ท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำร่างผอมบางในชุดสีเทายกมือขึ้นกุมหัวเพื่อบดบังสายฝนพลางวิ่งโซซัดโซเซไปมา
“หยุดก่อน ๆสภาพของเ้าช่างน่าอนาถเหมือนกับสุนัขไร้จวนไม่มีผิด กำลังทำอันใดของเ้า!ข้ากำลังหมายถึงเ้านั่นแหละ เจินจิ้ง! ” เสียงกังวานก้องดังขึ้นในยามค่ำคืน
เจินจิ้งถูกฝนสาดจนเปียกปอนไปหมดเส้นผมแนบติดอยู่เต็มใบหน้าเล็ก นางโค้งตัวลงเล็กน้อยขณะหายใจหอบก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางดีอกดีใจ “ดี.. ดีจริง ๆ!ในที่สุดข้าก็หาท่านเจอเสียทีเ้าค่ะ อาจารย์ไท่เฉิน! ”
“ะโบ้ากระไรของเ้าดึกขนาดนี้แล้ว เ้าบ้าไปแล้วหรืออย่างไร หรือว่าโดนผีเข้าตอนไปนั่งเฝ้าศพ! ”แม่ชีไท่เฉินยกมือเท้าสะเอวพลางตวาดด่าเสียงดังลั่น
“อาจารย์ป้าท่านอาจารย์สั่งให้ข้าดูแลคุณหนูเหอนี่เ้าคะ” เจินจิ้งหดหัวลงอย่างน่าสงสารพลางพูดขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแ่เบา “คุณหนูเหอคนนั้นดูไม่ค่อยปกติสักเท่าไรท่านตามไปดูนางหน่อยเถอะเ้าค่ะ นางจำชื่อตนเองไม่ได้ด้วยซ้ำนางต้องสมองเสื่อมไปแล้วแน่ ๆ ข้าเห็นที่หัวนางมีรอยช้ำอยู่ท่านมียาทาแก้ฟกช้ำกับยาบำรุงหรือไม่เ้าคะ...”
“พูดบ้าอันใดกัน!อาจารย์เ้าสั่งให้ดูแลก็ไปดูแลนางให้ดีสิ มาวิ่งพล่านไปทั่วทำไมกัน! ”แม่ชีไท่เฉินมีร่างล่ำใหญ่ ทั้งยังตัวสูงบึกบึนร่างของนางใหญ่เป็สามเท่าของเจินจิ้งเลยทีเดียวระดับเสียงที่นางเปล่งออกมาก็ดังไม่แพ้ร่าง “หมอจวนนอกอย่างข้ารักษาได้เพียงคนต้อยต่ำอย่างพวกเ้าเท่านั้นแหละคนที่อยู่ห้องปีกตะวันออกเป็คุณหนูสูงศักดิ์ ข้าไม่คู่ควรจะรักษาให้นางหรอก! ”
“แต่อาจารย์ป้าข้าไม่มีความรู้สักอย่าง ทั้งยังไม่เคยดูแลคนไข้มาก่อนด้วย ใคร ๆก็บอกว่าท่านมีวิชาแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ทั้งยังมีน้ำใจดีมากอีกด้วย”เจินจิ้งประกบมือเข้าด้วยกันราวกำลังไหว้พระ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงวิงวอน“อย่างไรเสีย ท่านก็ไปดูนางเสียหน่อยเถอะนะเ้าคะ หากท่านรักษาได้ท่านก็ได้ความดีความชอบไป แต่หากรักษาไม่ได้คุณหนูเหอก็ไม่เอาความท่านหรอกเ้าค่ะ...”
แม่ชีไท่เฉินพูดขัดขึ้นอย่างหงุดหงิด“ไปไกล ๆ เลย! ข้าง่วงจะตายอยู่แล้ว เ้าจะไปที่ใดก็ไปซะอย่าให้ข้าเห็นเ้าวิ่งพล่านไปทั่วแบบนี้อีก ไม่งั้นข้าจะถลกหนังเ้าออกมาแน่! ”
เจินจิ้งหมุนตัวกลับไปด้วยท่าทางเศร้าซึมแต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว นางก็ได้ยินเสียงของแม่ชีไท่เฉินดังตามหลังมา “หยุดก่อน! ”เจินจิ้งหันกลับไปหาด้วยความดีอกดีใจ นางแหงนหน้ามองแม่ชีไท่เฉินด้วยสีหน้าคาดหวังคิ้วของแม่ชีไท่เฉินบางมาก ในยามกลางคืนเช่นนี้จึงดูคล้ายว่านางไม่มีคิ้วอย่างไรอย่างนั้นทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเฉียบคมและเยือกเย็นเหลือเกิน นางยิ้มอย่างอำมหิตสายตาจับจ้องมายังเจินจิ้งพลางถามเสียงต่ำ “นังเด็กบ้าเ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามียาบำรุง? ”
สายลมที่มาพร้อมกับหยาดฝนพัดผ่านไปร่างของเจินจิ้งสั่นเทาขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม นางกล่าวเสียงตะกุกตะกัก“เหมือนกับว่า... ข้าลืมไปแล้วเ้าค่ะ... เหมือนจะเคยได้ยินใครพูดมาก็ไม่รู้...”
“เจินจิ้งเ้ามายืนอยู่ตรงนี้ทำไมกัน ท่านอาจารย์สั่งให้เ้าไปที่ห้องปีกตะวันออกไม่ใช่หรือ?” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้น เ้าของเสียงนั้นเป็แม่ชีที่มีอายุประมาณสามสิบกว่าคนหนึ่งนางมีใบหน้าที่ขาวสะอาดราวกับดวงจันทร์ คิ้วคมตาใสเส้นผมของนางยาวไปจนถึงข้อเท้าเลยทีเดียว
แม่ชีผมยาวที่อยู่ไกลออกไปค่อยๆ เดินเข้ามาหา นางหยิบชุดชีมาคลุมหัวของเจินจิ้งเพื่อกันฝนจากนั้นจึงกล่าวตำหนิเสียงดุ “เ้าโง่หรืออย่างไร เหตุใดจึงไม่กางร่ม? ข้าบอกเ้าไปตั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว เ้าไม่เคยฟังเลยหรือ! ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ท่านไปไหนมา ข้าตามหาท่านอยู่นานเลย”เจินจิ้งเบ้ปากคล้ายจะร้องไห้ด้วยท่าทางน่าสงสารราวกับว่านางไม่ได้รับความเป็ธรรมเช่นนั้น “ท่านไม่รู้หรอกว่าห้องที่ปีกตะวันออกทั้งมืดและหนาวมากข้าไปขอผ้าห่มกับเทียนที่ห้องเก็บของแต่พวกเขาบอกว่าอาจารย์ไม่ได้สั่งจึงให้ข้าไม่ได้ ข้าเลยไปที่ห้องครัวอยากจะยกเตาถ่านมาแทน แต่พวกเขาก็บอกว่า่นี้หนาวเย็นมากเตาถ่านยังมีไม่พอให้คนในวัดใช้เลยด้วยซ้ำ จากนั้นข้าก็ไปที่....”
“อ้าวอาจารย์ป้าไท่เฉินนี่นา! ” จู่ ๆแม่ชีผมยาวก็มีท่าทางราวเพิ่งสังเกตเห็นแม่ชีไท่เฉิน นางใเป็อย่างมากทว่าเพียงครู่เดียวก็หันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ป้าท่านมายืนทำอันใดท่ามกลางสายฝนเช่นนี้เ้าคะ หากเป็ไข้ขึ้นมาต้องแย่แน่ ๆ! ”แม่ชีไท่เฉินปรายตามองคนทั้งสองด้วยสายตาเย็นเยียบก่อนจะหมุนตัวกลับไปโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
แม่ชีผมยาวหันกลับมาแล้วดุเจินจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลัง“เ้านี่นะ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าทุกคนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พวกเราเพิ่งจะได้พักกันเ้าก็เอาแต่ะโโหวกเหวกเสียงดังอยู่ได้ อยากปลุกให้ทุกคนตื่นกันหมดหรือ? ที่นี่เป็สถานปฏิบัติธรรมนะทำพิธีกรรมและสวดมนต์ต่างหากที่เป็หน้าที่ของพวกเราเื่ดูแลคนไข้ไม่ใช่สิ่งที่เราสมควรจะทำ หากใครคิดว่าเราปรนนิบัติไม่ดีอยากจะไปจากที่นี่ ก็ปล่อยให้เขากลับจวนไปเสียเถอะ...” เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็เงียบลงอย่างกะทันหันและหลุดหัวเราะออกมาแทนทำให้เจินจิ้งที่ก้มหน้าด้วยท่าทีเศร้าซึมชะงักไปในทันที
แม่ชีผมยาวมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว จึงจับมือที่เย็นเฉียบของเจินจิ้งขึ้นมาแล้วยัดกุญแจดอกหนึ่งลงไปในนั้นพร้อมกระซิบว่า “นี่เป็กุญแจของห้องใต้ดินที่ปีกตะวันออกในนั้นมีผ้าห่มกับผ้าปูที่นอนอยู่ แม้จะเก่าไปบ้างแต่ก็ยังสะอาดส่วนเื่น้ำซุปกับน้ำร้อนน่ะ เลิกคิดไปได้เลย เมื่อเ้าเดินผ่านศาลาพักศพก็แอบเข้าไปเอาขนมกับน้ำสะอาดในนั้นไปด้วย เมื่อคุณหนูเหอตื่นขึ้นมานางจะได้มีอาหารกิน”
เจินจิ้งทำหน้าบิดเบี้ยวราวกับกำลังจะร้องไห้ก่อนปล่อยโฮออกมาในที่สุด “ฮือ ๆ ... ศิษย์พี่เจินจูข้า...ข้าว่าแล้วเชียวว่าท่านดีที่สุดแล้ว! ”
“เอาล่ะ ๆวันนี้ก็เอาตามนี้ไปก่อนแล้วกัน หากเ้ายังเอาแต่วิ่งไปทั่วเช่นนี้จะทำให้ถูกเกลียดเสียเปล่า ๆ รีบกลับไปเถอะ! ”
เจินจิ้งกะพริบตาปริบ ๆด้วยความสงสัย “แต่ว่า...ก่อนหน้านี้ไม่มีใครรู้จักคุณหนูเหอเลยไม่ใช่หรือทำไมเมื่อคุณหนูเหอฟื้นขึ้นมาพวกเขาถึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับเคยมีความแค้นกับคุณหนูเหอแบบนั้นเล่า? ”
เจินจูถอนหายใจออกมาก่อนจะกล่าวด้วยเสียงต่ำ “คนที่ประจบประแจงผู้ที่อยู่สูงกว่าและเหยียบย่ำผู้ที่อยู่ต่ำกว่ามีอยู่ถมเถไปได้ข่าวว่าตอนที่อยู่ตระกูลหลัวก็ไม่ค่อยจะมีใครชอบคุณหนูเหอสักเท่าไรแม้แต่งานศพยังไม่ยอมให้จัดภายในจวนเลย คนเห็นแก่ได้ในวัดย่อมต้องดูถูกนางอยู่แล้วอีกอย่าง... เดิมที งานส่งิญญาของนางจะถูกจัดขึ้นในอีกยี่สิบวันข้างหน้าได้ข่าวว่าตระกูลหลัวยอมจ่ายเงินหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเพื่อให้ทางวัดทำพิธีส่งิญญาให้นางอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อถึงตอนนั้นทุกคนในวัดจะได้รับรางวัลกันอย่างถ้วนหน้าเลยล่ะ...”
เจินจิ้งเบิกตามองเจินจูอย่างไม่อยากจะเชื่อ“ว่าอย่างไรนะเ้าคะ? เพื่อเงินเพียงไม่กี่ตำลึงพวกเขาก็เลยภาวนาให้คนคนหนึ่งตายไปงั้นหรือ?! ”
ฝนตกหนักมากขึ้นเรื่อย ๆราวกับหยาดฝนทั้งหลายมีชีวิตจิตใจเป็ของตนเองเสมือนพวกมันเป็สร้อยไข่มุกที่ขาดออกจากกันอย่างไรอย่างนั้นพวกมันตกลงมาบนพื้นดิน ก่อนที่พื้นดินจะดูดน้ำฝนลงไปอย่างละโมบ
“คนยอมตายเพื่อทรัพย์สมบัตินกยอมตายเพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร ไยเ้าต้องทำท่าทางตกอกใแบบนั้นด้วยเล่าอย่าไปสนใจเลยว่าพวกเขากำลังคิดอันใดกันอยู่รู้เพียงว่าคนพวกนั้นไม่ได้คิดดีก็พอแล้ว ดังนั้น ่นี้เ้าจะทำสิ่งใดก็ระวัง ๆหน่อยแล้วกัน อย่าวิ่งพล่านร้อนรนไปทั่วเช่นวันนี้อีกเดี๋ยวก็โวยวายว่าอยากได้นั่นได้นี่ อีกเดี๋ยวก็ร้องว่าจะตามหมอและหายามาให้เ้ายังไม่เข้าใจความหมายของท่านอาจารย์อีกหรืออย่างไร? ขัดใจอาจารย์อย่างเปิดเผยเช่นนี้ไม่ได้เป็ผลดีต่อเ้าเลยนะรีบกลับไปเถอะ ดูแลนางให้ดี หากมีเวลาว่างเมื่อไร ข้าค่อยแวะไปเยี่ยมนาง”
เจินจิ้งพยักหน้ารับแล้ววิ่งตรงไปที่ศาลาพักศพทันที
…...
ท้องฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว สายฝนชะล้างท้องฟ้าให้โล่งสะอาด ไร้ซึ่งเมฆหมอกยังไม่ทันที่ดวงจันทร์จะลับฟ้า พระอาทิตย์ก็เริ่มเคลื่อนขึ้นมาแทนที่เสียแล้ว
หลังร้องไห้มาทั้งคืนจนสาแก่ใจอารมณ์ของนางในตอนนี้จึงสงบและปลอดโปร่งยิ่งเพราะถูกหยาดน้ำตาชะล้างไม่ต่างไปจากท้องฟ้าเบื้องบนเหอตังกุยมองท้องฟ้าที่มีทั้งดวงตะวันและจันทราอยู่เคียงกันแววตาของนางทอประกายรอยยิ้มขึ้นอย่างเงียบ ๆ ์ช่างยุติธรรมดีนัก มอบโอกาสให้นางได้กลับมามีชีวิตอีกเป็ครั้งที่สองแล้วเช่นนี้ตนจะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปได้อย่างไร
เหอะ...ใครก็ตามที่ใส่ร้าย ดูิ่ เหยียดหยาม รังแก หัวเราะเยาะ ตบตีเหยียบย่ำและสังหารข้า อีกไม่นานหรอก คอยดูเถอะ!
เหอตังกุยสูดลมหายใจลึกนางนอนราบอยู่บนเตียง หลังลองเคลื่อนไหวยืดเส้นยืดสายดูจึงพบว่าไม่ได้มีเพียงข้อเท้าเท่านั้นที่ได้รับาเ็แม้แต่แขน เอวและหลังก็ยังรู้สึกปวดเมื่อยเป็อย่างมากนอกจากนี้ยังรู้สึกไม่สบายที่ท้องน้อยอีกด้วยเหอตังกุยใช้มือซ้ายเอื้อมจับชีพจรบริเวณข้อมือขวาของตน ก่อนจะหัวเราะอย่างขมขื่น “ผ่านการตายมาแล้วครั้งหนึ่งเสียพลังชีวิตไปเยอะเลยสินะ”
ตอนนี้สภาพร่างกายของนางย่ำแย่มากไร้พลัง ลำคอแห้งผาก หลับไม่สนิทเพราะฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนน้ำตาไหลรินออกมาไม่หยุด หูแว่ว ปวดเมื่อยตามเอวและแผ่นหลังปวดตามกระดูกข้อต่อภายในร่างกาย ลำตัวชา มีเหงื่อออกตลอดทั้งคืน พลังลมปราณต่ำ...แต่ยังดีที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ เดิมที อาการเหล่านี้มีวิธีรักษาอยู่มากมายแต่เวลานี้ นางไม่มีทั้งยาและอุปกรณ์สำหรับฝังเข็มหากแต่จะเปลี่ยนไปรักษาด้วยการกดจุดชีพจรและนวดประคบก็น่าจะพอได้อยู่ทว่าวิธีเช่นนี้จะได้ผลค่อนข้างช้า กว่าจะเห็นผลคงต้องรอนานถึงเจ็ดวันเลยทีเดียว...
เจินจิ้งอุ้มหม้อดินเผาเอาไว้ในอ้อมแขนนางวิ่งเหยาะ ๆ เข้ามาในห้อง จากนั้นก็ยื่นหม้อดินเผามาตรงหน้าเหอตังกุยราวกับว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อนั้นเป็อัญมณีแสนล้ำค่าก็ไม่ปานสาวน้อยกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านดูนี่ เรามีน้ำร้อนกันแล้ว เร็วเข้ากินขนมคู่กับน้ำนี่เร็ว! ”
เหอตังกุยรับหม้อดินเผามาจากแม่ชีน้อยด้วยคิ้วขมวดมุ่นก่อนจะวางมันลงที่ข้างเตียงอย่างส่ง ๆแล้วเปลี่ยนมาดึงแขนของแม่ชีน้อยให้เข้ามาหาตนแทนเหอตังกุยถลกแขนเสื้อของคนตัวเล็กขึ้น เป็อย่างที่นางคิดเอาไว้ไม่มีผิด ท่อนแขนของแม่ชีน้อยแดงเถือกจากการััความร้อนเป็บริเวณกว้างเมื่อเห็นดังนั้น เหอตังกุยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโห “เด็กโง่ต่อไปเ้าต้องใช้ผ้ารองก่อนจะยกของร้อน ๆ เข้าใจหรือไม่”
เจินจิ้งแลบลิ้นพลางชักมือกลับนางเปิดผ้าเช็ดหน้าออก เผยให้เห็นขนมกุ้ยฮวาเกากับขนมเถาเหรินซูที่ถูกห่ออยู่ภายในจากนั้นจึงกล่าวระคนหัวเราะขึ้นอีกครั้ง “คุณหนูเหอท่านมีอายุน้อยกว่าข้าเสียด้วยซ้ำ ทำไมถึงพูดราวกับตัวเองเป็ผู้ใหญ่นักเล่า! ”
เหอตังกุยจุ่มขนมชิ้นหนึ่งลงไปในน้ำร้อนก่อนจะกัดเป็คำเล็ก ๆ ลิ้มรสของมันอย่างละเอียดแล้วกล่าวว่า “อืม...นี่เป็ขนมที่ทำขึ้นเมื่อสามวันก่อน ทำจากวัตถุดิบชั้นดีแต่น่าเสียดายที่ฝีมือคนทำไม่ค่อยดีเท่าใดนัก เ้าดูสิ ทอดจนไหม้หมดแล้วทั้งยังใช้น้ำตาลผิดชนิดอีกด้วย ขนมเถาเหรินซูต้องใช้น้ำตาลทรายจากนั้นจึงหยอดน้ำมันพืชลงไปเล็กน้อย แล้วค่อยนำไปลงกระทะต่อ”
เจินจิ้งไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนแถมยังวิ่งไปกลับมากกว่าสิบเที่ยว ตอนนี้นางหิวจนท้องร้องเป็เพลงไปหมดแล้วเจินจิ้งมองขนมเถาเหรินซูชิ้นนั้นด้วยดวงตาเป็ประกายพลางกลืนน้ำลายพร้อมกล่าวทอดถอนใจไปด้วย“คนในตระกูลขุนนางช่างพิถีพิถันเื่การกินจริง ๆ! ”
เหอตังกุยส่งประกายรอยยิ้มออกมาจากนั้นจึงดันห่อขนมไปให้เจินจิ้ง “มา มากินด้วยกันเถอะ! ”
เจินจิ้งโบกมือปฏิเสธอย่างรีบร้อน“ไม่ได้ ไม่ได้หรอก! นี่เป็อาหารทั้งวันของท่าน ต้องรอจนถึงตอนกลางคืนก่อนข้าถึงจะแอบไปขโมย...” เมื่อตระหนักได้ว่าตนพูดผิดไป แม่ชีน้อยก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากทันที
เหอตังกุยทำราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูดนางหยิบขนมกุ้ยฮวาเกาขึ้นมาหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ยัดมันเข้าไปในมือของเจินจิ้ง“แป้งของขนมกุ้ยฮวาเกานี่นวดไม่ได้เื่เอาเสียเลยแทนที่จะบอกว่ามันเป็ขนมกุ้ยฮวาเกา ควรจะบอกว่ามันเป็ก้อนแป้งปรุงรสมากกว่า มา รีบกินเถอะ!” เมื่อพูดจบนางก็ดันมือของเจินจิ้งขึ้นสูงเพื่อส่งขนมกุ้ยฮวาเกาไปใกล้ปากแม่ชีน้อยเจินจิ้งจึงจำต้องกัดขนมในมือเข้าปากหนึ่งคำ รสชาติที่แสนหอมหวานของมันทำให้แม่ชีน้อยลืมกิริยาสำรวมไปจนหมดสิ้น เพียงไม่กี่คำขนมกุ้ยฮวาเกาหนึ่งชิ้นก็ถูกกัดกินจนไม่มีเหลือแล้วนางยิ้มตาหยีไม่ต่างไปจากพระจันทร์เสี้ยวเลย
“แม้ฝีมือการทำขนมจะแย่มากแต่ยังดีที่ดอกหอมหมื่นลี้ที่นำมาทำขนมนั้นสดใหม่ จึงทำให้มีกลิ่นหอมละมุนกำลังดีอีกอย่าง ดอกหอมหมื่นลี้มีฤทธิ์ร้อน ช่วยขับความเย็นออกไปจากร่างกายได้ทั้งยังช่วยเื่อาการปวดยามมีระดูของเ้าได้เป็อย่างดีเลยทีเดียว”เหอตังกุยยื่นขนมกุ้ยฮวาเกาให้แม่ชีน้อยอีกสองชิ้น “รีบกินเถอะมากินขนมที่มีอยู่ให้หมดก่อน แล้วค่อยมาคิดเื่มื้อต่อไปกันอีกที”
ใบหน้าของเจินจิ้งเปลี่ยนสีซีดและแดงสลับกันไปนางเบิกตากว้างจนดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า ทั้งยังอ้าปากกว้างจนแทบจะยัดไข่ห่านเข้าไปได้สาวน้อยจับมือเหอตังกุยเอาไว้แน่น พลางถามด้วยท่าทางอ้ำอึ้ง “คุณ...คุณหนูเหอท่านรู้ได้อย่างไร... ว่าข้ามีระดู? นอกจากศิษย์พี่แล้วก็ไม่มีใครในวัดรู้เื่นี้อีก...”
เหอตังกุยยิ้มเอ็นดูเมื่อเห็นสีหน้าจืดเจื่อนของแม่ชีน้อย“อย่าร้อนใจไปเลย ข้าก็แค่จับชีพจรของเ้า และเห็นว่าเ้าหน้าซีดมากใต้ตาก็เริ่มมีรอยคล้ำปรากฏขึ้นแล้ว อีกอย่างแก้มของเ้าก็มีสีแดงเฝื่อนมันเป็อาการของคนเสียเืมาก เพราะเื่พวกนี้ ข้าก็เลยเดาได้อย่างไรเล่าแต่เ้าวางใจเถอะ ข้าไม่บอกใครหรอก”
“ท่าน... เก่งจริงๆ! ” เจินจิ้งทั้งตกตะลึงทั้งอายในเวลาเดียวกัน “แค่ได้จับแขนข้าแบบผ่าน ๆก็รู้เสียแล้วว่าข้าไม่สบายตรงไหน... ท่านเก่งมากจริง ๆ! ”
รอบเดือนของนางมาครั้งแรกเมื่อเดือนก่อนเจินจิ้งไม่กล้าบอกเื่นี้กับผู้อื่น จึงตัดสินใจบอกกับเจินจูเพียงคนเดียวเท่านั้นนางขอให้ศิษย์พี่ช่วยหาวิธีแก้ไขให้ทั้งยังขอให้นางช่วยเก็บเื่นี้เป็ความลับอีกด้วย
จำได้ว่าตอนเจินกงมีระดูครั้งแรกตอนอายุสิบห้านางนำเครื่องนุ่งห่มที่เปรอะระดูไปซ่อนเอาไว้ใต้เตียงต่อมาอาจารย์ป้าไท่เฉินไปพบเข้า เจินกงโดนตบหน้าอย่างเต็มแรง ทั้งยังถูกด่าเสียงดังลั่นว่า‘หน้าไม่อาย’ ‘แพศยา’ เื่นั้นทำให้เจินกงกลายเป็ตัวตลกของคนทั้งวัดแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังมีคนพูดถึงอยู่เป็บางครา ทว่าขณะนี้เจินจิ้งกลับกลายเป็ผู้ใหญ่ทั้งที่มีอายุไม่ถึงสิบสองปีด้วยซ้ำหากผู้อื่นรู้เื่เข้า นางคงหนีไม่พ้นต้องกลายเป็ตัวตลกอีกรายแน่!
เหอตังกุยเดาใจนางได้จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจินจิ้ง ระดูของผู้หญิงแต่ละคนล้วนแตกต่างกันระดูไม่ได้มาพร้อมกันทุกคนหรอกนะการที่มันมาเร็วก็ไม่ถือว่าเป็เื่ร้ายแรงอันใดแม้เ้าจะผอมบางแต่ร่างกายค่อนไปทางร้อน ดังนั้นการที่ระดูมาในวัยนี้ก็ไม่ถือเป็เื่แปลกเ้าอย่ามองข้ามเื่นี้เพียงเพราะความอายเด็ดขาดหากเื่นี้ทำให้เ้าป่วยไข้ในภายหลังล่ะก็ เมื่อถึงตอนนั้นคิดจะแก้ไขก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ระหว่างมีระดูเ้าต้องรักษาความสะอาดและทำร่างกายให้อุ่นเข้าไว้ ทางที่ดีควรใช้น้ำอุ่นชำระล้างทุกคืนจากนั้นก็แช่เท้าในน้ำอุ่นเพื่อให้เืลมไหลเวียนได้ดี แบบนั้นจะดีที่สุดอีกอย่าง แม้ข้าจะรู้สึกซาบซึ้งที่เ้าต้องลำบากเพราะข้า แต่เ้าต้องจำเอาไว้ให้ดีต่อไปอย่าได้ไปวิ่งกลางสายฝนที่หนาวเย็นแบบนั้นอีกเด็ดขาด”
เจินจิ้งมองดูเหอตังกุยด้วยท่าทีตกตะลึงนางยิงคำถามออกมาเป็พรวน “ว้าว ท่านรู้เื่พวกนี้ได้อย่างไร? ใครเป็คนสอนท่าน? รู้เยอะกว่าศิษย์พี่เจินจูเสียอีกท่านมีอายุเพียงแค่สิบปีจริง ๆ หรือ? ”
เหอตังกุยแอบหัวเราะกับตัวเองนางพูดพึมพำขึ้น “นั่นสินะ ช่างน่าประหลาดเสียจริง”
“อา ดูสิสีหน้าท่าทางของท่านในตอนนี้เหมือนกับผู้ใหญ่ไม่มีผิดเลย! ”
“...”
ทั้งสองพูดไปพลางกินขนมไปด้วยเพียงพริบตาเดียว ทั้งน้ำร้อนและขนมก็หมดลงเสียแล้ว
ทันทีที่กินขนมจนหมดเจินจิ้งก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพร้อมกล่าวทอดถอนใจขึ้น “แย่แล้ว!เป็เพราะความตะกละของข้าแท้ ๆ เลย ดูสิ อาหารทั้งวันของท่านหมดแล้ว!แย่ล่ะสิทีนี้! ขอโทษนะ ข้าขอโทษ! ”
เหอตังกุยนอนอิงหมอนด้วยรอยยิ้มนางมองไปยังเจินจิ้งอย่างเหม่อลอย
นางชอบสาวน้อยที่มีนิสัยจริงใจผู้นี้มาั้แ่ชาติภพก่อนแล้วเป็เพราะความช่วยเหลือและการปลอบประโลมจากสาวน้อยผู้นี้ นางจึงผ่านวันเวลาที่แสนเลวร้ายพวกนั้นมาได้แม่ชีไท่ซั่นกับแม่ชีไท่เฉินปฏิบัติต่อเหอตังกุยราวกับนางเป็บ่าวรับใช้ที่มีระดับต้อยต่ำที่สุดทั้งดุด่าตบตีสารพัด นอกจากจะทำร้ายร่างกายด้วยมือและเท้าแล้วหากของสิ่งใดอยู่ใกล้มือ แม่ชีทั้งสองก็จะใช้ของสิ่งนั้นทำร้ายนางอยู่เป็ประจำ แม้แต่ในตอนที่อยู่จวนตระกูลหลัวหรือตอนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในชนบทนางก็ยังไม่เคยต้องลำบากมากถึงเพียงนี้
จำได้ว่าครั้งหนึ่งนางต้องทำงานหาบน้ำทั้งวัน ในตอนนั้น ขาทั้งสองข้างของนางสั่นเพราะอ่อนแรงไหล่เต็มไปด้วยรอยแผลถลอกเนื่องจากทำงานหนัก ทว่าทั้งวันนั้น นางกลับไม่ได้รับอาหารเลยแม้แต่มื้อเดียวตกกลางคืน เมื่อหิวจนแทบทนไม่ไหว นางก็ใช้ผ้าห่มคลุมหัวแล้วแอบร้องไห้อยู่คนเดียวทว่าจู่ ๆ ก็มีใครบางคนมาสะกิด เหอตังกุยจึงรีบเช็ดน้ำตาแล้วเปิดผ้าห่มออกมา
เจินจิ้งยืนยิ้มอยู่ที่ข้างเตียงยิงฟันตาหยีจนแทบมองไม่เห็นดวงตา รอยยิ้มช่างสดใสราวกับแสงของดวงดาวบนท้องฟ้ากว้าง
เจินจิ้งชูมือขวาขึ้น“นี่หมั่นโถวสองลูก ข้าแอบไปเอามาจากห้องครัว! ” นางส่งยิ้มมาให้อย่างมีเลศนัยจากนั้นก็แบมือซ้ายออกอย่างกะทันหัน... “แล้วก็นี่! ”
“เนื้อ! ”นางเช็ดน้ำตา แล้วร้องอุทานเสียงต่ำ “เ้าไปเอาเนื้อพวกนี้มาจากที่ใด? ”
เจินจิ้งหัวเราะขึ้น “แหะๆ ตอนเดินผ่านโรงเรือนด้านหลัง ข้าเห็นอาจารย์ไท่เฉินกำลังแอบต้มเนื้อหมาอยู่ตอนที่นางกลับไปเอาเกลือในครัว ข้าเห็นว่ารอบ ๆ ไม่มีคน จึงแอบหยิบเนื้อของนางมากำหนึ่งแล้วรีบวิ่งออกมา!”
นางมองดูเนื้อกึ่งสุกกึ่งดิบไม่กี่ชิ้นในมือเจินจิ้งอย่างอึ้งๆ ก่อนจะปล่อยโฮออกมาเสียงดังลั่น “มือของเ้าโดนลวกจนพองไปหมดแล้ว...”
“ไม่เป็ไรไม่เจ็บหรอก ข้าไม่เจ็บจริง ๆ! ท่านรีบกินเถอะ กินให้อิ่มจะได้นอนหลับ! ”เจินจิ้งรีบเช็ดน้ำตาให้นางแล้วพูดปลอบอีกครั้งหนึ่ง “เสี่ยวอี้ อย่าร้องไห้ไปเลยอีกไม่นานมารดาท่านก็จะมารับแล้ว กินให้มีน้ำมีนวลเสียหน่อยแบบนั้นนางจะได้ดีใจเมื่อได้เจอท่านอีกครั้ง... เชื่อข้า รออีกไม่นานหรอก! ”
นางพยักหน้ารับกินอาหารไปพลางร้องไห้ไปด้วย เนื้อสุนัขกึ่งสุกกึ่งดิบในวันนั้นเป็อาหารที่เลิศรสที่สุดเท่าที่นางเคยกินมาเลย
ต่อมาท่านแม่ส่งซ่งโผมารับนางกลับไปจริง ๆ ในตอนนั้น นางอยากพาเจินจิ้งกลับไปด้วยแต่แม่ชีไท่ซั่นไม่ยอมอ้างว่าพ่อกับแม่ของเจินจิ้งค้างค่าเช่าที่นากับวัดเป็เงินก้อนโตจึงส่งเจินจิ้งมาทำงานภายในวัดเพื่อใช้หนี้ เมื่อนางถามว่าเป็เงินเท่าใดแม่ชีไท่ซั่นก็ยิ้มเยือกเย็นแล้วตอบว่า เมื่อคิดรวมดอกเบี้ยตลอดหลายปีที่ผ่านมาตอนนี้ค่าตัวของเจินจิ้งเท่ากับสามสิบตำลึง
ในตอนนั้นนางไม่มีเงินติดตัวแม้แต่อีแปะเดียวแม้แต่จี้ทองคำรูปกุญแจซึ่งเป็เครื่องรางที่นางพกติดตัวมาั้แ่เด็กก็ถูกขโมยไประหว่างที่อาศัยอยู่ภายในวัดนี้ด้วยเช่นกันเหตุนี้ นางจึงต้องขอร้องให้ซ่งโผช่วยออกเงินไปก่อน เมื่อกลับไปถึงจวนนางค่อยบอกให้มารดานำเงินมาคืน ทว่าซ่งโผตอบกลับด้วยใบหน้าเ็าว่าประการที่หนึ่ง นางไม่มีเงินเหลือเฟือขนาดที่จะให้ใครยืมได้ ประการที่สองตระกูลหลัวมีสาวใช้มากพอแล้ว อีกอย่างเงินเพียงแปดอีแปะก็ซื้อสาวใช้ได้ถึงสามสี่คนทั่วทั้งเมืองหยางโจวยังไม่เคยมีใครซื้อบ่าวรับใช้ด้วยเงินสามสิบตำลึงมาก่อนด้วยเหตุนี้ เื่จึงถูกยุติลงในที่สุด
ก่อนจากกันนางจับมือเจินจิ้งเอาไว้แล้วแอบบอกกับนางว่า “รอข้าก่อนนะข้าจะเก็บเงินแล้วพาเ้าออกไปจากที่นี่อย่างแน่นอน”เจินจิ้งพยักหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าอยู่ที่นี่ อยู่ดีทุกอย่างอย่าเป็ห่วงไปเลย รีบกลับไปหามารดาท่านเถอะ! ”
หลังกลับไปที่จวนนางก็นำเื่นี้ไปอ้อนวอนต่อมารดา แต่มารดากลับให้คำตอบเหมือนกับซ่งโผทุกประการคุยกันได้แค่ไม่กี่คำมารดาก็อ้างว่าเหนื่อยแล้วเดินเข้าไปสวดมนต์ที่โถงด้านหลังเสียอย่างนั้น
นับแต่นั้นเป็ต้นมานางก็เริ่มเก็บออมเงินด้วยตนเอง ในแต่ละเดือนภรรยาของท่านลุงรองซึ่งเป็ผู้ดูแลจวนจะให้เงินนางมากพอ ๆ กับบ่าวรับใช้คนหนึ่งคือเดือนละหนึ่งตำลึงกับอีกสองอีแปะ นางเก็บหอมรอมริบเดือนแล้วเดือนเล่าทั้งยังแอบเอาเครื่องประดับภายในจวนออกไปจำนำอยู่หลายชิ้นบวกกับเงินก้อนยี่สิบสี่ก้อนที่ท่านยายให้ไว้ในวันปีใหม่ในที่สุดนางก็ได้เงินครบตามจำนวนเสียที ทว่าบ่าวรับใช้หลายคนที่มีหน้าที่ดูแลนางก็เอาแต่บ่นทั้งในที่ลับและที่แจ้งว่าเ้านายของเรือนหลังอื่นใจกว้างและดีกับบ่าวรับใช้มากเพียงใดทั้งยังบอกว่าบ่าวรับใช้ของเรือนอื่นได้รับเงินรางวัลจากเ้านายอย่างน่าอิจฉาอยู่บ่อยครั้ง...นางแกล้งทำเป็ไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกเขาพูดมาโดยตลอด หลายครั้งเข้าบ่าวรับใช้พวกนั้นก็ไม่ยกย่องนางในฐานะเ้านายอีกต่อไป
ต่อมานางได้กลับไปที่วัดสุ่ยซังอีกครั้งเพื่อไหว้พระขอพรเหอตังกุยฉวยโอกาสนี้หอบเงินทั้งหมดที่สะสมเอาไว้ไปหาแม่ชีไท่ซั่นเพื่อขอไถ่ตัวเจินจิ้งออกมาจากวัด แม่ชีไท่ซั่นรับถุงเงินไปจากนางก่อนจะลองกะน้ำหนักของเงินในถุงอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็คืนมันกลับมาให้นางพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มเยือกเย็นว่า เงินสามสิบตำลึงเป็เพียงราคาเก่าเมื่อปีก่อนเท่านั้น ทว่าตอนนี้ เมื่อนำมาบวกกับดอกเบี้ยค่าตัวของเจินจิ้งก็เพิ่มขึ้นมากถึงสี่สิบสองตำลึงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น... เมื่อครึ่งเดือนก่อนหัวหน้าตระกูลเว่ยที่มาพักอยู่ในวัดสุ่ยซังรู้สึกชอบพอเจินจิ้งจึงไถ่ตัวนางกลับไปเป็อนุเสียแล้ว
แม่ชีไท่ซั่นก็ปรายตามองนางแวบหนึ่งจากนั้นจึงหมุนตัวแล้วเดินจากไปในที่สุดเหลือเอาไว้เพียงเหอตังกุยที่ยังคงยืนเหม่ออยู่กับที่ ทำไมถึงเป็เช่นนี้ไปได้? เจินจิ้งเพิ่งมีอายุเพียงสิบสองปีเท่านั้น...
ั้แ่นั้นเป็ต้นมานางก็ไม่ได้พบกับเจินจิ้งอีกเลย
บัดนี้ ขณะมองไปยังสาวน้อยที่ยังคงร่าเริงสดใสไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเหอตังกุยก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นดวงตาสีดำที่แลดูล้ำลึกราวกับน้ำทะเลของนางเปล่งประกายไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความมุ่งมั่นครั้งนี้ นางไม่เพียงจะพาเจินจิ้งออกไปจากที่นี่เท่านั้นแต่นางจะทำให้คนจากตระกูลหลัวมาเชิญพวกนางกลับไปด้วยเกี้ยวอย่างทรงเกียรติ!
เจินจิ้งนั่งยอง ๆอยู่ที่หน้าประตู พลางใช้หินถูกันให้เกิดประกายไฟนางพยายามจะจุดไฟบนหญ้าแห้งเพื่อคลายหนาว แม้จะพยายามอยู่นานทว่าสุดท้ายไฟก็ยังไม่ติดอยู่ดี ทันใดนั้น จู่ ๆ นางก็รู้สึกเย็นวาบที่กลางหลังจึงหันกลับไปมองโดยสัญชาตญาณจึงได้เห็นสีหน้าพิลึกพิลั่นของเหอตังกุยที่กำลังมองมาที่นางอย่างเต็มตาเจินจิ้งร้องอุทานด้วยความใ จากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ จ้องข้าทำไมกันมองจนข้าขนลุกไปหมดแล้ว”
แววตาของเหอตังกุยทอประกายอบอุ่นขึ้นนางกล่าวด้วยเสียงละมุน “เจินจิ้ง ขอบคุณเ้ามาก ขอบคุณมากจริง ๆ ”
เจินจิ้งทำหน้าผีตอบกลับไปอย่างขี้เล่น“คุณหนูเหอ ข้าเพียงกำลังพยายามจุดไฟเท่านั้นท่านคงไม่ได้หลงรักข้าเพราะเื่นี้หรอกกระมัง! ”
“ไปกับข้าดีหรือไม่? ”
“หา?! ท่านอยากไปเดินเล่นหรือ? ไม่ได้ ๆ ข้างนอกลมแรงมากแค่ลมพัด ท่านก็ปลิวไปกับสายลมแล้ว! ”
“ชื่อเล่นของข้าคือ‘ชิงอี้’ ต่อไปนี้ เ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวอี้เถอะ”
“เสี่ยวอี้...เสี่ยวอี้... เสี่ยวอี้ ฮ่า ๆ ๆ ช่างเป็ชื่อเรียกที่ติดปากเสียจริงแต่ทำไมฟังดูคล้ายชื่อของเด็กผู้ชายเลยเล่า? ”
“พวกเราไปด้วยกันดีหรือไม่? ”
“ท่านอยากออกไปเดินเล่นจริงๆ หรือ? งั้นรอสักครู่ ข้าจะไปหาผ้าห่มที่หนากว่านี้มาให้! ”
“...”
“ทำไมตาท่านแดงและบวมแบบนั้นเล่าคิก ๆ เมื่อคืนแอบร้องไห้ขี้มูกโป่งมาใช่หรือไม่? ”
“...”
“คิก ๆ ดูสิข้ารู้จักเป็ห่วงเป็ใยผู้อื่นแล้ว ข้ายอดเยี่ยมมากเลยใช่หรือไม่? ”
“...”