เล่มที่ 2 บทที่ 31 นับเป็ตัวอะไร
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ก็เห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งมีหน้าตาสะอาดสะอ้าน รูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณยี่สิบเจ็ดเห็นจะได้ กำลังสาวเท้าก้าวเข้ามา ก่อนจะส่งสายตาดูแคลนมายังหลินเฟย แววตานั้นช่างเต็มไปด้วยความโอหังนัก…
“เ้าสินะที่คิดจะแย่งของที่หุบเขาหมัวเจี้ยนหมายตาเอาไว้”
ขณะที่หลินเฟยกำลังจะอ้าปากเพื่อเอ่ยตอบ โจวเจิ้งที่อยู่ด้านข้างกลับดึงชายเสื้อยื้อหยุดเขาเอาไว้ ก่อนจะเตือนด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“คนคนนี้ชื่อว่าหลี่ฉุน เป็ศิษย์จากหุบเขาหมัวเจี้ยน มีฝีมือด้านการหลอมอาวุธมากเลยทีเดียว ได้ยินว่าผู้าุโอู๋เย่วยังเคยเอ่ยปากชม ฝากฝังไว้ว่าหลังจากเขาสิ้นชีพ ก็หวังจะให้หลี่ฉุนมารับตำแหน่งผู้าุโหุบเขาหมัวเจี้ยนแทน ฉะนั้นอย่าเลยดีกว่า…”
“เอาล่ะๆ ข้ารู้แล้ว” หลินเฟยพยักหน้า หมายคลายความกังวลให้โจวเจิ้ง ก่อนจะหันไปส่งยิ้มและแนะนำตัวกับหลี่ฉุน
“ศิษย์พี่หลี่ฉุนสินะ ข้าหลินเฟยจากหุบเขาอวี้เหิง…”
“ฮ่าๆ หุบเขาอวี้เหิงอย่างนั้นหรือ?” ทันทีที่หลินเฟยพูดจบ อีกฝ่ายก็ะเิหัวเราะออกมา ราวกับกำลังฟังเื่ตลก ก่อนจะกลอกตาแสดงกิริยาดูถูกอีกครั้ง
“หุบเขาอวี้เหิงนับเป็อะไรกัน ถึงได้กล้ามาแย่งของที่ข้าหมายตาได้?”
“หื้อ?” ได้ยินดังนั้น หลินเฟยยังคงยิ้มเช่นเดิม แต่คิ้วคู่นั้นกลับขมวดลงเล็กน้อย ‘ถึงแม้ชาตินี้จะเจออาจารย์ที่ไม่เอาอ่าว วันๆดีแต่รีดไถ่ลูกศิษย์แล้วก็ไม่ทำอะไรอีกเลย แต่แบบนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะมีสิทธิ์มาดูแคลนหุบเขาอวี้เหิงของเขาได้’
หากซูหยวนอยู่ตรงนี้ด้วย แค่เห็นหลินเฟยขมวดคิ้ว ก็ย่อมรู้แล้วว่าจะต้องเกิดเื่ใหญ่ขึ้นแน่ หลินเฟยจะเป็ใครได้ล่ะ ขนาดศิษย์สายตรงยังเคยมีเื่มาแล้วเลย เมื่อเทียบกับหลี่ชิงซานที่เป็ศิษย์สายตรงลำดับที่สามแล้ว หลี่ฉุนต่างหากที่นับว่าเป็ตัวอะไร?
‘น่าเสียดายที่หลี่ฉุนไม่รู้เื่นี้…’
คิ้วหลินเฟยขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ แต่หลี่ฉุนก็กลับยังไม่รู้สึกอะไร แถมยังพูดจาอวดดีต่อไปเรื่อยๆ
“ก็คิดอยู่ว่าใครกันที่มันกล้าคิดจะแย่งของที่หุบเขาหมัวเจี้ยนหมายตา ที่แท้ก็พวกหุบเขาอวี้เหิง เ้าคงไม่รู้สินะ กระบี่ที่พวกเ้าใช้ได้มาจากที่ใด?"
“จะบอกให้เอาบุญก็ได้ พวกเ้าน่ะถังแตกมาเป็หลายสิบปีแล้วที่ผ่านมาก็เอากระบี่ไปจากพวกข้า แต่ไม่เคยจ่ายหินิญญาเลยแม้แต่ก้อนเดียว หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ข้าเป็คนใจบุญสุนทาน เกรงว่าพวกเ้าคงไม่มีกระบี่ให้ใช้มาถึงตอนนี้แล้ว แต่ดันกลับกล้าเอาหินิญญาที่ติดค้าง มาแย่งชิงแร่ขั้นโฮ่วเทียนกับข้าที่หุบเขาว่านเป่า หนังหน้าเ้านี่ช่างด้านหนาเสียจริงๆ…”
“ขนาดกล้าหมายตาแร่ขั้นโฮ่วเทียน ช่างไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงาเสียบ้างเลย นั่นเป็ถึงแร่ขั้นโฮ่วเทียนเชียว เ้าจะมีปัญญาซื้อไหวได้อย่างไร ต้องใช้ตั้งห้าร้อยหินิญญาเลยนะ เกรงว่าจะประหยัดอดออมไม่กินไม่ใช้สักสามปี ถึงจะมีปัญญาซื้อกระมัง”
“พูดจบหรือยังล่ะ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินเฟยไม่รู้สึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย แต่ยังคงส่งยิ้มกลับไปเหมือนเดิม
“หึหึ เื่แย่ๆของหุบเขาอวี้เหิงน่ะหรือ ต่อให้พูดสามวันสามคืนก็คงไม่หมด ข้าแค่เหนื่อยที่จะพูดแล้วเท่านั้น”
“หากพูดจบแล้ว ก็ถึงทีข้าพูดบ้างละกัน…” หลินเฟยก้าวเข้าไปหาหลี่ฉุน ก่อนจะเริ่มเอ่ยช้าๆ
“ข้อแรกก่อนเลย ราคาห้าร้อยหินิญญานั้น เ้าพูดเองเออเองทั้งนั้น เ้าของแร่ไม่ได้ตกลงด้วยเสียหน่อย สิ่งที่เขา้าคืออาวุธที่ขจัดไอหยินของปีศาจได้ต่างหาก แต่เ้ากลับมัดมือชกเช่นนี้ ช่างมีคุณธรรมล้ำเลิศเสียจริงเชียว…”
“นี่เ้า…" ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหลี่ฉุนเปลี่ยนสีไปทันที สำหรับอาวุธที่ขจัดไอหยินได้นั้น ส่วนมากจะเป็ศาสตราวุธอิงฝูที่มีมนต์สะกดสิบแปดสายขึ้นไป ราคาประมาณพันหินิญญา แต่เขากลับเสนอราคาเพียงห้าร้อยหินิญญา เดิมก็ถือว่าเป็การค้าที่ไม่ยุติธรรมมากแล้ว แต่เพราะฐานะของเขา จึงไม่มีใครกล้าเอ่ยแย้ง แต่ตอนนี้หลินเฟยกลับพูดออกมาทั้งหมด หลี่ฉุนจึงแสดงอาการตึงเครียดขึ้นมาทันที…
“ข้อที่สอง เดิมทีนั้น หุบเขาหมัวเจี้ยนก็มีหน้าที่เพื่อหลอมกระบี่ให้ทางสำนักอยู่แล้ว จึงไม่อาจพูดได้ว่ากระบี่เ่าั้เป็ทรัพย์สมบัติของหุบเขาหมัวเจี้ยน ส่วนเื่ที่พวกข้าติดค้างหินิญญานั่น ก็ไม่อาจพูดสุ่มสี่สุ่มห้าออกมาได้ เพราะกระบี่ทุกเล่มล้วนเป็ทรัพยากรของสำนัก แล้วมันจะกลายเป็ของเ้าได้อย่างไร? สงสัยข้าคงต้องไปสอบถามกับศิษย์หุบเขาเทียนสิงหน่อยแล้ว ฉ้อโกงทรัพย์สินของสำนักมาเป็ของตน จะถูกขังที่ถ้ำเสวียนปิงกี่ปีดีนะ…”
“อย่ามาพูดบ้าๆนะ!” หลี่ฉุนทนไม่ได้กับสิ่งที่หลินเฟยอธิบาย จึงหลุดโพล่งขึ้นมาทันที ‘บัดซบ ทำไมถึงกลายเป็ฉ้อโกงทรัพย์สินของสำนักได้ แถมยังจะถูกขังที่ถ้ำเสวียนปิงอีก’
“ใจเย็นๆก่อน ยังมีข้อสามอีก…” เมื่อสิ้นคำหลินเฟยก็ยกมือชี้ไปที่หลี่ฉุน
“แล้วเ้านับเป็ตัวอะไรกันล่ะ ถึงกล้ามาว่าร้ายหุบเขาอวี้เหิงของข้าได้?”
ทันใดนั้นชั้นสี่ของหอว่านเป่าก็เงียบลงทันที แม้แต่ศิษย์ที่เฝ้าเวร ก็อดที่จะสูดลมหายใจไม่ได้ ทั่วทั้งชั้นเงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ แม้แต่อากาศก็ราวกับถูกแช่แข็ง…
หลี่ฉุนมองหลินเฟยอย่างตกตะลึง เขาเป็ถึงศิษย์เอกของหุบเขาหมัวเจี้ยน ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ถูกด่าต่อหน้าเช่นนี้มาก่อน คำว่าเ้านับเป็ตัวอะไร ยิ่งทำให้หลี่ฉุนเจ็บแปลบในใจจนพูดไม่ออก…
หลังจากตะลึงไปชั่วครู่ หลี่ฉุนก็แสดงอาการโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำพร้อมยกมือชี้หน้าหลินเฟย
“ลองพูดใหม่อีกสิ!”
“ทำไมล่ะ ฟังไม่ชัดอีกหรือไง ก็ได้ๆ ถ้าอย่างนั้นข้าจะพูดอีกรอบ…” สำหรับศิษย์หุบเขาหมัวเจี้ยนแล้ว หลินเฟยไม่เคยคิดจะให้ราคาเก็บเอามาใส่ใจเลยสักเพียงนิด จึงเอ่ยขึ้นมาอีกรอบ
“เ้านับเป็ตัวอะไรหรือ ถึงขนาดกล้ามาด่าว่าหุบเขาอวี้เหิงของข้า?”
“รนหาที่ตายนักนะ!” คราวนี้หลี่ฉุนโกรธหนักจนถึงที่สุดแล้วจริงๆ เขาชักกระบี่ออก ก่อนจะหันปลายกระบี่ชี้ไปที่หลินเฟย
“ขอดูหน่อยว่าหุบเขาอวี้เหิงจะมีน้ำยาสักเท่าไรกัน”
ในขณะนี้เองสถานการณ์ก็ตึงเครียดขึ้นมา ศิษย์ที่เฝ้าเวรเห็นท่าไม่ดี จึงส่งสัญญาณไปให้คนที่อยู่ใกล้ประตูที่สุด
“รีบไปตามศิษย์พี่ข่ง…”
“ศิษย์พี่หลี่…” โจวเจิ้งยืนคั่นอยู่ระหว่างทั้งคู่ เขากลืนน้ำลายก่อนจะอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ทุกคนล้วนเป็ศิษย์สำนักเดียวกัน มีอะไรก็ค่อยๆพูด ค่อยๆจากันดีกว่า อย่าถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลย… ”
“หุบปาก!” หลี่ฉุนอยู่ในอารมณ์เดือดพล่านถึงที่สุด ไหนเลยจะสนใจฟังคำของโจวเจิ้ง
“พวกหุบเขาอวี้เหิงคู่ควรจะเป็ศิษย์ร่วมสำนักกับข้าอย่างนั้นหรือ ต่อให้หลัวเสิ่นเซียวก็ยังต้องก้มหัวอย่างนอบน้อมให้ แล้วเ้าหลินเฟยนับเป็ตัวอะไร!”
“อ้อ?” ในตอนแรกหลินเฟยคิดจะพอแค่นี้ ไม่้าจะต่อปากต่อคำอะไรด้วยอีก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะกล่าวกลับมาเช่นนี้ คราวนี้หลินเฟยเริ่มรู้สึกสนอกสนใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าขึ้นมาเสียแล้ว จึงไม่คิดจะจากไปง่ายๆ เขาหันไปประจันหน้ากับหลี่ฉุนอีกครั้ง โดยไม่สนใจกระบี่ที่ชี้มายังตนเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่หลี่ เมื่อครู่นี้ว่าอย่างไรนะ ข้าได้ยินไม่ชัดเลย…”
“หึหึ…” หลี่ฉุนจ้องหลินเฟยอย่างเอาเป็เอาตายด้วยแววตาจองหอง
“ข้าบอกว่าหลัวเสิ่นเซียว…”
“บังอาจ! ถึงขนาดกล้าเรียกชื่อของผู้าุโออกมาห้วนๆได้!” ทว่ายังพูดไม่ทันขาดคำ ก็ได้มีลำแสงกระบี่สีขาวสายหนึ่งพุ่งลงมา!
-------------------------------------------------------------------------