน คณะกรรมการทั้งห้าต่างกระซิบกระซาบปรึกษากัน แคทเธอรีนยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมสวีกั๋วจางถึงได้เปลี่ยนโจทย์อย่างกะทันหัน สวีกั๋วจางเขียนสาเหตุลงบนกระดาษสั้นๆ เมื่อจานอ้ายฉวินเห็นดังนั้นเธอก็รู้สึก ‘นับถือ’ หวังกวงผิงจนพูดไม่ออก ‘นับถือ’ แบบประชดประชันน่ะสิ เขาเป็ถึงคนระดับหัวหน้า ยังกล้าทำเื่ไร้ศีลธรรมแบบนี้อีกหรือ?
ฉวยโอกาสตอนเธอออกไปจ่ายเงินค่าอาหาร มิน่าตอนกลับมาท่าทีของศาสตราจารย์สวีถึงได้เปลี่ยนไปแบบนั้น เขาคงเห็นเธอเป็พวกเดียวกับหวังก่วงผิงสินะ!
ถ้าไม่ใช่เพราะถ่ายรายการอยู่ จานอ้ายฉวินคงลุกขึ้นด่าหวังก่วงผิงว่าเลวเสียจริงอย่างแน่นอน
“ถ้าอย่างนั้นจะให้คะแนนอย่างไรคะ”
จานอ้ายฉวินสูดลมหายใจลึกข่มโทสะ
การแข่งขันไม่ว่าครั้งไหนย่อมมีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เสมอ แม้แต่การแข่งขันในต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน และนี่เป็เื่ภายในของคนจีน แคทเธอรีนจึงไม่ขอออกความเห็น
“ฉันจะให้คะแนนสูงกับเธอ นี่ต่างหากคือความยุติธรรม ฉันชอบผู้เข้าแข่งขันคนนี้ เธอเก่งมากไม่ใช่หรือคะ”
กรรมการคนอื่นๆ ไม่ได้เถรตรงเหมือนหญิงสาวชาวอังกฤษ ทุกคนปรึกษากันเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะเขียนคะแนนของตัวเองลงบนกระดาษ
“กรรมการแคทเธอรีน 98.9 คะแนน กรรมการจานอ้ายฉวิน 98.4 คะแนน กรรมการสวีกั๋วจาง 98.1 คะแนน... ตัดคะแนนสูงสุด 98.9 คะแนน และคะแนนต่ำสุด 97.8 คะแนนออกไป ผลคะแนนสุดท้ายของนักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานจะเป็เท่าไรกันครับเนี่ย?”
ผู้ชมด้านล่างหากไม่ใช่นักศึกษาก็เป็อาจารย์มหาวิทยาลัย คนที่ถูกคัดออกเป็เพราะพวกเขาทำได้ไม่ดีพอ แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็คนมีมันสมอง คิดเลขง่ายๆ แค่นี้ยังต้องรอให้พิธีกรคิดอีกหรือ มีคนะโตอบกลับไปว่า
“98.2 คะแนน!”
คะแนนเฉลี่ยของเซี่ยเสี่ยวหลานคือ 98.2 คะแนน!
คนไม่รู้ภาษาอังกฤษอย่างย่าโจวยังรู้เลยว่า นี่คือคะแนนที่สูงที่สุดในการแข่งขัน!
ถ้าผู้เข้าแข่งขันอีก 3 คนที่เหลือได้คะแนนน้อยกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอก็จะได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศ!
น้ำเสียงของพิธีกรเริ่มกระตุ้นบรรยากาศ “ใช่แล้วครับ ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 17 นักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานจากมหาวิทยาลัยหัวชิง ผลคะแนนสุดท้ายของเธอคือ 98.2 คะแนน ซึ่งเป็คะแนนที่สูงมาก จนถึงตอนนี้นี่คือคะแนนที่สูงที่สุดในการแข่งขันครับ”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณทุกคน! ขอบคุณคณะกรรมการด้วยนะคะ!”
เซี่ยเสี่ยวหลานคาดไม่ถึงแม้แต่น้อย
เธออยู่ลำดับที่ 17 ั้แ่การบันทึกภาพผู้เข้าแข่งขันคนแรกจนถึงลำดับของเซี่ยเสี่ยวหลาน ใช้เวลารอทั้งหมดนานถึงสี่ชั่วโมงกว่า
ระยะเวลาสี่ชั่วโมงกว่านี้ เธอรู้ดีว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสียเปรียบ อีกทั้งอาจารย์หลินและศาสตราจารย์เฮ่อก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแต่อย่างใด เธอจึงทำได้แค่แบกรับแรงกดดันด้วยตัวเอง จากนั้นเธอก็ต้องเจอกับการเปลี่ยนโจทย์อย่างกะทันหัน คำตอบของเธอไม่ได้ตรงตามแบบแผนแม้แต่น้อย เพราะเธอจำเป็ต้องเสี่ยงตอบคำถามที่แหวกแนวที่สุดเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองเื่การใช้เส้นสาย
เธอทำได้แล้ว!
แถมยังได้คะแนนดีกว่าที่คาดไว้เสียอีก!
ต่อให้ผู้เข้าแข่งขันอีกสามคนที่เหลือจะทำคะแนนได้ดีกว่าเธอ อย่างน้อยที่สุดเธอก็ได้รางวัลชนะเลิศ
ถ้ากระทรวงศึกษาธิการอยากส่งนักศึกษาไปแลกเปลี่ยนตามอันดับของการแข่งขัน ผู้ได้รางวัลชนะเลิศคงได้ไปอย่างแน่นอน
“นี่คือความสามารถของคุณเอง และฉันชอบความคิดของคุณมากค่ะ ขอกอดสักครั้งได้ไหมคะ”
แคทเธอรีนลุกขึ้นกางแขนสองข้าง เซี่ยเสี่ยวหลานสวมกอดแคทเธอรีนทันทีอย่างไม่ลังเล
“ไฮ สาวน้อย! คุณต้องจำไว้นะว่าที่อังกฤษก็มีสถาบันสถาปัตยกรรมที่ดีเหมือนกัน ถ้าเรียนจบจากหัวชิงแล้วอยากไปศึกษาต่อที่นั่น ฉันยินดีเขียนจดหมายแนะนำให้เธอเอง!”
เสียงปรบมือในงานดังกึกก้องยิ่งกว่าเดิม
นี่ก็คือมิตรภาพระหว่างจีนกับอังกฤษ แคทเธอรีนชื่นชมในตัวนักศึกษาชาวจีนมากทีเดียว
ผู้ชมด้านล่างเวทีรู้สึกตื้นตัน ผู้กำกับรายการเองก็น้ำตาคลอ รายการช่างน่าติดตามอะไรเช่นนี้ แค่ผู้เข้าแข่งขันอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานคนเดียว เขาสามารถตัดต่อเป็รายการแยกต่างหากอีกหนึ่งตอนได้เลยด้วยซ้ำ!
—-----------------------------------------------------
“คงได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศแล้วแน่ๆ !”
อาจารย์หลินรู้สึกตื่นเต้นจนลุกขึ้นยืน ศาสตราจารย์เฮ่ออยากบอกให้เธอใจเย็นลงหน่อย แต่มุมปากของเขาก็หุบยิ้มไม่ได้เช่นกันน่ะสิ
“ฉันบอกได้แค่ว่ามีโอกาสสูงมากทีเดียว”
ศาสตราจารย์เฮ่อพูดอย่างถ่อมตัว
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีขนาดนี้
หากไม่มีการเปลี่ยนโจทย์อย่างกะทันหันของคณะกรรมการ เซี่ยเสี่ยวหลานก็คงไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือเช่นนี้อย่างแน่นอน
นี่ก็คือสิ่งที่ชาวจีนชอบพูดกันว่า ‘เื่ดีในเื่ร้าย’ !
จี้เจียงหยวนรู้สึกโล่งอก เซี่ยเสี่ยวหลานเป็ผู้เข้าแข่งขันที่พร้อมรับแรงกดดันในการสอบทุกรูปแบบจริงๆ ยิ่งกดดันเธอก็ยิ่งทำได้ดี ไม่มีทางสติแตก และยิ่งเมื่อเจอคนเก่งก็ยิ่งพัฒนามากกว่าเดิม!
เซี่ยเสี่ยวหลานกอดแคทเธอรีน หลังฟังคำชมจากพวกกรรมการแล้วเธอก็โบกมือลาผู้ชม ก่อนจะเดินกลับไปที่หลังเวทีทันที
“ฉันบอกแล้วว่าเสี่ยวหลานต้องได้ที่หนึ่งแน่ๆ ”
ั้แ่เซี่ยเสี่ยวหลานเดินขึ้นเวที อาการอ่อนล้าหลังจากนั่งมานานหลายชั่วโมงของย่าโจวก็หายเป็ปลิดทิ้ง ตอนนี้เธอภูมิใจเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
กวนฮุ่ยเอ๋อกระตุกแขนเสื้อหญิงชราเล็กน้อย
“คุณแม่อย่าเพิ่งพูดเลยค่ะ เราต้องรอให้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นแข่งเสร็จก่อนนะคะ”
ยังมีผู้เข้าแข่งขันอีกสามคนที่ยังไม่ได้แข่งมิใช่หรือ เกิดมีคนที่เก่งกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานขึ้นมา กวนฮุ่ยเอ๋อไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเองจริงๆ ทว่าครั้งนี้ผู้ชมที่นั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้รังเกียจที่ย่าโจวพูดเสียงดังอีกแล้ว ทั้งยังถามอย่างอิจฉาว่า
“หมายเลข 17 เป็ญาติของพวกคุณหรือ”
ย่าโจวพยักหน้า “หลานฉันเอง เป็อย่างไรเล่า ฉันบอกแล้วว่าเธอต้องได้ที่หนึ่ง ไม่ผิดใช่ไหมล่ะ”
“เด็กสาวคนนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ฝักใฝ่ความก้าวหน้ายิ่งนัก คุณรอเสพสุขได้เลย!”
กรรมการจากประเทศอังกฤษยังบอกเลยว่า ยินดีต้อนรับหากเธออยากไปเรียนต่อที่อังกฤษ อนาคตของผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 17 อย่างเซี่ยเสี่ยวหลานคนนี้คงไปได้ไกลอย่างแน่นอน วงศ์ตระกูลมีลูกหลานเช่นนี้ สุสานบรรพบุรุษคงหันถูกทิศ [1] เป็แน่ รับรองว่าต้องเจริญอย่างแน่นอน!
เชิงอรรถ
[1] ความเชื่อตามหลักฮวงจุ้ยของชาวจีนเชื่อว่า หากสุสานของบรรพบุรุษหันไปในทิศทางที่ถูกต้อง คนรุ่นหลังของตระกูลจะมีความเจริญก้าวหน้า