“นายท่านขอรับ คุณชายต้วนอยู่ที่เมืองจินซานแล้ว หากเดินทางด้วยความเร็วเช่นนี้ อย่างช้าสุดน่าจะใช้เวลาอีกสามวันก็จะมาถึงที่นี่ขอรับ”
“จะให้สกัดเขาไว้หรือไม่ขอรับ?”
จ้าวซานเอ่ยถาม
แววตาของจ้าวต้านในเวลานี้มิอาจคาดเดาได้ เขามองเวินซีที่อยู่บนเตียง ไม่นานนักก็ส่ายหน้า “มิต้อง เ้ากลับไปได้แล้ว”
ต่อให้ต้วนจิงเย่จะอันตรายเพียงใด แต่ก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา ย่อมไม่กระทำการใดที่เป็การต่อต้านองค์ชายใหญ่
“ขอรับ” จ้าวซานตอบรับและออกไปนอกหน้าต่าง
ในห้องจึงเหลือเพียงจ้าวต้าน เขาเดินเข้าไปหาเวินซีที่เตียงด้วยฝีเท้าเบามาก ห่มผ้าห่มให้นางอย่างอ่อนโยน และใช้แขนเสื้อปัดตะเกียงให้ดับ
ความเงียบสงบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้อง
......
ทันทีที่กลับถึงร้านเครื่องหอม สืออีก็เอาผ้าห่มใหม่สองชุดมาจากจ่างกุ้ย หยิบตะเกียงแล้วเดินไปที่ห้องเก็บฟืนคนเดียว
เมื่อเห็นว่าเขาเข้ามา หลานเยว่เฉิงเพียงแค่เหลือบมองแวบหนึ่งแล้วก้มมองพื้นตลอด มิได้ยกเปลือกตาขึ้นมาแม้เพียงสักนิด
สืออีวางตะเกียงลงบนโต๊ะแล้วไปหยุดลงข้างเขา นำผ้าห่มมาปูลงที่เบื้องหน้า จากนั้นเอื้อมมือไปพยุงหลานเยว่เฉิงให้อยู่บนนั้น และใช้ผ้าอีกผืนห่มลงบนร่างของเขา
สืออีเมินเฉยต่อความเยือกเย็นอำมหิตที่แผ่ออกมาจากร่างของหลานเยว่เฉิงอย่างสิ้นเชิง
เมื่อแน่ใจว่าเขามิต้องทนหนาวแล้ว สืออีก็ลุกขึ้น เดินไปหยิบตะเกียงที่โต๊ะและกำลังจะออกไป
“ข้าพยายามปิดช่องโหว่อยู่เรื่อยมา แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเ้าจะทรยศข้า” หลานเยว่เฉิงยิ้มเยาะ
ประโยคนี้ทำให้สืออีสะดุ้ง แล้วหยุดชะงักลง
“นายท่าน...” ดวงตาของเขามืดลงแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ มีคำพูดติดอยู่ที่ปากแต่กลับพูดอันใดไม่ออก
“นายของเ้าคือเวินซี จะเรียกข้าว่านายท่านอีกไปไย? หรือคิดจะทรยศนายอีกครา?”
“หากข้ารู้ว่าเ้าเป็คนเช่นนี้ ข้าน่าจะปล่อยให้เ้าถูกกระทืบตายไปเสียั้แ่ตอนนั้น”
“เหมือนเวินซีจะไม่รู้ว่าเหตุใดเ้าจึงมาเป็ทหารลับให้ข้าสินะ หากนางรู้เข้า เ้าคิดว่านางจะยังเชื่อใจเ้าหรือ?”
คำพูดของหลานเยว่เฉิงทุกคำล้วนแทงใจสืออี เขาเม้มริมฝีปากเป็เส้นตรง มือที่ถือตะเกียงก็กำแน่นขึ้น
ตอนนั้นเขายากจนมาก เมื่อเห็นว่าน้องสาวกำลังจะหิวตาย เขาจึงได้ใช้ชีวิตเป็ขโมยโดยไม่มีทางเลือก
การถูกทุบตีเป็เื่ปกติที่ต้องพบเจอ บางคราเขายังถูกมัดตัวแล้วแขวนไว้ที่หน้าร้านค้า เพื่อให้ผู้คนที่ผ่านไปมาด่าสาปแช่ง น้องสาวสงสารเขา แต่เขามิได้รู้สึกอันใด ขอเพียงให้น้องได้มีชีวิตต่อไป แม้จะต้องลำบากเช่นไรก็ย่อมได้
จนกระทั่งในเหมันต์ปีหนึ่ง เขาถูกจับได้ว่าขโมยไก่ย่างของร้านอาหารแห่งหนึ่ง
จ่างกุ้ยเป็คนตระหนี่ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมคืน จึงสั่งให้คนรับใช้ทุบตีเขาให้ตาย
ตามบทบัญญัติแล้ว ผู้ที่ขโมยของแม้จะถูกคนจากร้านค้านั้นๆ ทุบตีจนตาย เ้าหน้าที่ก็ไม่ติดใจเอาความใด ด้วยเหตุนี้แม้ว่าที่ร้านจะมีคนมากมายนั่งทานอาหาร แต่กลับไม่มีผู้ใดคิดจะช่วยเขา
ในตอนที่เขาถูกทุบตีจนลมหายใจรวยริน ก็มีคนไปบอกจ่างกุ้ยว่าเขามีน้องสาว พวกเขาจึงไปนำตัวมา และทุบตีนางด้วย
นางที่ได้รับการปกป้องเป็อย่างดีตลอดมาจะทนความเ็ปได้เช่นไร นางถูกทุบตีเพียงเล็กน้อยก็สลบไป แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่หยุด ยังคงทุบตีต่อไป แม้นางจะกระอักเืแล้วก็ตาม
แม้เขาจะคุกเข่าวิงวอน หรือลุกขึ้นขัดขืนก็ไม่เป็ผล
ในตอนที่เขากำลังจะตายอย่างสิ้นหวัง หลานเยว่เฉิงได้เอ่ยปากช่วยเหลือไว้
เพียงประโยคเดียวที่ว่า “ช่างเถิด” จ่างกุ้ยก็พยักหน้าและโค้งคำนับตกลง ทั้งยังส่งเขากลับออกไปด้วยตนเอง
ในตอนนั้นเขาจึงเคารพบูชาหลานเยว่เฉิงมาก จึงเฝ้ารออยู่หน้าร้าน รอให้หลานเยว่เฉิงเดินออกมา จากนั้นเข้าไปคุกเข่า อ้อนวอนขอติดตามจนหลานเยว่เฉิงยอมรับในที่สุด
เพียงแต่ตอนนั้นเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าหลานเยว่เฉิงจะเป็คนที่โเี้อำมหิต หากรู้เช่นนั้น ในวันนั้นเขาคงจะไม่ขอติดตามไปด้วย
ภายหลังที่รู้เข้าและคิดจะหนีก็ไม่สามารถทำได้เพราะมีพิษอยู่ในร่าง และด้วยชีวิตของน้องสาว เขาจึงยังคอยรับใช้หลานเยว่เฉิงอยู่เรื่อยมา
“หากท่านอยากบอกนางก็บอกไปเถิดขอรับ” หลังจากที่ครุ่นคิด สืออีก็ก้มหน้าลงเอ่ยปากพูดเบาๆ
“เ้าไม่สนใจชีวิตน้องสาวแล้วหรือ?” หลานเยว่เฉิงพูดหยอกเขา
สืออีก้มหน้าลง มิได้สนใจคำพูดนั้นแล้วเดินออกไปนอกประตู
“ข้าได้ส่งจดหมายกลับไปเมืองหลวงให้คนไปจับน้องสาวเ้า เ้าคิดว่าต้านอวี้เสวียนหรือข้า ใครจะเร็วกว่ากัน?” หลานเยว่เฉิงยิ้มกว้างขึ้น
ตอนที่หลานเยว่เฉิงตัดสินใจรับเขามาเป็ทหารลับก็เพราะว่าควบคุมได้ง่าย ในยามนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าตนตัดสินใจไม่ผิด น้องสาวคนนั้นเป็หมากที่ใช้ควบคุมสืออี
“ท่านทำได้เช่นไร? ท่านจะทำอันใดกันแน่?”
คำพูดของหลานเยว่เฉิงได้ผล เสียงของสืออีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและกระวนกระวายใจ พลันรีบหันกลับมามองเขา
“ข้ามิได้จะทำอันใด เพียงแค่อยากสั่งสอนให้รู้ว่า จุดจบของคนที่ทรยศข้าจะเป็เช่นไร”
“ต้องทำเช่นไรท่านถึงจะปล่อยน้องสาวข้าไป?” สืออีมีน้ำเสียงเศร้า
“ติดตามข้างกายเวินซีไว้ ร่วมมือกับทหารลับภายนอกจับต้านอวี้เสวียนให้ได้ ยามนี้เ้าต้องดับธูปหอมที่อยู่บนโต๊ะเสีย”
ประสิทธิภาพของผงกระดูกอ่อนลดลงมากแล้ว ในยามนี้เหลือเพียงแค่ธูปหอมนั่นที่ควบคุมเขาไว้ หากธูปหอมดับลง ร่างกายของเขาก็จะฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว
สืออีมองธูปหอมด้วยสีหน้าลังเล เอาแต่ยืนนิ่งไม่ขยับ
“ข้าให้เวลาเ้าคิดคืนหนึ่ง กลับไปเถิด” หลานเยว่เฉิงยังไม่รีบร้อน
“ขอรับ” สืออีก้มหน้าแล้วถอยออกไป ปิดประตูห้องเก็บฟืน
......
“คุณหนูเวินซี คุณหนูเวินซีขอรับ...”
ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ยังไม่ทันที่เวินซีจะได้ลืมตาก็ได้ยินเสียงรีบร้อนของจ่างกุ้ย
ด้วยเสียงเคาะประตู เวินซีจึงตอบรับแล้วรีบตื่น หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จนางก็มาเปิดประตูให้
ขณะนั้นจ่างกุ้ยกำลังรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นนางออกมาก็ดีใจมากแล้วรีบพูด
“คุณหนูเวินซี ตระกูลเวินเคยกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันทำเครื่องหอมขอรับ เวลานี้เมื่อตระกูลเวินตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คนพวกนั้นจึงพากันไปทวงเงิน ตระกูลเวินได้ประกาศขายร้านค้าราคาต่ำกว่าปกติครึ่งหนึ่งเลยขอรับเพื่อที่จะนำเงินไปคืน”
“ครึ่งหนึ่งหรือ?” เวินซีหายง่วงนอนเป็ปลิดทิ้ง
เมื่อก่อนตระกูลเวินรุ่งเรืองมาก ร้านค้าที่พวกเขาซื้อไว้ล้วนอยู่ในทำเลทอง นางจะพลาดการประกาศขายครั้งนี้มิได้
“ไปกัน”
เมื่อคิดได้ นางก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนจ่างกุ้ยก็รีบตามไปทันที
ขณะนั้นผู้คนกำลังรายล้อมร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเวินเพื่อรอดูเื่สนุก เครื่องหอมภายในร้านถูกนำออกมาโละขายบริเวณด้านหน้า
จากที่เคยมีราคาสองสามตำลึงเงิน เวลานี้ลดเหลือเพียงไม่กี่อีแปะ ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น คนที่มาซื้อก็ยังมีไม่มาก
แม้ว่าชื่อเสียงของตระกูลเวินจะมิได้ป่นปี้นัก แต่ก็ไม่สามารถเรียกความไว้วางใจจากประชาชนกลับมาได้อีก
ขณะนั้นทุกคนในตระกูลเวินยืนอยู่ในร้าน ต่างก็อยู่ในสภาวะเคร่งเครียดและกดดัน สีหน้าของเวินอวิ๋นโปมืดมนสุดขีด แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฝูงชน เขาจำเป็ต้องปั้นหน้ายิ้ม
เมื่อมีคนมาเยอะแล้ว เขากับเวินเยียนก็เดินออกมาที่หน้าประตู
เขาเหลือบมองดูฝูงชน กระแอมสองสามครั้งพลันค่อยๆ เอ่ยปาก
“ทุกท่านขอรับ ข้าขอบพระคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ เชื่อว่าทุกท่านก็คงจะรู้แล้วว่าตระกูลเวินจะขายร้านค้า เช่นนั้นข้าจะไม่พูดพร่ำนะขอรับ”
“เราจะขายร้านค้าทั้งห้าร้าน รวมถึงร้านที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่ด้านหลังข้านี้ด้วย เราขายในราคาถูก ขอเพียงแค่ผู้ที่รับซื้อชำระเงินเต็มจำนวนทันที”
“......”
หลังจากที่เวินอวิ๋นโปพูดมากมาประมาณหนึ่ง สุดท้ายเขาก็บอกราคา
ในจำนวนร้านทั้งหมด ร้านที่มีราคาถูกที่สุดอยู่ที่ร้อยตำลึง ที่แพงที่สุดคือหนึ่งพันตำลึง แม้ราคานี้จะคุ้มค่ามาก แต่คนในเมืองมีกำลังซื้อไม่มากนัก ผู้ที่คิดจะซื้อไว้สักร้านสองร้าน เมื่อได้ยินราคาก็พากันล้มเลิกความตั้งใจ
เวินอวิ๋นโปมองดูกลุ่มคนพูดคุยกันอย่างคึกคัก แต่ก็ยังไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดมาซื้อ สีหน้าของเขาจึงยิ่งเศร้าหมอง