จนกระทั่งถึงเวลาเก็บร้านทั้งสองคนยังคงพูดคุยกันพลางเดินกลับไปยังกระโจม
แต่ขณะเดียวกันชุนเทียนก็กำลังหยอกให้เด็กน้อยขอทานทานอาหาร
เด็กน้อยขอทานคนนั้นใช้ดวงตากลมโตน่าสงสารมองไปทางเขาด้วยความซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล
ปากก็พร่ำพูด“พี่ชุนเทียน…เป็คนดีจริงๆ พี่ชุนเทียนเก่งมากจริงๆ เหตุใดท่านถึงได้ฉลาดเช่นนี้ เหตุใดท่านถึงได้เก่งกาจเช่นนี้…”
เมื่อถูกพูดชมเช่นนี้ชุนเทียนจึงดีใจมาก
เขาตบไปที่บ่าของขอทานด้วยความภาคภูมิใจ“อูตั่ว เ้าวางใจเถิด ไม่ว่าจะอย่างไรข้าก็ไม่มีทางทิ้งเ้าไว้แล้วจากไป เพียงแค่ข้าวมื้อเดียวไม่ใช่หรือข้าเลี้ยงเ้าไหว ั้แ่ตอนนี้ไปเ้าติดตามข้าไป ไม่ต้องไปที่ใดอีกแล้ว ต่อแต่นี้ไปข้ากินเ้าก็จะมีกิน”
อูตั่วยกมือขึ้นด้วยความดีใจ“ขอบคุณพี่ชุนเทียนเ้าค่ะ ตั่วเอ๋อร์ซาบซึ้งน้ำใจท่าน หวังแค่ว่าต่อไปพี่ชุนเทียนจะไม่รังเกียจตั่วเอ๋อร์ก็พอ”
มองรอยยิ้มใสซื่อบริสุทธิ์ของนางชุนเทียนพลันหัวเราะแหะๆก่อนจะสาบานอีกครั้งว่าจะเลี้ยงแม่นางที่น่าสงสารคนนี้ให้ดี
จะเลี้ยงนางราวกับเป็น้องสาวแท้ๆของตน
แต่ตั่วเอ๋อร์ในตอนที่ก้มกัดก้อนหมั่นโถว มุมปากกลับมีรอยยิ้มเ็า…
“บัดซบร้านค้าที่ชาญฉลาดเช่นนี้ แต่กลับจ้างคนโง่มาเป็พนักงานดูเหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะทำงานสำเร็จแล้วจริงๆ ...”
ขณะที่ทุกคนในเรือนต่างพากันสบถความรู้สึกของตนเองออกมาและต่างยุ่งอยู่กับงานของตนเองเฉินเนี้ยนหรานและโจวอ้าวเสวียนก็กำลังเดินทางไปที่งานเทศกาล
เพื่อสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนความรู้สึกของทั้งสองคนการเดินทางครั้งนี้โจวอ้าวเสวียนจึงให้องครักษ์เงาสองคนแอบตามมา
ส่วนคนอื่นๆเช่นคนติดตามอย่างอู่เอ๋อร์ไม่ได้พามาด้วย
หากให้พูดการพาคนติดตามออกมาด้วยค่อนข้างจะสะดวกสักหน่อย
แต่จากการแนะนำของเฉินเนี้ยนหรานการออกเดินทางในครั้งนี้ถือเป็การเดินทางเพื่อดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ของทั้งสองคน
การเดินทางแสนหวานของทั้งสองคนหากมีคนติดตามพวกนี้เพิ่มมาด้วย จะคิดอย่างไรก็รู้สึกไม่สบายใจ เพราะคิดเช่นนี้ทั้งสองคนจึงขี่ม้าออกมาสองคน
ในตอนแรกเฉินเนี้ยนหรานยังดีใจมาก แม้การขี่ม้าจะเขย่าไปสักหน่อย แต่มีสามีที่คอยโอบกอดอย่างใส่ใจจะอย่างไรย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะตกม้า มองวิวทิวทัศน์ไป ฟังเื่ตลกไปทั้งยังหยอกล้อสามีสุดหล่อที่มักจะทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา...
ชีวิตเช่นนี้จะอย่างไรก็รู้สึกพอใจมากไปหมด
ทว่าตอนไปถึงโรงเตี๊ยมในคืนน้ันเฉินเนี้ยนหรานกลับร้องโอดครวญไม่หยุด
“ฮือสามี ไม่เอา ขานี่ ปวดมากจริงๆ อ๊ะ อ๊ะ ไม่ไหว เ้าทำเช่นนี้มันจะพังเอา จะพังเอาสามี เ้าเบาๆ หน่อยสิ ฮือ อาฮ่า...แบบนี้สบายมากเลย สามี เ้าลงแรงอีกหน่อยได้...”
องครักษ์เงาที่ได้ยินเสียงดังมาจากในห้องมองไปยังกลุ่มคนที่มาล้อมด้านนอกห้องเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนแอบส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายแล้วพุ่งเข้ามากระซิบกระซาบกัน
องครักษ์เงาหนึ่ง: เอ่อ เ้านายทั้งสองคนจะเรียกความสนใจจากผู้คนมากเกินไปหรือไม่?
องครักษ์เงาสอง: แค่ก เสียงร้องของนายหญิง นั่นก็เพียงพอที่จะบอกว่าเ้านายของพวกเราแข็งแกร่งเพียงใดช่างเถิด อย่าไปห้ามคนที่มาฟังเลย หน้าที่ของพวกเรามีเพียงปกป้องความปลอดภัยของเ้านายทั้งสองคนเท่านั้น
องครักษ์เงาหนึ่ง: น้องชาย เช่นนี้ไม่ค่อยดีสักเท่าใดกระมัง
องครักษ์เงาสอง: เ้าสิน้องชาย ทั้งครอบครัวเ้าก็ล้วนเป็น้องชาย บรรพบุรุษก็เป็น้องชายกันหมด
องครักษ์เงาหนึ่ง: ...
องครักษ์เงาหนึ่ง: แต่ข้าฟังจากเสียงของเ้าแล้ว เหมือนกับน้องชายจริงๆ นี่ รู้สึกว่าเ้าเป็แค่มารดา
องครักษ์เงาสอง: ถุยๆ เ้าสิถึงเป็มารดา ทั้งครอบครัวเ้าเป็มารดา บรรพบุรุษก่อนๆ ของเ้าล้วนเป็มารดาทั้งหมดบัดซบ ข้าคือกลุ่มหนึ่ง จะต้องเรียกข้าว่าพี่สาวเข้าใจหรือไม่!
องครักษ์เงาหนึ่ง: ก็ได้ ข้ารู้แล้วว่าเ้าคือพี่สาว แต่ทั้งๆ ที่เ้าเป็พี่สาวผู้โง่เขลา ต่อไปข้าจะเรียกเ้าว่าสตรีซื้อบื้อเอาเช่นนี้หรือไม่ เหมือนกับพี่พวกเขาพูด ให้เรียกเ้าว่าคนเขลาก็พอข้าได้ยินคำว่าคนเขลาแล้วให้รู้สึกว่าน่ารัก ฮ่าๆ ...
องครักษ์เงาสอง: เ้าสิที่โง่...
องครักษ์เงาหนึ่ง: ขอร้องล่ะ เ้าเปลี่ยนวิธีการด่าได้หรือไม่ ทั้งครอบครัวข้าไม่ใช่คนโง่เื่นี้ไม่ต้องใช้น้องชายเช่นเ้ากังวลใจหรอก อา ไม่ใช่สิสตรีโง่เขลาเช่นเ้ากังวลใจ...
องครักษ์เงาสอง: ั้แ่นี้ไปข้าจะไม่สนใจเ้าอีก!
ก๊ากเื่ราวเล็กๆ ขององครักษ์เงาจบลงชั่วคราว ผู้ใดที่ชอบสามารถทิ้งข้อความไว้รอดูการพัฒนาความรู้สึกขององครักษ์คู่นี้กันได้
“บุรุษที่อยู่ในห้องนี้ดุมากเสียจริง”
“แน่นอนเสียงร้องของสตรีนางนี้กระชากิญญามากจริงๆ เฮ้อ คนไร้คู่เคียงเช่นข้าฟังเสียงนี้แล้วอยากจะรีบไปหาสตรีงามๆที่หอโคมเขียวแล้ว”
“ฮ่าๆ...”
“กรี๊ด…ฮี่ๆสามี ขานี่ถูกเ้านวดมาได้สักพักหนึ่ง สบายมากจริงๆ เลยนะ ไอ๊หยาตอนนี้พวกเราลงไปหาอะไรทานได้แล้ว ไปกันเถิด ต่อไปเปลี่ยนเป็ข้าที่คอยดูแลเ้าบ้างแล้ว”
ตอนที่ทั้งสองคนออกมาจากห้องจึงเห็นคนจำนวนมากล้อมอยู่ด้านนอก พร้อมใช้สายตาแปลกๆ มองไปยังทั้งสองคนโดยเฉพาะตอนที่คนพวกนี้ใช้สายตามีความนัยมองไปที่หน้าอกของตนเอง ทั้งยังมองไปที่คอเฉินเนี้ยนหรานจึงยิ่งหงุดหงิด
เมื่อรู้ตัวว่าเสียงเมื่อครู่ทำให้คนพวกนี้เข้าใจผิดใบหน้าของนางพลันแดงขึ้นทันที
แต่นางเป็คนที่นิ่งสงบเื่เช่นนี้นางไม่เคยต้องก้มหัว จึงหันไปส่งยิ้มสดใสให้กับบรรดาบุรุษรอบๆที่ส่งสายตาลามกมาให้ ก่อนจะกำมือ
“ทุกท่านอากาศวันนี้ไม่เลวเลยนะเ้าคะ ดูท่าทางแล้วทุกคนต่างมาดูทิวทัศน์และดนตรีที่นี่สินะเ้าคะ”
คนพวกนี้ต่างพากันทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างไรก็มาฟังเสียงกันอย่างเปิดเผย สุดท้าย พบว่าพวกนางไม่ได้ทำเื่ระหว่างสามีภรรยากันเื่นั้นจึงทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนพอสมควร
วัฒนธรรมในยุคสมัยนี้ไม่ได้เปิดเผยเหมือนกับคนในยุคปัจจุบันตอนนี้มาถูกเฉินเนี้ยนหรานที่เป็สตรีถามเช่นนี้พวกเขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา
โดยเฉพาะคนชราที่อายุครึ่งร้อยสวมเสื้อผ้าแปลกๆหลายคนที่อยู่ด้านหน้าสุด ยิ่งกระแอมไอออกมาอย่างกระอักกระอ่วนเตรียมจะเดินออกไปไกล
โจวอ้าวเสวียนกวาดตามองตาเฒ่าพวกนี้อย่างมีเลศนัยทั้งยังไม่ได้ห้ามการเย้ยหยันของเฉินเนี้ยนหราน
“พวกท่านลุงดูจากอายุของพวกท่านที่มากแล้ว มาฟังเสียงเพลงเสียงลมพวกนี้ คงต้องหยุดพักไว้สักหน่อยหากฟังไปแล้วเอวเคล็ดขึ้นมา พูดออกไปคงจะให้คนมารักษาได้ยากนะเ้าคะ”
สำหรับเื่ที่ว่างมากและมาแอบฟังเื่ระหว่างสามีภรรยาอย่างเปิดเผยนี่เฉินเนี้ยนหรานรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก ดังนั้นในตอนนี้ปากของนางจึงพูดออกมาโดยไม่คิดจะไว้น้ำใจ
คนชราพวกนั้นเดิมทีอยากจะมารุมฟังเื่สนุกสักหน่อย ไม่คาดคิดเลยว่าจะถูกคนมาพูดแทงใจ ในยามนี้ยิ่งมาถูกสตรีคนนี้พูดจาแดกดันคนชราสวมชุดสีแดงที่เป็หัวหน้ากลุ่มคนนั้น จึงโกรธมากจนหนวดสะบัดถลึงตาออกมา
“ถุยพวกเรามาฟังเสียงแล้วอย่างไร เ้าที่เป็สตรี จู่ๆ มาร้องโหยหวนเหมือนวัวติดสัตว์ตอนกลางวันแล้วยังมาพูดเย้ยหยันคนอื่นเขา แน่จริงเ้าก็อย่าส่งเสียงสิ”
เฉินเนี้ยนหรานโกรธเสียจนคิ้วเรียวชี้ขึ้นแต่ผู้ใดจะรู้ว่าโจวอ้าวเสวียนกลับกดมือนางลง แล้วส่งยิ้มเย็นไปทางเหล่าคนชรา
“ทุกท่านฟังไปแล้วดูไปแล้ว สมควรจะแยกย้ายกันได้แล้วใช่หรือไม่”
ซึ่งทุกคนรู้สึกขัดเขินที่จะอยู่ต่อมานานแล้วพอได้ยินเช่นนี้จึงรีบแยกย้าย ชายชราชุดสีแดงที่เป็หัวหน้าคนนั้นยิ่งถลึงตามองเฉินเนี้ยนหรานด้วยความโกรธ
รอจนกระทั่งทุกคนไปกันจนหมดแล้วเฉินเนี้ยนหรานถึงได้ผายมือออก
“ข้าว่านะสามีครั้งนี้เ้าทำลายชื่อเสียงของข้าป่นปี้แล้วคนที่ไม่รู้ว่าข้าก็เป็สตรีหากินในเส้นทางนี้ั้แ่ยังกลางวันแสกๆ เ้าว่า เหตุใดจะต้องดิ้นรนเช่นนั้นเหตุใดจะต้องให้ข้าร้องเสียงเกินจริงเช่นนั้น?”
โจวอ้าวเสวียนยิ้มมีเลศนัยหลังจากเห็นว่าชายชราชุดแดงเข้าห้องไปแล้ว ถึงได้ลากนางกลับไปในห้อง
“เ้ารู้สึกว่าอย่างพวกเราที่ไปงานเทศกาลเช่นนี้ จะสามารถหาคนเจอได้อย่างง่ายดายเลยหรือ?”
เฉินเนี้ยนหรานครุ่นคิดด้วยความตั้งใจ“ไม่มีทาง ดังนั้น เ้าคงจะไม่พูดว่าเจอพวกเขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่หรอกใช่หรือไม่? แต่เป็ผู้ใดกัน? หรือคนพวกนี้มีงานอดิเรกแปลกๆชอบฟังสามีภรรยาทำเื่เช่นนี้? กรี๊ด หากมีนิสัยเช่นนั้นจริงๆ ต่อไปทำงานร่วมกันกับพวกเขาจะไม่มาแอบฟังพวกเราทำอะไรกันหรือ ไม่เอาหรอก!”
เฉินเนี้ยนหรานต่อต้านอย่างรุนแรง
โจวอ้าวเสวียนรู้สึกหมดคำจะพูดกับเื่นี้
เขาผายมืออก“หนึ่งในคนที่คนที่พวกจะจ้างมีนิสัยเช่นนั้นจริงๆคนพวกนี้ปกติแล้วไม่ค่อยชอบหาสตรี แต่ชอบฟังคนทำอะไรกัน เ้าจะทำอย่างไรได้? คนประเภทเดียวกันมักจะมารวมตัวกันพวกคนแปลกแยกพวกนี้มารวมตัวกันเป็กลุ่มเล็กๆ จากนั้นจึงมาเปิดเป็สำนัก เพื่อรับงานแปลกๆมาทำ นานวันเข้า สำนักนี้มีชื่อเสียง ซึ่งนั่นก็คือ เฉียวโซ่วหยิง! ที่ผู้คนในยุทธภพต่างเคยได้ยินชื่อเสียง”
“กลุ่มคนนิสัยแปลกๆมารวมตัวเข้าด้วยกันเพื่อมาตอบสนองความแปลกประหลาดจำนวนมากของกันและกัน ดังนั้นในยุทธภพนี้จึงมีฉายาหนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือค่ายไก่วถาย”
“หลายปีมานี้งานที่เขารับมามีเงินเป็จำนวนมากทั้งหมดล้วนเพื่อตอบสนองความพอใจส่วนตัวของคนประหลาด แน่นอน คนพวกนี้ย่อมไม่เว้นทั้งยังชอบศึกษาของแปลกหายาก”
“บางครั้งพวกเขาแสดงออกมาเหมือนคนบ้าเพื่อจะศึกษาของแปลกมากๆ ชิ้นหนึ่ง เวลาที่เหลือจากงานศึกษา สิ่งเดียวที่คนแปลกทำคืองานอดิเรกที่ไม่เหมือนผู้ใดอย่าง…การถ้ำมอง แอบฟัง หรือรวบรวม อื่นๆ ”
หลังจากโจวอ้าวเสวียนเล่าเื่ของค่ายไก่วถายจบเฉินเนี้ยนหรานก็หน้ามืด นางเบิกตาค้างอยู่นานกว่าจะได้สติกลับมาก่อนจะชี้ไปทางห้องใหญ่ที่อยู่ด้านล่าง
“สะสะ ์ เ้าอย่าบอกข้านะว่า พวกคนแปลกนี่ คงไม่นอกจากชอบฟังสามีภรรยาทำอะไรกันแล้ว กลับยังเก็บรวบรวมตู้โตว [1] ของสตรีแล้วก็ที่รัดขา และพวกกางเกงในใช่หรือไม่?”
หากเป็เช่นนั้นจริงนางจะต้องพิจารณาว่าจะจ้างคนพวกนี้หรือไม่ เื่นี้มันเกินไปแล้ว
แต่คำตอบของโจวอ้าวเสวียนทำให้นางอยากจะกระอักเื
“เื่นี้เป็เช่นนั้นก็แล้วแต่คนจากที่ข้ารู้ ค่ายไก่วถายมีอยู่สิบกว่าคน หนึ่งในนั้นชอบฟังคนทำอะไรกันบางคนชอบเก็บรวบรวมงานฝีมือชั้นเลิศ บางคนชอบเก็บรวบรวมของทุกอย่างของชาวบ้าน และมีเก็บแมลงแปลกๆมาเลี้ยง…ส่วนพวกเขายังมีงานอดิเรกอะไรนั้น จะต้องรอสืบหาความจริง”
เชิงอรรถ
[1] เป็ชุดสายเดี่ยวท่อนบนด้านหลังเปลือยเปล่าของสมัยจีนโบราณ ซึ่งเป็เหมือนชุดชั้นใน
