เพราะจารวีเดินเข้ามาใกล้…ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันเริ่มดังชัด มารตียืนตัวแข็งไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลงเมื่อริมฝีปากของอีกฝ่ายแตะลงบนริมฝีปากของเธอ อ่อนโยน…และรุนแรงในคราเดียวกัน...ลิ้นทั้งสองพันไขว้กันไปมา
ชุดเดรสสายเดี่ยวผ้าบาง ที่เพิ่งสวมใส่ตอนออกมาจากครัว ของมารตีถูกปลดออกด้วยฝ่ามือที่ชำนาญ ก่อนที่คนตรงหน้าจะคุกเข่าลงพลางค่อยๆ รูดบิกินี่ตัวน้อยลงช้าๆ จนม้วนเป็ก้อนกลมลงไปที่ข้อเท้า ก่อนจะถูกเขี่ยออกไปเบาๆ
ในขณะที่ผ้าปูเตียงสีขาวเริ่มยับย่นจากการขยับเคลื่อนไหว เสียงหอบหายใจเริ่มดังสลับกับเสียงหัวใจที่เต้นถี่ ทุกการััของจารวี คือการระลึกถึง และทุกการตอบสนองของมารตี…คือการยืนยัน มือของจารวีลูบผ่านแผ่นหลังของมารตี ก่อนจะเลื่อนลงตามแนวโค้งอย่างมั่นใจ ก่อนจะวกมาด้านหน้าแล้วหยุดลงกลางกายที่มีเนินนูนนุ่มชื้น ริมฝีปากซุกไซ้ที่ลำคอ ไล่เรื่อยลงไปตามแนวอกจนถึงปลายยอด
เสียงของมารตีหลุดออกมาเบาๆ หัวใจของเธอสั่น…ไม่ใช่เพราะอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่เพราะเธอไม่เคยลืมว่าใครอยู่ตรงหน้า มารตีตอบกลับด้วยการจับหน้าของจารวีขึ้นมา จูบตอบอย่างลึกซึ้ง มือทั้งสองเกี่ยวกันแน่น ปลายนิ้วสอดประสานราวกับจะย้ำเตือนว่า คืนนี้…พวกเธอไม่ได้เป็เพียงแค่อดีต แต่ยังคงเป็ "กันและกัน"
เสียงเนื้อััเนื้อ…เสียงเตียงไหวเบาๆ เสียงลมหายใจที่ติดขัดในบางจังหวะ และเสียงครางแ่ที่เต็มไปด้วยแรงปรารถนา คือบทเพลงที่บรรเลงกลางแสงสลัวของห้องพักเล็กๆ กิจกรรมรักของทั้งสองไม่ใช่แค่การระบายความคิดถึง แต่คือการหลอมรวมที่ฝังแน่นในเนื้อแท้ของความสัมพันธ์ มันคือบทที่วนกลับมาซ้ำ…ของเื่ราวที่ไม่เคยจบลง
จันทร์เต็มดวง เริ่มลอยสูงขึ้น...วิชิตเดินขึ้นจากสวนหลังบ้านด้วยฝีเท้าหนักแน่นแต่เงียบงัน เขาไม่ได้ตั้งใจจะหาเื่หรือคิดอะไรเกินเลย แค่จะขึ้นมาหาจารวีในห้องพัก ถามไถ่เื่ธรรมดาๆ หลังจากออกมาเดินเล่นด้วยความรู้สึกคลุมเครือ
ขณะเดินมาถึงหน้าห้องนอนแขก ประตูไม้บานสวยที่ควรปิดสนิทกลับแง้มไว้เล็กน้อย และมันก็ไม่ใช่ช่องว่างที่ใหญ่โตนัก…แต่เสียงบางอย่างที่ลอดออกมา กลับดังชัดเจน ไม่ใช่เสียงสนทนา ไม่ใช่เสียงหัวเราะ แต่มันคือเสียงของร่างกายกระทบกัน เสียงครางเบาๆ แต่เร้าอารมณ์ เสียงเตียงโยกเบาๆ ผสมกับเสียงลมหายใจที่กระชั้นขึ้นตามจังหวะ เสียงแ่เบาในลำคอของใครคนหนึ่ง…ครางออกมาทั้งที่พยายามกลั้นไว้
มันเป็เสียงที่ทั้งร้อนแรงและเจือด้วยความลึกซึ้งบางอย่าง และเสียงนั้นไม่ได้เป็ของจารวีเพียงคนเดียว มือของวิชิตแตะแ่ที่บานประตูก่อนจะดันเข้าไปเล็กน้อย ดวงตาเขาเบิกโพลงชั่ววินาทีแรกที่มองลอดเข้าไปในห้อง
มารตีนอนเปิดเปลือยร่างอยู่บนผ้าปูสีขาว ผมสีเข้มยาวสยายบนหมอน เรียวขาสองข้างแยกออกกว้างอย่างไร้การปกปิด ริมฝีปากเผยอหอบหายใจ ลมหายใจขาดเป็่ๆ และระหว่างกลางลำตัวเธอ จารวีกำลังซุกหน้าอยู่ตรงนั้นอย่างแแ่ ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งบรรยากาศ มันราวกับเวทมนตร์ต้องห้าม และต้องใช้ใจที่นิ่งจริงๆ ถึงจะไม่ถูกเผาไหม้ในอารมณ์นั้น
แต่วิชิต…ไม่ได้โกรธ...เขาเงียบ เหมือนหัวใจค่อยๆ ถูกเปิดทีละชั้น และความรู้สึกที่แทรกเข้ามา ไม่ใช่ความโกรธหรือความหึงหวง มันคือความตื่นรู้ ว่าเขากำลังอยู่ในบ้านของใครบางคน ที่เส้นใยของความสัมพันธ์…ไม่ใช่แค่ชายหญิง ไม่ใช่แค่รักหรือเซ็กส์ แต่มันลึกกว่านั้น
สายตาเขายังจับจ้องอยู่ตรงร่างของมารตี ที่ตอนนี้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาของเธอหลับแน่น หยาดน้ำบนขนตาคือเหงื่อ หรืออย่างอื่น เขาไม่รู้ แต่มันสวยมาก…และเป็ความสวยงามที่ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ แต่มันคือแรงดึงดูดแบบที่เขาไม่เคยพบมาก่อนในชีวิต ไม่ว่าเขาจะเคยผ่านผู้หญิงมากี่คน หรือรู้จักความ้าในร่างกายตัวเองแค่ไหน ผู้หญิงคนนี้ มารตี มีบางอย่าง ที่เขายอมรับกับตัวเองว่าต่อต้านไม่ได้
ภาพในหัวเขาเริ่มขยับ...คิดถึงวันก่อนที่เขาเห็นเธอเดินผ่านตอนเช้า...คิดถึงชุดกันเปื้อนที่เปิดหลังเปลือยในครัว และภาพแว่บๆ ตอนเธอก้มหยิบของ และตอนนี้ เขาเห็นทั้งหมด แม้ซอกมุมที่ลึกลับ มันไม่ใช่แค่เรือนร่าง แต่คือพลังบางอย่างที่ผู้หญิงคนนี้แบกรับ และกระจายออกมาอย่างเงียบงัน
เขาถอยหลังออกมาเงียบๆ โดยไม่ได้เปิดประตู ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เดินออกมาที่ระเบียงไม้ด้านข้าง และเขาก็พบใครบางคน…ที่นั่งอยู่ตรงนั้นั้แ่แรก ปพนต์
หนุ่มใหญ่รูปร่างสูง สวมเพียงกางเกงผ้าลินินบางเบา ไม่ใส่เสื้อ มือถือแก้วไวน์แดง กำลังเหม่อมองดวงจันทร์ที่สุกสกาว เมื่อเห็นวิชิตเดินมา ปพนต์ก็หันมายิ้มเล็กน้อยๆ แบบที่ยากจะอ่านความหมายได้ แต่แววตาของเขา...เหมือนจะรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว
"ลมเย็นดีใช่มั้ยครับ" ปพนต์เอ่ยเบาๆ น้ำเสียงทุ้มเบา วิชิตไม่ตอบในทันที แต่กลับยืนอยู่ข้างๆ แล้วถอนหายใจ
"ผม...ได้ยินบางอย่าง"
ปพนต์ยกแก้วขึ้นจิบ แล้ววางมันลงบนโต๊ะไม้ด้านข้าง "คุณไม่ได้ ได้ยิน หรอกครับ...คุณ เข้าใจ แล้วต่างหาก"
วิชิตหันมามองเขา แปลกใจที่ปพนต์ไม่ใ ไม่โกรธ ไม่ปฏิเสธ ปพนต์เพียงยิ้มบางๆ ดวงตานิ่งราวกับผ่านอะไรมากมาย
“คนบ้านนี้…เรารักกันด้วยวิธีของเรา” เขาพูด
แล้วจู่ๆ วิชิตก็รู้สึก ว่าเขาเป็เพียงคนนอกที่พลัดหลงเข้ามา แต่ไม่ใช่เพราะถูกกันออก แต่เป็เพราะยังไม่เข้าใจพอ แต่เมื่อเข้าใจแล้ว…อาจจะไม่มีหนทางให้เดินกลับออกไปอีก
เสียงลมพัดใบไม้ไหวเบาๆ เป็จังหวะเหมือนเดิม แต่ค่ำคืนนี้ ต่างจากทุกคืนที่ผ่านมา สวนหลังบ้านถูกประดับด้วยโคมไฟเล็กๆ แขวนเรียงรายระหว่างต้นลีลาวดี เทียนไขวางเรียงบนโต๊ะไม้สำหรับวางอาหาร ที่ปูด้วยผ้าขาวสะอาด และมีดอกไม้สดประดับอย่างมีรสนิยม ไวน์แดงวางเรียงอยู่หลายขวด กลิ่นหอมของสเต๊กย่างลอยคละเคล้าไปกับกลิ่นเทียนหอม
มารตีในเดรสผ้าไหมผ่าลึกเผยเนินอกอิ่ม ชายกระโปรงแหวกข้าง เผยเรียวขาขาวแบบไม่ต้องตั้งใจ
และจารวี ก็สวยแบบเดียวกัน แต่ยั่วยวนต่างกัน เดรสบางเฉียบสายเดี่ยว รัดรูปที่เธอสวมอยู่ เป็ของมารตีเอง
ส่วนข้างในคือบิกีนี่ตัวจิ๋วที่ทั้งเล็ก ทั้งบางจนแทบมองเห็นผิวเนื้อ ก็เป็ของที่มารตีเคยสวมใส่เช่นกัน ทั้งสองสาวต่างแย่งความงามในสายตาวิชิตไปคนละแบบ และทั้งคู่ต่างก็รู้...โดยไม่ต้องพูดอะไร
ปพนต์แต่งตัวเรียบง่ายในเชิ้ตขาวและกางเกงขาสั้นผ้าหนา ขณะที่วิชิตสวมเชิ้ตสีเทาแขนยาวพับขึ้น เผยท่อนแขนแข็งแรง เขาดูเกร็งเล็กน้อย แต่ก็พยายามกลมกลืนในบรรยากาศหรูหราและอบอุ่นนี้ เสียงชนแก้วเริ่มต้นค่ำคืน บทสนทนาเบาๆ ปะปนเสียงหัวเราะ
แต่ในไม่ช้าหลังไวน์ขวดที่สองหมดลง บทสนทนาก็เปลี่ยนไป
“ผมเคยกลัวความรักมากครับ…” วิชิตเอ่ยขึ้นกลางวงแสงเทียน เสียงเขาเบาแต่จริงใจ “ไม่ใช่เพราะเคยผิดหวัง แต่เพราะมันเปลี่ยนผมทุกครั้งที่เกิดขึ้น”
มารตีเงยหน้ามองเขา ดวงตาวาวขึ้นเล็กน้อย เธอเข้าใจประโยคนั้นดี…เพราะตัวเธอเองก็เปลี่ยนไปมากจากความรัก จากผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง สู่ภรรยาของชายหลายคน และผู้หญิงอีกหลายคน แต่คนในคืนนี้ คือคนที่เคยฝากรอยจูบไว้ที่กลางใจเธอ
“แล้วครั้งนี้ล่ะคะ…” จารวีถาม เธอใช้เสียงนุ่มๆ ขณะก้มเติมไวน์ให้แฟนหนุ่ม มือขาวเนียนลากไล้ผ่านต้นแขนเขาช้าๆ “คุณกลัวไหม”
“กลัว…ครับ” วิชิตตอบทันที “แต่ก็ยอมให้มันเกิดขึ้น เพราะผมรู้ว่าความรักที่ไม่เสี่ยง…มันก็ไม่ลึกพอจะเปลี่ยนชีวิตได้”
ปพนต์ยิ้มน้อยๆ มารตีนิ่งไปชั่วครู่ หัวใจเธอสั่น คำพูดของวิชิตเหมือนมีกระแสพลังบางอย่าง ไม่ได้เร่าร้อน แต่ลึกและอบอุ่น จนเธอเผลอเอามือแตะอกตัวเองเบาๆ เหมือนกลัวหัวใจจะหลุดจากวงโคจรที่เคยเป็
“คุณเข้าใจคนมากกว่าที่ฉันคิด…” เธอพูดเบาๆ เสียงเธอเหมือนจะกระซิบ แต่ทุกคนได้ยิน
จารวีสบตาเธอ ยิ้ม แต่นั่นไม่ใช่รอยยิ้มของคนที่สบายใจ มันคือรอยยิ้มของคนที่กำลังต่อสู้ในใจ
