เมื่อหยางหนิงตื่นขึ้นมานั้น ท้องฟ้าก็ได้สว่างมากแล้ว แสงอาทิตย์สอดส่องผ่านช่องว่างระหว่างกิ่งไม้ เกิดเป็แสงและเงาคาบเกี่ยวกันเป็่ๆ เมื่อเงยหน้ามองตรงไปกลับเห็นต้นไม้สูงเติบโตซ้อนทับยาวเรียงกันเป็ทางลึก วิวทิวทัศน์บนเขาเช่นนี้กลับเผยภาพที่งดงามชวนเชยชมขึ้น แตกต่างกับภาพป่าลึกมืดเมื่อคืนเป็อย่างมาก อากาศที่สะอาดบริสุทธิ์นั้นเมื่อสูดดมเข้าไปก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกสดชื่นสบายปอด
“ตื่นแล้ว?” ด้านหลังก็มีเสียงของผู้าุโมู่ดังขึ้น “ข้ากระหายน้ำ เ้าไปหาพวกผลไม้ป่ามาดับกระหายให้ที”
หยางหนิงหันหน้ากลับไปมองทางต้นตอของเสียง แม้ว่าในถ้ำนั้นจะยังคงมืดสลัวอยู่ไม่น้อย ทว่าก็ชัดเจนยิ่งกว่าเมื่อคืนมากแล้ว ตอนนี้ผู้าุโมู่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ ดูคล้ายกับนักบวชที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่
หยางหนิงลอบด่าประโยคหนึ่งในใจ ก่อนจะคิดได้ว่าตัวเองก็คอแห้งอยู่ไม่น้อย จึงได้แต่หัวเราะเหอะๆ และตอบกลับไปว่า “ผู้าุโจอมปลิ้นปล้... อ่ะ ผู้าุโมู่ อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนท่านหลับสบายดีหรือไม่?”
ผู้าุโมู่ไม่ได้สนใจคำพูดของหยางหนิง เมื่อหยางหนิงเห็นดังนั้นก็รู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง จึงลุกขึ้นยืนและยืดเส้นยืดสายไปมา เมื่อคืนหลังจากที่ได้นอนแล้วก็ทำให้กำลังกายและสติของเขาฟื้นฟูคืนมาไม่น้อย
เขาก้าวเท้าเตรียมจะเดินจากไป อยู่ๆ เสียงของผู้าุโมู่ก็ดังจากทางด้านหลังอีกครั้ง “เสี่ยวป๋ายทู่ เ้าเป็คนฉลาด อย่าคิดหาเื่ใส่ตัวโดยเด็ดขาด”
หยางหนิงเข้าใจความหมายของเขา เขาก็แค่กลัวว่าตนจะหนีไปเท่านั้น จากนั้นหยางหนิงก็ส่งเสียงหัวเราะเหอะๆ ออกมาและไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติมอีก
ในป่าเขานี้มีต้นไม้สูงเติบโตเรียงรายกันอยู่หนาแน่น อีกทั้งบริเวณโดยรอบก็เต็มไปด้วยเถาวัลย์หนามจำนวนมาก หากคิดจะตามหาผลไม้ป่านั้นไม่ใช่เื่ที่ง่ายเลย ยังดีที่เขามีอายุยังน้อย ร่างกายพริ้วไหวกระฉับกระเฉง การเดินสันทัดไปมาบนเขาแห่งนี้ยังถือว่าคล่องแคล่วพอควร เมื่อเดินไปได้ระยะทางประมาณสี่ห้าลี้ หยางหนิงก็ได้ยินเสียงกระทบกันของน้ำดังสะท้อนอยู่บริเวณใกล้ๆ ก่อนจะมองเห็นว่ามีลำธารสายหนึ่งอยู่เบื้องหน้า ตอนนี้เขากำลังกระหายน้ำมาก เมื่อเดินไปถึงข้างลำธารก็เห็นว่าน้ำของมันนั้นใสบริสุทธิ์ผิดปกติ จึงตักน้ำจำนวนหนึ่งใส่มือและสาดขึ้นใส่หน้า ทำการล้างหน้าของตนไปก่อน
คุณภาพน้ำที่บริสุทธิ์ไร้มลภาวะของธรรมชาตินี้แน่นอนว่าสามารถทำการดื่มได้อย่างสบายใจ จากนั้นเขาก็กวาดตามองบริเวณโดยรอบและเห็นว่าห่างจากข้างลำธารไปไม่ไกลนักก็มีต้นผลไม้ป่าอยู่หลายต้นดังคาด บนต้นไม้เ่าั้เต็มไปด้วยผลไม้ป่า เพียงแต่เขาจำแนกไม่ออกว่ามันคือผลไม้อะไร หยางหนิงเดินไปเด็ดลงมาส่วนหนึ่งก่อนจะกัดกินเพื่อชิมรสชาติ รสชาติเมื่อเข้าปากไปแล้วนั้นหอมหวานมาก จัดได้ว่าเป็รสชาติที่ไม่เลวเลย
ในใจของเขากำลังคิดคำนวณว่าควรจะถือโอกาสนี้หนีไปดีหรือไม่ เวลานี้ถือเป็โอกาสดีที่สุดที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของผู้าุโมู่ เพียงแต่เมื่อคิดถึงคำข่มขู่ของผู้าุโ ในใจของเขาก็ยังคงมีความลังเลเกิดขึ้น
ชายชราจอมปลิ้นปล้อนนั้นแม้จะชอบพูดจาโอ้อวดโดยอ้างว่ามือไม้เปื่อยตายของเขาได้ทำร้ายเส้นชีพจรของหยางหนิงแล้ว ทว่าในใจของหยางหนิงก็ยังเกิดความรู้สึกสงสัยอยู่ไม่น้อย
ชายชรานี้ได้รับาเ็สาหัส หยางหนิงสงสัยเหลือเกินว่าเขาจะทำเพียงแค่ตบมือลงบนไหล่ตนสองสามครั้งเบาๆ และทำร้ายตนได้จริงหรือไม่ อีกทั้งสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือจนถึงตอนนี้แล้ว หยางหนิงก็ยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆ ในร่างกายของตน
หยางหนิงกรอกตาไปมา ก่อนจะตัดสินใจแล้วว่าตนจะเดินหน้าไปทางทิศใต้ต่อ แต่เมื่อเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม อยู่ๆ บริเวณทรวงอกก็รู้สึกเหมือนถูกบีบอย่างรุนแรง ความเ็ปที่พุ่งเข้าโจมตีนั้นค่อยๆ กระจายจากบริเวณหัวใจไปจนถึงหัวไหล่
หยางหนิงนั่งลงบนพื้น หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดขึ้นจำนวนมาก ก่อนจะรีบยกมือขึ้นกดทับบริเวณหัวใจของตน เวลานี้หัวใจของเขาเต้นเร็วและแรงมาก ความรู้สึกเ็ปนี้ทำให้เขาแทบจะไม่สามารถหายใจต่อได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง ความรู้สึกเ็ปนั้นก็ค่อยๆ ทุเลาลง รอจนกระทั่งมันจางหายไปนั้น หยางหนิงถึงจะค่อยสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ถึงสองครั้งติด ขณะที่แววตาปรากฎแสงแห่งความเยือกเย็นขึ้นพร้อมกำหมัดแน่นและเอ่ยด่า “เ้าแก่เศษสวะนั่น ถึงกลับกล้าลงมือจริงๆ ด้วย” ก่อนหน้านี้เขายังคงรู้สึกสงสัยว่าผู้าุโมู่ทำเพียงแค่พูดจาข่มขู่ให้คนหวาดกลัวเพียงแค่นั้นหรือไม่ ทว่าเวลานี้เขาก็ไม่ได้รู้สึกสงสัยอีกต่อไป
เมื่อคิดได้ว่าตนถูกชายแก่นั่นข่มขู่ได้สำเร็จ หยางหนิงก็มีแต่ความรู้สึกเกลียดชังอัดแน่นในหัวใจ และกล่าวโทษตัวเองว่าไม่ควรทำการขึ้นเขาลูกนี้มา ทว่าเมื่อเื่ราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ได้แต่ต้องเดินไปดูไป พลิกแพลงตามสถานการณ์แล้ว
ตอนนี้เขาจึงได้แต่ต้องหมุนตัวเดินกลับไปที่ข้างลำธารและก้มเก็บผลไม้ห้าหกลูก และเดินกลับถ้ำไปอย่างหงุดหงิด ทว่ายังไม่ทันเหยียบย่างเข้าไปในถ้ำ หยางหนิงก็ได้ยินเสียงร้องประหลาดดังออกมาจากด้านใน ในใจก็รู้สึกประหลาดใจจึงค่อยๆ ย่องเดินไปที่ปากถ้ำและชะเง้อคอมองเข้าไปด้านใน ทว่าภาพที่หยางหนิงเห็นคือผู้าุโมู่กำลังดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนพื้นอย่างทุกข์ทรมาณ มือทั้งสองข้างของเขาทุบหน้าอกของตัวเองไม่หยุด ดูคล้ายกับคนกำลังคลุ้มคลั่งก็มิปาน
หยางหนิงรู้สึกใยิ่งนัก พลางลอบคิดในใจว่าหรือพิษในตัวของชายชราผู้นี้กำเริบอีกแล้ว?
ผู้าุโมู่คำรามเสียงต่ำเหมือนกำลังพยายามกดเสียงร้องของตนให้เบาลง แต่เดิมที่เขากำลังดิ้นไปมาอยู่บนพื้นนั้น อยู่ๆ เขาก็พลิกตัวยืนขึ้นและพุ่งไปที่กำแพงหินของถ้ำและยกมือทั้งสองขึ้นดันไว้กับผิวกำแพง จากนั้นเขากลับใช้ศีรษะของตัวเองโขกไปที่กำแพงหินนั้นอย่างแรง
หยางหนิงตกตะลึงจนหน้าซีด เขานั้นไม่อยากให้ผู้าุโมู่หัวแตกตายไปในตอนนี้ เพราะว่าหากชายแก่นี้ตายไป าแบนร่างของเขาก็ไม่มีผู้ใดสามารถรักษาได้แล้ว
ผู้าุโมู่ดูคลุ้มคลั่งราวกับคนบ้า หลังจากที่โขกไปแล้วหลายครั้ง บนหน้าผากก็มีเืสดไหลอาบลงมา ทว่าเขากลับดูเหมือนไม่รับรู้ถึงความเ็ปใดๆ หยางหนิงจึงรีบวิ่งไปด้านหน้าและเอ่ยเรียก “ผู้าุโมู่ ผู้าุโมู่ ท่านอย่าคิดสั้นนะ ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านไม่ควรจะทำเช่นนี้กับตัวเอง?”
อยู่ๆ ผู้าุโมู่ก็หันหน้ามาหาหยางหนิง ก่อนจะเห็นว่าตอนนี้สีหน้าของเขาดูชั่วร้ายมาก อีกทั้งดวงตาทั้งสองในตอนนี้ก็เป็สีแดงก่ำ บวกกับโลหิตที่ไหลอาบลงมาจากหน้าผาก ทำให้ผ้าที่ใช้ผูกอยู่บริเวณหน้าผากนั้นก็ถูกย้อมไปด้วยโลหิตสดแล้วเช่นกัน
“ผู้าุโมู่...!” หยางหนิงเห็นว่าดวงตาคู่นั้นจ้องตนราวกับแววตาของสัตว์ร้าย แผ่นหลังของเขาก็รู้สึกขนลุกซู่ไปหมด พลางคิดในใจว่าพิษเช่นนี้ช่างร้ายกาจเสียจริงๆ ถึงกับทำให้ผู้าุโมู่ที่เป็ยอดฝีมือเช่นนี้มีสภาพตกต่ำได้ถึงเพียงนี้
ทันใดนั้นผู้าุโมู่ก็โถมตัวมาทางด้านหน้า ทว่าหยางหนิงได้เตรียมตัวไว้อยู่ก่อนแล้ว เขาจึงรีบก้าวถอยไปด้านหลัง ในขณะที่ผู้าุโมู่สะดุดขาของตัวเองและเอนล้มลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ค่อยทำการดีดดิ้นไปมาอยู่บนพื้นอีกครั้ง มือทั้งสองยังคงยกขึ้นทุบอกตัวเองอย่างต่อเนื่อง หยางหนิงเห็นภาพดังกล่าวก็รู้สึกตกอกใเป็อย่างมาก เขารีบก้าวถอยออกไปด้านนอกถ้ำอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปเนิ่นนานกว่าผู้าุโมู่จะค่อยๆ สงบลง ก่อนจะไม่ขยับตัวต่ออีก ร่างของเขานอนราบอยู่บนพื้นเหมือนกับคนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว
หยางหนิงรออีกครู่หนึ่งแล้วจึงค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างแ่เบาเข้าไปด้านใน ก่อนจะเห็นว่าดวงตาของผู้าุโมู่นั้นปิดสนิท ฟันบนล่างขบกัดกันแน่น เืสดบนหน้าผากยังคงไหลออกมา ขณะที่สีหน้านั้นกลับขาวซีดจนหน้ากลัว
หยางหนิงยกเท้าขึ้นเตะอยู่หลายครั้ง ทว่าผู้าุโมู่กลับไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
“หรือว่าชายแก่นี่จะถูกพิษตายไปแล้ว?” หยางหนิงรู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมาทันทีจึงรีบย่อตัวลงไปและยื่นมือออกไปทาบบริเวณจมูกของผู้าุโมู่เพื่อตรวจดูลมหายใจ ก่อนจะพบว่าผู้าุโยังมีลมหายใจที่บางเบาอยู่ จึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขายื่นมือไปตบหน้าผู้าุโมู่อยู่หลายครั้งก่อนจะก่นด่าออกมาอย่างอดไม่อยู่ “ท่านมันปีศาจเฒ่า ตัวเองจะตายอยู่แล้วยังจะมาดึงข้าไปร่วมด้วยอีกทำไม?” เพราะความโกรธแค้นในใจทำให้เขายกเท้าขึ้นเตะต่ออีกหลายครั้ง
ทันใดนั้นสายตาของเขาก็หันไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เปิดกางอยู่ตีนกำแพงหิน ในใจก็เกิดความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น จึงเดินไปหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาดู
เมื่อหยิบมาถือไว้ในมือแล้วถึงจะพบว่ามันเป็หนังสือภาพวาดม้วนหนึ่ง มากกว่าครึ่งเล่มนั้นยังไม่เคยถูกเปิดอ่าน โดยััที่ได้รับจากหนังสือภาพม้วนนี้นั้นลื่นมือมาก อีกทั้งดูจากเนื้อกระดาษแล้วก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่กระดาษธรรมดา ทว่าเขากลับไม่รู้ว่ามันทำมาจากกระดาษประเภทใด
ม้วนหนังสือภาพนั้นค่อนข้างเก่าจนเกิดคราบเหลืองขึ้นบางจุดแล้ว หยางหนิงเปิดดูหนังสือเล่มนั้นอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่าบนม้วนหนังสือภาพนั้นทุกๆ ระยะห่างประมาณหนึ่งนิ้วก็ล้วนแต่มีภาพร่างคนเปลือยอยู่คนหนึ่ง ทว่าท่วงท่าของคนนั้นกลับแตกต่างกัน อีกทั้งบนภาพของร่างคนเ่าั้ล้วนแต่มีเส้นขีดคาดกันไปมา ทันใดนั้นหยางหนิงก็ดูออกทันทีว่านี่คือภาพของชีพจรบนร่างกายมนุษย์
เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย หนังสือภาพนี้จะต้องเป็ของผู้าุโมู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ชายชราผู้นี้จะพกหนังสือวาดเล่มนี้ติดตัวไปเพื่ออะไร?
เวลานี้ผู้าุโมู่นอนนิ่งอยู่บนพื้นราวกับคนตาย ไม่มีการขยับตัวแม้แต่น้อย
ภายในถ้ำนี้ค่อนข้างมืด ทำให้ชั่วขณะหนึ่งนั้นหยางหนิงไม่อาจมองเห็นภาพวาดบนนั้นได้อย่างชัดเจน เขาจึงเดินไปที่ปากถ้ำ ตรงนั้นมีแสงสว่างของพระอาทิตย์สาดส่องมา ตอนนี้เมื่อเปิดดูเขาถึงสังเกตเห็นว่าชีพจรบนร่างของคนเปลือยนั้นถูกอธิบายอย่างละเอียดมาก เส้นชีพจรส่วนมากเน้นย้ำด้วยสีดำ ทว่าทุกภาพของร่างคนนั้นกลับมีเส้นสีแดงที่สะดุดตาขีดคาดอยู่ด้วย
หนังสือภาพนี้มีอายุเก่าแก่มาก แผ่นกระดาษแปรเปลี่ยนเป็สีเหลืองแล้ว ในขณะที่เส้นสีแดงนั้นก็จืดจางลงไม่น้อย ทว่ากลับยังคงสามารถทำการจำแนกได้อย่างชัดเจน
ม้วนหนังสือภาพนี้คลี่เปิดจากด้านขวาไปทางด้านซ้าย โดยทางด้านขวาสุดของปกม้วนหนังสือภาพนั้นมีตัวหนังสือโบราณเขียนจากบนลงล่างสี่ตัวใหญ่ และตรงมุมก็มีตัวหนังสือขนาดเล็กเรียงกันเป็แนวตั้งอีกหลายตัว
ความจริงแล้วความสามารถในการอ่านตัวหนังสือโบราณของหยางหนิงนั้นก็ไม่ได้ย่ำแย่ ทว่าลายเส้นของตัวหนังสือโบราณนี้บางเบามากทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าตัวหนังสือโบราณสี่ตัวใหญ่ที่เขียนอยู่นั้น หยางหนิงยังพออ่านออกบ้าง
พลังเทพหกประสาน!
หยางหนิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ชื่อนี้ถือว่าดูน่าดึงดูดยิ่งนัก เวลานี้เขาถึงจะรู้ว่าหนังสือภาพนี้เป็ไปได้อย่างมากว่าจะเป็หนังสือเคล็ดลับของการฝึกวรยุทธ์ และการที่ผู้าุโมู่พกหนังสือเคล็ดลับนั้นก็ไม่ถือเป็เื่ที่แปลก
ตัวหนังสือเล็กๆ ที่เรียงติดกันบนขอบหนังสือนั้น หยางหนิงรู้จักอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น โดยพอจะอ่านได้เนื้อความว่า “ผู้ประสานพลังทั้งหก บนล่างสี่ทิศ จักรวาลฟ้าดิน” “รวมประสานพลังทั้งหก เม็ดทรายกองรวมเป็ูเา” และอื่นๆ ทว่าตัวหนังสือส่วนมากแล้วเขาไม่อาจทำความเข้าใจได้
ชาติก่อนหยางหนิงเคยผ่านการฝึกฝนพิเศษมา โดยเคยผ่านการฝึกเฉพาะในการวิเคราะห์ข้อต่อกระดูกบนร่างกายของมนุษย์มาอย่างเข้มงวด เพราะฉะนั้นเวลานี้เมื่อมองดูเส้นที่ขีดทับซ้อนไปมาบนภาพร่างกายของมนุษย์แล้ว เขาก็มีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างขึ้น
เส้นสีแดงของภาพแรกนั้นเริ่มต้นจากนิ้วมือทั้งห้าของมือฝั่งด้านซ้าย เส้นสีแดงห้าเส้นที่ลากจากปลายนิ้วมือค่อยๆ ลากยาวมาถึงบริเวณข้อมือก่อนจะผสานกันกลายเป็เส้นชีพจรเส้นหนึ่ง ห้าเส้นรวมเป็หนึ่ง ลากจากส้นชีพจรบนแขนยาวไปถึงใต้รักแร้ฝั่งซ้าย ก่อนจะลากผ่านเป็แนวขวางไปยังทรวงอก เมื่อถึงจุดตรงกลางของทรวงอกแล้วเส้นสีแดงก็ได้หยุดลง
หยางหนิงมองดูก็รู้ได้ทันทีว่าจุดสุดท้ายบริเวณทรวงอกนั้นก็คือจุดถานจงที่สำคัญที่สุดของร่างกายมนุษย์
จากนิ้วมือทั้งห้าฝั่งซ้ายลากไปจนถึงจุดถานจงบริเวณทรวงอกนั้นดูเหมือนจะไม่ได้คดเคี้ยวเท่าใดนัก ทว่าระหว่างทางกลับมีจุดชีพจรอีกสิบกว่าจุด และทุกจุดชีพจรที่เส้นลากผ่านนั้นก็จะเพิ่มความหนาขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าทำไว้เพื่อให้คนสามารถแยกแยะได้อย่างง่ายดาย
ความจริงแล้วบนเส้นชีพจรนี้ลากผ่านจุดชีพจรไปราวสามสิบถึงสี่สิบจุด ทว่ากลับมีเพียงสิบกว่าจุดเท่านั้นที่ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเส้นสีแดง หยางหนิงรู้จักจุดชีพจรสิบกว่าจุดนี้เป็อย่างดี ทว่าชั่วขณะหนึ่งกลับดูไม่ออกว่าจุดประสงค์ในการกำกับเส้นเหล่านี้บนภาพนั้นมีไว้เพื่อสิ่งใด
หยางหนิงจึงทำการคลี่เปิดม้วนหนังสือภาพนี้ให้แผ่กางเอาไว้บนพื้น ให้เห็นภาพทั้งหมดได้อย่างขัดเจน ความจริงแล้วม้วนหนังสือภาพนี้ไม่ได้ยาวมากนัก นับจากขวาไปซ้ายนั้นมีอยู่ประมาณสิบเอ็ดรูปเท่านั้น
ผู้ที่วาดภาพนี้เห็นได้ชัดว่าเป็ยอดฝีมือ โครงสร้างของมนุษย์ในภาพนี้ถูกวาดได้สมจริงยิ่งนัก ท่วงท่าของร่างกายคนในทั้งสิบเอ็ดภาพนี้มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง ตัวอย่างเช่นภาพที่หนึ่ง แขนซ้ายจะถูกยกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่แขนขวาวางทาบกับลำตัว ในขณะที่ภาพที่สองกลับเป็ในทิศทางตรงกันข้าม การทำเช่นนี้ก็เพื่อที่จะชี้ให้เห็นถึงจุดเด่นที่้าแสดงให้เห็นในแต่ละภาพ เส้นสีแดงของภาพที่หนึ่งนั้นวาดอยู่บนแขนข้างซ้าย พราะฉะนั้นแขนข้างซ้ายจึงถูกยกขึ้นเล็กน้อยให้เห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
ทุกภาพวาดล้วนแต่มีเส้นแดงที่เห็นได้เด่นชัดลากผ่านร่างกาย หยางหนิงกวาดตามองผ่านๆ ไปรอบหนึ่ง ก่อนจะเห็นว่าทุกภาพวาดนั้นแม้จะมีจุดเริ่มต้นที่ไม่เหมือนกัน ทว่าจุดจบกลับล้วนแต่เป็จุดถานจงบริเวณทรวงอก
จุดเริ่มต้นของทั้งสิบเอ็ดภาพนี้ ประกอบด้วยแขนซ้าย แขนขวา ไหล่ทั้งสองข้าง ขาทั้งสองข้าง หัวเข่าทั้งสองข้าง บริเวณใต้สะดือ หว่างคิ้ว และปีกหลัง โดยภาพปีกหลังนั้นเป็ภาพหันหลังให้กับผู้อ่าน
จุดชีพจรที่เส้นสีแดงลากผ่านในแต่ละภาพนั้นไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งจำนวนเส้นชีพจรที่ลากผ่านก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้างเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นระยะห่างระหว่างเส้นชีพจรที่ไกลที่สุดก็คือขาทั้งสองข้าง โดยเส้นที่ลากั้แ่ฝ่าเท้าขึ้นมาถึงจุดถานจงนั้น ระหว่างทางได้ผ่านจุดชีพจรหลายสิบจุด และระยะห่างที่ใกล้กับจุดถานจงที่สุดก็คือไหล่สองข้าง โดยลากผ่านจุดชีพจรประมาณเจ็ดแปดจุดเท่านั้น
แม้ว่าภาพร่างคนจะดูเหมือนจริงมาก อีกทั้งจุดชีพจรก็มีเส้นดำชี้แสดงให้เห็น ทว่าบนนั้นกลับไม่ได้ชี้แจงบอกถึงชื่อเรียกของจุดชีพจร หากเป็ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านจุดชีพจรแล้ว เมื่ออ่านดูก็จะไม่มีทางเข้าใจได้เลย
ทว่าหยางหนิงเองก็รู้ดีว่าในเมื่อหนังสือพลังเทพหกประสานนี้เป็ถึงเคล็ดลับในการฝึกวรยุทธ์ เช่นนั้นผู้ที่ก็จะต้องเป็ผู้ฝึกฝนวรยุทธ์ ผู้เรียนวรยุทธ์นั้นแน่นอนว่าจะต้องรู้จักจุดชีพจรในร่างกายเป็อย่างดี ต่อให้บนหนังสือภาพนี้ไม่ได้ชี้แจงถึงชื่อของจุดชีพจร ทว่าผู้ชำนาญด้านนี้มองเพียงแวบเดียวก็คงสามารถรู้ได้ถึงทุกจุดชีพจรที่เส้นสีแดงลากผ่านอย่างแน่นอน