เปิดประตูหลังตำหนักอ๋อง หนิงมู่ฉือหันกลับไปมองภาพภายในตำหนักอ๋องเป็ครั้งสุดท้าย แม้นางจะมีความผูกพันกับที่นี่ แต่นางไม่อาจไม่ออกจากที่นี่ได้ นางไม่อยากให้คนในตำหนักแห่งนี้ต้องเดือดร้อนไปด้วย นางจึงต้องตัดใจจากไป
สถานการณ์ฝั่งจ้าวซีเหอในเวลาเดียวกัน เนื่องจากเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะได้นอนก็ดึกแล้ว เช้าวันนี้จึงยังไม่ตื่น กว่าจะตื่นเวลาก็ล่วงเลยไปพอประมาณแล้ว
ส่วนเหตุผลที่เขานอนไม่หลับนั่นหรือ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็เพราะหนิงมู่ฉือ
เมื่อวานนางบอกว่าจะกลับมาจัดการธุระเื่หนึ่งที่ตำหนักอ๋อง จะต้องเป็เื่ที่นางกำลังจะออกจากตำหนักอ๋องแน่ เขาเค้นสมองใช้ความคิดอยู่นานว่าจะใช้วิธีใดถึงจะรั้งนางให้อยู่ที่นี่ต่อไปได้ ต่อให้ไม่ใช่เพราะอยากให้นางอยู่ที่นี่เป็การส่วนตัว ถึงอย่างไรตำหนักอ๋องก็สามารถปกป้องความปลอดภัยให้นางได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่อยากให้นางออกจากที่นี่ไป
รอจนเขาตื่นขึ้นมา ตะวันขึ้นสูงโด่งแล้ว เขารีบลุกจากเตียง เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็รีบตรงดิ่งไปยังห้องของหนิงมู่ฉือ ทว่านางได้จากไปนานแล้ว เหลือเพียงห้องว่างเปล่า
เมื่อไม่เห็นคน เขารู้สึกหงุดหงิด จึงรุดไปยังห้องของบิดา
“ท่านพ่อ! หนิงมู่ฉือไปไหนขอรับ!” ท่านอ๋องได้ยินเสียงมาก่อนตัวคนเสียอีก บุตรชายส่งเสียงดังั้แ่เช้า ทำให้ปวดศีรษะจนสมองแทบะเิ
“เบาหน่อย อย่างไรเ้าก็เป็ถึงซื่อจื่อ ส่งเสียงดังเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน!” เพียงแค่ได้ยินคำถาม ท่านอ๋องก็รู้ทันทีว่าบุตรชายมาหาตนด้วยเื่ใด
“ท่านพ่อ หนิงมู่ฉือเล่าขอรับ เหตุใดนางถึงไม่อยู่ที่ห้อง” เมื่อเข้ามาในห้องของท่านอ๋อง จ้าวซีเหอยืนหอบหายใจด้วยความเหนื่อยเนื่องจากรีบวิ่งมาที่นี่
“เ้ารีบวิ่งมาที่นี่ พอมาถึงก็ไม่แม้แต่จะคารวะทำความเคารพ มาถึงก็ถามถึงนางหนูหนิงเลย ไม่เห็นพ่อคนนี้อยู่ในสายตาแล้วใช่หรือไม่!” ท่านอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เ้าลูกคนนี้นี่ใช้ไม่ได้จริงเชียว
“ลูกคาราวะท่านพ่อขอรับ” จ้าวซีเหอทำความเคารพอย่างรวดเร็ว แม้จะรู้ดีว่าบิดาพูดไปเช่นนั้นเอง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
“เฮ้อ” เห็นท่าทางของบุตรชาย ท่านอ๋องแสร้งทำเป็ดุต่อไปไม่ไหว
“นางหนูหนิงจากไปนานแล้ว พ่อเป็คนอนุญาตเอง ในเมื่อนางเป็อิสระแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลใดที่พ่อจะรั้งนางให้อยู่ที่นี่ต่อ พวกเราไม่สามารถไปบังคับนางได้”
ท่านอ๋องถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“เช่นนั้นนางบอกหรือไม่ขอรับว่าจะไปที่ใด ไปทำอะไร” นางน่าจะบอกอะไรไว้บ้าง ไม่ได้เจอนางที่ตำหนักอ๋อง อย่างน้อยสามารถไปหานางข้างนอกได้ก็ยังดี
ท่านอ๋องส่ายหน้า “พ่อให้เงินนางไปสองร้อยตำลึงเงิน น่าจะเพียงพอให้นางใช้ชีวิตข้างนอกได้ครึ่งชีวิต” จ้าวซีเหอได้ยินเช่นนั้นก็ทำหน้าซึมไร้ชีวิตชีวา
“นางจะไป ไม่แม้แต่จะบอกลาลูกสักคำ…” จ้าวซีเหอพึมพำด้วยเสียงไม่ดังนัก
“ซีเหอ เ้าควรเปลี่ยนนิสัยได้แล้ว สตรีอย่างไรก็้าการเอาใจ นางหนูหนิงมีนิสัยเช่นไรใช่ว่าเ้าไม่รู้ เ้าแกล้งนาง นางก็ยิ่งไม่สนใจเ้า พ่อรู้ว่าเ้าชอบนาง เ้าไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่ เพียงแต่… เฮ้อ ช่างเถิด เื่ของหนุ่มสาวเช่นพวกเ้า พวกเ้าจัดการกันเอาเองเถอะ”
จ้าวซีเหอคิดตามคำพูดของบิดาพร้อมกับใช้สมองขบคิด เขาคิดอย่างไรกับนางก็ได้บอกนางไปแล้ว นางเองก็รู้ดี แต่ในใจนางมีเขาบ้างหรือไม่ เขาไม่รู้เลย
แม้วันนี้จ้าวซีเหอจะซึมทั้งวัน ในที่สุดชายหนุ่มก็คิดได้ ไม่ว่าในใจหนิงมู่ฉือจะมีเขาหรือไม่ เขาก็จะตามตื๊อนางเช่นนี้ไปตลอด ใครใช้ให้ความรักเป็ดั่งยาพิษที่ไม่มียาแก้เล่า เขาคงตกอยู่ในห้วงความรักจนกลายเป็คนโง่เง่าไปแล้ว
หญิงสาวแค่อยากแก้แค้น ไม่ได้อยากวิ่งหนีหัวใจตัวเอง สักวันพวกเขาก็ต้องได้พบกันอีกแน่
ทางฝั่งหนิงมู่ฉือ หลังจากออกจากตำหนักอ๋อง นางก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ใดและไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรต่อไปดี นางถือห่อผ้าเดินไปเรื่อยๆ จนถึงเวลากลางวัน
ท้องเริ่มส่งเสียงร้อง นางถึงเพิ่งคิดได้ว่าท้องต้องอิ่มก่อนถึงจะมีแรงคิดแผนต่อไป ตอนนี้นางเป็อิสระแล้ว มีเวลาเยอะแยะให้ใช้ความคิด เื่นี้ต้องค่อยๆ จัดการไปทีละขั้น
นางเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ภายในถือได้ว่าสะอาดสะอ้านใช้ได้ เวลานี้เป็เวลาทานอาหาร ลูกค้าจึงเยอะ นางเดินไปนั่งยังโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงมุมภายในโรงเตี๊ยม
“แม่นางสั่งอะไรดีขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มพร้อมกับเดินเข้ามาหา ที่หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ดูท่าน่าจะเดินไปต้อนรับลูกค้ามาแล้วหลายคน
“ที่นี่มีอะไรน่ากินบ้าง” นางเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก และไม่ถือว่าขาดแคลนเงิน เช่นนั้นนางจะปล่อยให้ปากของนางรับความลำบากทุกข์ยากไม่ได้เป็อันขาด
“แม่นางเพิ่งมาที่นี่เป็ครั้งแรกใช่หรือไม่ขอรับ อาหารขายดีของเราคือขาหมูอบ กลิ่นหอมมาก รับรองได้เลยว่าแม่นางต้องอยากกลับมาทานที่นี่อีกครั้งเป็แน่ และสำหรับสตรีแล้ว ขาหมูถือได้ว่าเป็วัตถุดิบที่ช่วยบำรุงความงามได้อย่างดีเยี่ยม แม่นางอยากจะลองชิมหรือไม่ขอรับ”
ได้ยินเสี่ยวเอ้อร์แนะนำเป็คุ้งเป็แคว นางนึกอยากลองขึ้นมาทันใด แต่ให้ทานขาหมูอย่างเดียวมันออกจะเลี่ยนไปสักหน่อย เพื่อความสมดุล นางจึงสั่งอาหารเพิ่มอีกสองสามอย่าง ถึงอย่างไรนางก็ทานคนเดียว หากสั่งเยอะไปเดี๋ยวจะทานไม่หมด แบบนั่นคงเสียดายแย่
“เอาเท่านี้ก่อน ข้าหิวแล้ว ขอเร็วหน่อยก็แล้วกัน” คนในร้านค่อนข้างเยอะ นางจึงคาดว่าอาหารน่าจะได้ช้า
“ได้ขอรับ แม่นางโปรดรอสักครู่ อีกสักครู่อาหารก็ได้แล้ว อาหารที่แม่นางสั่งมีขาหมูอบ ผัดหลูสุ่น[1] และม้วนมงคลอย่างละจานนะขอรับ” เพียงแค่นางได้ยินชื่ออาหารที่เสี่ยวเอ้อร์กล่าวทบทวน นางก็รู้สึกหิวแล้ว
โชคยังดีที่เวลาที่รออาหารน้อยกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก การบริการนับว่าใช้ได้ นางมองอาหารร้อนๆ จนควันฉุยที่วางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า แต่ละจานมีสีสันหน้าตาน่าทาน ส่วนขาหมูต้องใช้เวลาต้มนาน หากต้มไม่นานพอขาหมูก็จะไม่นิ่ม
นางใช้ตะเกียบคีบขาหมูอบที่วางอยู่ตรงหน้า สามารถจิ้มได้โดยง่าย เห็นได้ชัดว่าใช้เวลาต้มนานเพียงพอ ขาหมูคงจะต้มเอาไว้ก่อนแล้ว ลูกค้าสั่งถึงค่อยยกมาให้ แบบนี้ช่วยประหยัดเวลาไปได้เยอะ และช่วยให้รับมือกับความ้าของลูกค้าที่มีจำนวนมากได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ารสชาติ…
นางใช้ตะเกียบคีบออกมาชิ้นเล็กๆ แล้วนำเข้าปาก เพียงแต่ยังไม่ทันจะเข้าปาก ชิ้นขาหมูกลับลื่นหลุดจากตะเกียบเสียก่อน
เป็เช่นที่นางคิด เวลาที่ใช้ในการต้มนานเกินไป ขาหมูจึงสุกนิ่มเกินไป เนื้อขาหมูขาดความเหนียวอย่างที่ควรจะเป็ รสชาติจึงเปลี่ยนตามไปด้วย
หากอยากยกอาหารไปให้ลูกค้าได้ไวๆ ก็ต้องเตรียมอาหารไว้ให้พร้อมก่อน แต่หากเตรียมอาหารเอาไว้นานมันก็จะไปทำลายรสชาติของอาหาร ปัญหานี้เป็ปัญหาที่แก้ได้ยากจริงๆ
นางไม่แตะขาหมูอบจานนี้อีก กินอาหารอีกสองจานที่เหลือแทน อิ่มแล้วก็เรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาคิดเงิน
“เสี่ยวเอ้อร์ คิดเงินด้วย!”
[1] หลูสุ่น คือหน่อไม้ฝรั่ง