“กรวบ” โหยวอวี่เวยกัดไปหนึ่งคำอย่างไม่รังเกียจแม้แต่นิด
เคี้ยวไปไม่กี่ที ดวงตาเริ่มเป็ประกาย
“กรวบ” กัดอีกหนึ่งคำ
แตงกวากรอบชุ่มฉ่ำ กระตุ้นต่อมรับรสของนาง กลิ่นหอมเป็เอกลักษณ์ของแตงกวากระจายในปาก
โหยวอวี่เวยเกือบน้ำตาไหลลงมา อื้ม อร่อยเกินไปแล้ว
นางกัดคำแล้วคำเล่า แก้มขยับกระเพื่อมไม่หยุด
เมอเมอหวังมองอย่างตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
นี่เป็คุณหนูของพวกนาง?
คุณหนูที่เลือกรับประทานจนทำให้ฮูหยินปวดศีรษะมาโดยตลอด?
กัดแตงกวาคำใหญ่เคี้ยวเอาๆ?
สีหน้าท่าทางของเมอเมอหวังทำให้เจินจูมองจนต้องหัวเราะออกมา นางยื่นถ้วยเครื่องเคลือบลายครามที่ใส่แตงกวาอยู่ไปตรงหน้า
“เมอเมอหวัง ท่านก็ชิมดูสิ แตงกวาครอบครัวข้าค่อนข้างพิเศษมากเลยนะ”
พิเศษ? แตงกวามีอะไรพิเศษ? เห็นนางเป็หญิงชราบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกหรือ? นางติดตามอยู่ข้างกายคุณหนู จะมีอาหารเอร็ดอร่อยชั้นดีอะไรที่นางไม่เคยลิ้มลองบ้างกัน
แต่ในเมื่อคุณหนูทานได้เอร็ดอร่อยปานนี้ นางต้องชิมดูสักหน่อยว่าแตงกวาของสกุลหูมีความพิเศษอย่างไร
นางกล่าวขอบคุณ และหยิบแตงกว่าฉ่ำสีเขียวจนเป็มันวาวขึ้นหนึ่งลูก
วางข้างปากและกัดเสียงดัง “กรวบ”
ในเครื่องเคลือบลายครามสีขาวมีแตงกวาอยู่ห้าลูก โหยวอวี่เวยทานไปสามลูกในพริบตาเดียว ขณะที่กำลังเตรียมจะทานผลสุดท้าย กลับถูกเจินจูห้ามเอาไว้
ต่อให้แตงกว่าจะอร่อยแค่ไหนก็ไม่สามารถทานรวดเดียวสี่ลูกได้
“ฮ่าๆ น้องสาวเจินจู แตงกวาบ้านเ้าทั้งกรอบทั้งหวาน อร่อยเกินไปแล้ว” นางอุทาน
เมอเมอหวังพยักหน้าคล้อยตามทันที สดและหวานมากจริงๆ
“อีกสักครู่ จะเก็บให้ท่านนำกลับไปสักหน่อย ตอนนี้อย่าทานรวดเดียวมากเกินไปเลย” เจินจูยิ้ม
“พรุ่งนี้ท่านก็กลับเมืองหลวงแล้ว? ไม่รอกลับไปพร้อมคุณชายสกุลกู้หรือ?” นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
เมื่อโหยวอวี่เวยได้ยินเช่นนั้น เดิมทีที่กำลังเบิกบานมีความสุข ก็เหมือนลูกหนังถูกปล่อยลมออกทันทีทันใด เหี่ยวเฉาอย่างมาก
“พี่ห้าไม่กลับไปเร็วเพียงนั้นหรอก ระยะเวลากำหนดที่ข้ารับปากท่านพ่อไว้มาถึงแล้ว ต้องกลับไปก่อนแล้ว”
โหยวฮั่นยอมให้เวลานางเพียงเดือนครึ่งเท่านั้น เดินทางมาและกลับก็ต้องเสียเวลาเกือบหนึ่งเดือน นางจึงทำได้เพียงพักอยู่ทางนี้แค่ครึ่งเดือนเท่านั้นเอง
“ก็ดีนะ ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกอย่างไรเสียก็ไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่บ้าน” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
แต่โหยวอวี่เวยกลับเริ่มเบะปาก “ข้าอยากอยู่นานกว่านี้หน่อย แต่รับปากท่านพ่อแล้ว เลยต้องรักษาเวลา ไม่เช่นนั้นต่อไปคิดจะออกจากบ้านอีกก็ยากแล้ว”
เจินจูอดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ “ใช่แล้ว ต้องวางตัวมีสัจจะและรักษาเวลา”
“ข้ามาครั้งนี้ ได้เจอพี่ห้าไม่กี่หนก็ต้องกลับไปแล้ว” นางหากู้ฉีไม่พบหลายวัน ทุกครั้งที่ไปฝูอันถังเขาก็ไม่อยู่ไปเสียทุกที
แม้บนใบหน้าเด็กสาวจะประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม แต่ก็ยากจะปกปิดความหดหู่ในตาไว้ได้
รอยยิ้มบนใบหน้าเจินจูหยุดชะงัก ไม่รู้ว่าควรจะปลอบนางอย่างไรดี การกระทำครั้งนี้ของกู้อู่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ้าให้นางรู้จักล่าถอยเมื่อเจอสถานการณ์ลำบาก [1]
“ข้าคิดว่านะ คุณชายสกุลกู้อาจชอบความสงบ หรือชอบไปมาหาสู่กันแบบมีระยะห่าง” กู้อู่ผู้นี้ ดูๆ ไปแล้วเป็คุณชายถ่อมตัวที่อ่อนโยนมีมารยาท แต่บนความเป็จริง หากอยากจะเดินเข้าไปในใจเขานั้นยากยิ่ง ราวกับโหยวอวี่เวยที่ประชิดทุกฝีก้าว กลับทำให้เขาเกิดความหน่ายใจ
สีหน้าหดหู่ของโหยวอวี่เวยฮึกเหิมยิ่งขึ้น “ข้ารู้ พี่ห้าไม่ชอบที่ข้าเอาแต่ไปหาเขา แต่หากข้าไม่เป็ฝ่ายไปหาเขาก่อน เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางมาหาข้าแน่”
“หากข้าไม่เริ่มพูดก่อน เขายิ่งไม่มีทางพูด สองคนต่างฝ่ายต่างไม่พูดจาจะไม่ยิ่งน่าอึดอัดหรือ” นางเงียบไปชั่วอึดใจและกล่าวต่อ
“ข้าไม่เริ่มก่อน เขายิ่งไม่มีทางเริ่ม เช่นนั้นต่อไป คงกลายเป็ความสัมพันธ์แบบญาติที่มีเพียงเทศกาลวันสำคัญถึงไปมาหาสู่กันได้”
เสียงนิ่มนวลของเด็กสาวระบายความในใจเบาๆ อย่างหมดเปลือก แต่ละคำที่กล่าวออกมาเต็มไปด้วยความเศร้าสลดและจนปัญญา
คำพูดของโหยวอวี่เวยทำให้เจินจูทอดถอนใจและเปลี่ยนมุมมองความคิดใหม่ต่อนาง เดิมคิดว่านางเป็คุณหนูนิสัยคึกคักร่าเริง เดินทางไกลไล่ตามรอยของเด็กชายที่ชื่นชอบมาตลอดทาง กลับคิดไม่ถึงเลย ภายในใจนางจะทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ตระหนักได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ได้จริงใจยิ่ง
สาเหตุที่ความสัมพันธ์ทั้งหมดเปลี่ยนมาจืดจาง ส่วนใหญ่ก็เป็เช่นนี้แหละ
เ้าไม่เป็ฝ่ายเริ่มก่อน ข้าไม่เป็ฝ่ายเริ่มก่อน เวลาสั้นๆ นับจากนี้ก็กลายเป็คนแปลกหน้า
โหยวอวี่เวยเป็ฝ่ายเริ่มเข้าใกล้กู้ฉี กู้ฉีอาจไม่ชอบ แต่ความสัมพันธ์ของสองคนอย่างน้อยก็เหนือกว่าญาติทั่วไปเล็กน้อย นางคงคิดเช่นนี้
เจินจูไม่รู้ว่าควรกล่าวแนะนำอย่างไร บนโลกมนุษย์เื่ที่สลับซับซ้อนที่สุด ไม่มีอะไรมากไปกว่าอารมณ์และความรู้สึกแล้ว
โลกของอารมณ์และความรู้สึก ดังคนดื่มน้ำ รู้เย็นอุ่นด้วยตนเอง [2]
รถม้าม่านสีน้ำเงินของสกุลโหยวถูกลมพัดเสียจนเอียงเล็กน้อย ดีที่หลังออกเดินทางยังนับว่าปลอดภัย
พรมภายในรถม้าเปียกโชก เบาะรองนั่งบนเก้าอี้ยาวก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้
โหยวอวี่เวยกับเมอเมอหวังนั่งบนเก้าอี้ไม้โดยไม่มีเบาะรองนั่ง ข้างขาวางแตงกวาที่เก็บมาสดๆ หนึ่งตะกร้า ข้างแตงกวายังมีขิงสดชิ้นอวบที่มีรากติดอยู่ไม่กี่หัวอีกด้วย
รถม้ามาถึงฝูอันถังอย่างโคลงเคลง
เ้าของร้านหลิวสายตาเฉียบคมรีบเข้ามาต้อนรับทันที
“ไอ๊หยา คุณหนู รถม้าของท่านทำไมเอียงจนกลายเป็เช่นนี้? ไม่ได้หลบห่าฝนที่กระหน่ำลงมาอยู่ข้างหน้าหรือขอรับ?”
เหอต้าค่อยๆ ชะลอและดึงม้าให้หยุดไว้อย่างมั่นคง เมอเมอหวังพยุงโหยวอวี่เวยลงจากรถม้า
“ระหว่างทางที่รถม้าไปหมู่บ้านวั้งหลินถูกลมกระหน่ำเข้าน่ะ หลิวผิง คุณชายห้าของพวกเ้าล่ะ? คงไม่ได้ออกไปข้างนอกอีกกระมัง?” ในคำพูดของเมอเมอหวังแฝงไว้ด้วยความประชดประชันอยู่บ้าง
คุณหนูของนางเป็คุณหนูคนเดียวของฮูหยินแห่งจวนท่านโหวเหวินชาง อยู่ในจวนเป็ดั่งไข่มุกราวกับของล้ำค่า เป็แม่นางที่ได้รับความรักที่สุดของจวนท่านโหวตลอดมา คุณชายห้าแห่งสกุลกู้ช่างไม่ให้เกียรติกันเกินไปแล้ว คุณหนูของนางหลายวันมานี้เฝ้าเสาะหาเขา เขากลับหลีกเลี่ยงและไม่ยอมพบหน้า เกินไปหน่อยแล้วจริงๆ
คุณหนูเป็สตรีอ่อนแอผู้หนึ่งเดินทางไกลมาถึงยังสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยอย่างยากลำบาก ต่อให้นับเป็ลูกพี่ลูกน้องก็ต้องทำหน้าที่เป็เ้าบ้านดูแลแขกที่มาอย่างสุดความสามารถสิ
สีหน้าอึมครึมของเมอเมอหวังกวาดไปทางหลิวผิงแวบหนึ่ง
ในใจหลิวผิงโอดครวญความทุกข์ เขาเป็เ้าของร้านสมุนไพรสถานที่เล็กๆ จะกล้ายุ่งกับการเดินทางของคุณชายเสียที่ไหน
“แหะๆ เมอเมอหวัง ท่านพยุงคุณหนูไปนั่งที่ห้องรับแขกก่อน ข้าน้อยจะไปเรียกพ่อบ้านกู้มา”
เขายิ้มแสดงการขออภัยอย่างระมัดระวัง ชักจูงให้พวกนางเข้ามารอที่ห้องรับแขก
“หลิวผิง พรุ่งนี้คุณหนูของพวกข้าจะกลับเมืองหลวงแล้ว คุณชายของพวกเ้าคงไม่แม้แต่ครั้งสุดท้ายก็ไม่ยอมพบหน้ากันกระมัง” เมอเมอหวังจ้องหลิวผิงแล้วกล่าวอย่างเ็า
หลิวผิงตัวสั่นทันที รีบกล่าวตอบ “การเดินทางของคุณชาย ข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ท่านรอสักเดี๋ยว ข้าน้อยจะตามพ่อบ้านกู้มาให้พวกท่าน”
กล่าวจบก็วิ่งหายไปในชั่วพริบตา
“คุณหนู คุณชายห้าสกุลกู้ต้อนรับท่านเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าไม่มีใจ ท่านห่างจากเขาหน่อยดีกว่ากระมังเ้าคะ” เมอเมอหวังเฝ้าดูโหยวอวี่เวยมาั้แ่เด็กจนโต คำพูดเหล่านี้นางพอจะแนะนำและโน้มน้าวได้
โหยวอวี่เวยไม่พูดไม่จาไปชั่วขณะ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่!”
ขอแค่เขาไม่มีคนอื่นที่ชื่นชอบ ไม่มีการหมั้นหมายการแต่งงาน นางจะไม่ยอมแพ้ทั้งสิ้น
เมอเมอหวังทอดถอนใจข้างใน นิสัยของคุณหนูเหมือนกับนายท่านคนที่สามที่สุด มั่นใจแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง แล้วก็เป็คนโง่งมคนหนึ่งด้วย
กู้ฉีเดินเข้ามาอย่างสงบนิ่ง
ยังคงสวมชุดสีนวลจันทร์สวยเรียบดังเดิม สีหน้าเ็า เยือกเย็นและดูสูงส่ง
“พี่ห้า!”
โหยวอวี่เวยยืนขึ้นอย่างดีใจ รอยยิ้มบนใบหน้าผลิบานงดงามมีชีวิตชีวา
คิ้วของกู้ฉีกลับขมวดขึ้นจางๆ
“เสื้อผ้าชุดนี้ของเ้าเกิดอะไรขึ้น?”
เสื้อฤดูร้อนสีฟ้าเรียบๆ สั้นไปหนึ่งส่วน แล้วยังตัดเย็บขึ้นด้วยผ้าฝ้ายเนื้อละเอียด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ที่นางเคยสวมปกติ
ดวงตาโหยวอวี่เวยกลับเป็ประกาย คิดไม่ถึงเลยว่าพี่ห้าจะใส่ใจการสวมใส่ของนาง
“นี่เป็เสื้อผ้าของน้องสาวเจินจู รูปร่างนางกระจุ๋มกระจิ๋ม ข้าสวมใส่เลยเล็กไปหน่อย”
นางหิ้วกระโปรงกวัดแกว่ง ยิ้มแย้มสว่างไสว
น้องสาวเจินจู? นางวิ่งไปหมู่บ้านวั้งหลินอีกแล้วหรือ? กู้ฉีมองเมอเมอหวังที่อยู่ด้านหลังนางแวบหนึ่ง คิ้วยิ่งขมวดแน่นขึ้นไปอีก
“เ้าวิ่งไปบ้านสกุลหูทำอะไรอีก? ไม่รู้ว่ารบกวนคนเขาหรือ”
รอยยิ้มแย้มของโหยวอวี่เวยค่อยๆ หยุดลง “พี่ห้า ท่านเอาแต่ไม่อยู่บ้าน ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีคนที่รู้จัก เพราะอย่างนี้จึงไปบ้านสกุลหู น้องสาวสกุลหูเป็คนดีมาก เห็นเสื้อผ้าของข้าถูกฝนสาดจนเปียก นางเลยหยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ข้าเปลี่ยน”
นางอธิบายแ่เบา
กู้ฉีสายตาอึมครึม ความคิดของนางไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ มารดาก็เคยเอ่ยคลุมเครือเช่นกัน แต่…
เมื่อก่อนสภาพร่างกายของเขาไม่จำเป็ต้องพิจารณาเื่เหล่านี้ ทำไมท่านน้าถึงให้นางใกล้ชิดเขาเช่นนี้น่ะหรือ ส่วนใหญ่ก็เป็เพราะท่านหมอมากมายที่เคยตรวจโรคของเขากล่าวว่า เขายากที่จะมีชีวิตอยู่ถึงอายุสิบแปดปี
ตอนนี้ร่างกายของเขาดีขึ้นแล้ว เื่ราวเลยเปลี่ยนไป
คิดไปแล้ว ท่านน้ากับท่านแม่ล้วนคิดว่าสองสกุลเป็คู่เหมาะสมกัน เกี่ยวดองกันได้จะดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้ถึงปล่อยให้โหยวอวี่เวยวิ่งมาหาเขาถึงชายแดนเอ้อโจวอย่างทางพันลี้ไม่ไกล [3]
กู้ฉีถอนหายใจอยู่ข้างใน มารดาก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาไม่ชอบโหยวอวี่เวย แต่ยังยินยอม
นี่เป็ราคาที่ต้องจ่ายของการเติบโตกระมัง ตอนที่เขาเจ็บป่วย ท่านแม่จะตามใจนิสัยของเขาปล่อยให้เขามีความสุข พออาการป่วยเริ่มดีขึ้นช้าๆ ก็เริ่มพิจารณาแต่ละด้านขึ้น
จากการพิจารณาของมารดา โหยวอวี่เวยเป็ผู้ที่จะมาเป็ลูกสะใภ้ได้ดีที่สุดแล้ว
มองเด็กสาวที่มีรอยยิ้มเอาใจให้เขา ในใจกู้ฉีร้อนใจไม่เป็สุขอยู่บ้าง
“อวี่เวย พรุ่งนี้เ้ากลับเมืองหลวงแล้ว? องครักษ์ล้วนเตรียมดีแล้วหรือ?”
โหยวอวี่เวยรู้สึกถึงความรำคาญของเขาได้อย่างเฉียบแหลม เบ้าตาของนางแดงรื้นขึ้น กัดริมฝีปากล่าง กล่าวด้วยความน้อยใจ “ท่านพ่อจัดเตรียมองครักษ์หนึ่งขบวนเดินทางมาด้วยกัน ส่วนท่านลุงรองก็ส่งคนรับใช้ที่คุ้นเส้นทางสองคนติดตามไปถึงเมืองหลวง”
“เช่นนั้นก็ดี กลับจวนท่านโหวไปแล้วก็พักอยู่ในบ้านดีๆ สถานการณ์ไม่สงบสุขร่มเย็น เ้าเป็เด็กสาวผู้หนึ่งอย่างวิ่งไปทั่ว กลับไปคารวะท่านน้า อีกเดี๋ยวข้าให้กู้จงเตรียมสิ่งของในท้องถิ่นเล็กน้อย และให้เขาไปส่งเ้ากลับอำเภอเจิ้นอัน” เห็นนางเบ้าตาแดงรื้น กูฉีคิดได้ว่านางยังเป็เพียงแม่นางน้อยอายุสิบสามปีเท่านั้น ในที่สุดจึงกำชับนางด้วยเสียงอ่อนโยนสองสามประโยค
“พี่ห้า พรุ่งนี้ท่านจะไปส่งข้าหรือไม่?” ในสายตาโหยวอวี่เวยประดับไว้ด้วยการเฝ้ารอ
กู้ฉีลังเลครู่หนึ่ง จึงส่ายหน้าช้าๆ “พรุ่งนี้ข้าไม่ไป อีกเดี๋ยวอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน ถือเป็การเลี้ยงส่งเ้าแล้วกัน”
่นี้เขาหยุดพักอยู่เมืองไท่ผิง ไม่เคยไปเข้าคำนับโหยวเซียว การไปส่งอวี่เวยออกเดินทางจะต้องพบกับพวกเขาเข้าแน่ ในเมื่อมีเจตนาไม่ไปมาหาสู่กัน คลาดกันไปจะดีกว่า
โหยวอวี่เวยได้ยินว่าเขาจะไม่ไปส่งเดินทาง ั์ตาแวววาวก็หดหู่ลง แต่ทันทีหลังจากได้ยินว่าเขารั้งให้นางอยู่ทานอาหารกลางวันด้วยกัน สายตานางก็ปรากฏความดีใจขึ้นอีกครั้ง
เมอเมอหวังที่อยู่ด้านข้างมองจนส่ายหน้าออกมาตามตรง
ส่งโหยวอวี่เวยไปแล้ว กู้ฉีกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือเริ่มเขียนจดหมายให้อันซื่อผู้เป็มารดา
ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบก่อนตามปกติ และเขียนสภาพความเป็อยู่ของตนเอง่นี้ หลังจากนั้นเอ่ยเื่โหยวอวี่เวยขึ้น ให้มารดาอย่าได้มองข้ามความรู้สึกนึกคิดของเขาเกี่ยวกับปัญหาการเกี่ยวดองกันอย่างจงใจแสดงเจตนาออกมา แม้ร่างกายของเขาในตอนนี้จะค่อนข้างดีแล้ว แต่ยังห่างจากสุขภาพร่างกายแข็งแรงอย่างคนทั่วไปอยู่มาก คำถามสุดท้าย โสมคนที่ส่งไปได้รับแล้วหรือไม่? หากได้รับให้นำไปให้ท่านย่าดู และให้พวกนางจัดการหารือปัญหาของโสมคนเสีย
นำจดหมายใส่เข้าในซอง แล้วหยดครั่งประทับตราปิดผนึกลง หลังจากนั้นสั่งเฉินเผิงเฟยส่งออกไปทันที
“แค่กๆ” กู้ฉีไอสองทีอย่างบางเบา เขาอิงอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ความคิดกระจัดกระจายเล็กน้อย
ปีนี้เขาอายุสิบหก มารดาเริ่มวางแผนการแต่งงานของเขาแล้ว แม้ไม่ใช่โหยวอวี่เวย ก็คงเป็คุณหนูของครอบครัวขุนนางสักครอบครัวในเมืองหลวงแน่
แต่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้สำหรับเขาแล้ว เอ่ยถึงความน่าสนใจไม่ได้เลยสักนิด ทำอย่างไรถึงจะให้ท่านแม่เลื่อนเวลาเื่พวกนี้ออกไปสักสองสามปีได้นะ?
กู้ฉีคลึงขมับอย่างอึดอัดและวุ่นวายใจ
เชิงอรรถ
[1] รู้จักล่าถอยเมื่อเจอสถานการณ์ลำบาก หมายถึง รู้จักถอยเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สมควร หรืออยู่ในสภาวะยากลำบาก
[2] ดังคนดื่มน้ำ รู้เย็นอุ่นด้วยตนเอง หมายถึง มีแค่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็อย่างไร
[3] ทางพันลี้ไม่ไกล หมายถึง ไม่เห็นว่าทางพันลี้เป็ระยะทางไกล แม้การเดินทางไกลอย่างยากลำบากแต่ก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกับอุปสรรค
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้