“เ้าเด็กโง่” ซย่านีพูดอย่างโกรธๆ “ลูกลืมไปแล้วหรือว่าวันนี้พวกเราหาเงินได้กันเท่าไหร่? ด้วยเงินจำนวนนี้ต่อให้ย่าไล่พวกเราออกจากบ้านจริงพวกเราก็มีที่ไปอยู่แล้ว เราไปขออาศัยอยู่ที่บ้านของป้าเซี่ยงเหมยชั่วคราวก่อนก็ได้”
แม้ว่าเซี่ยงเหมยจะกำลังใช้มือในการเย็บผ้าอย่างขะมักเขม้น แต่หูของเธอกลับเงี่ยฟังคำพูดของซย่านีอยู่ตลอดพอได้ยินซย่านีพูดจบ เธอก็หันหน้าไปทางซ่งตงซวี่ทันทีก่อนจะพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว อยู่บ้านป้าก็ได้! หยางหยาง หนูไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่อยู่หรอกนะ ตอนนี้แม่หนูน่ะหาเงินได้แล้ว รอแม่ของหนูหาบ้านดีๆ สักหลัง แม่เขาก็จะพาพวกหนูย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแน่นอน จากนี้ไปหยางหยางก็ไม่ต้องมานั่งกลัวคำพูดของย่าหนูอีกต่อไปแล้ว”
ซ่งตงซวี่ที่น้ำตาไหลอาบแก้ม จู่ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจระคนยินดี เขาหันไปถามซย่านี “จริงหรือครับ? เป็เื่จริงใช่ไหมแม่? พวกเราจะย้ายบ้านกันหรือ?”
ซย่านีพยักหน้ารับก่อนจะส่ายหัว “ต้องรอเวลาอีกสักพัก รอแม่เจอบ้านดีๆ สักหลังก่อนพวกเราค่อยย้าย...” หลังจากพูดจบ ซย่านีก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่ออีกว่า “ลูกต้องเก็บเื่นี้ไว้เป็ความลับนะ ห้ามบอกใครเด็ดขาด”
ซ่งตงซวี่รับคำเสียงชัดแจ๋ว “เข้าใจแล้ว!” เขากล่าวต่อ “วันนี้ย่าถามผมด้วยครับว่าแม่ไปไหน ผมก็ตอบว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
ซย่านียิ้มพร้อมกับเขี่ยจมูกซ่งตงซวี่ไปที “ฉลาดจริงๆ!”
จู่ๆ ซ่งวั่งซูก็เดินเข้ามาแล้วถามขึ้น “กับพ่อก็ห้ามบอกหรือคะ?”
ซย่านีตกตะลึงไปชั่วขณะ เธอลืมไปว่ายังมีคนคนนี้อยู่ด้วย
เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายหน้า “อย่าเพิ่งบอกพ่อของลูกเลย เดี๋ยวเื่นี้แม่จะคุยกับพ่อเขาเอง”
ซ่งวั่งซูส่งเสียง ‘อ่อ’ หนึ่งทีแล้วจึงรับคำ “เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ”
“หยางหยาง ลูกโดนย่าตีตรงไหน? เจ็บมากไหมลูก?” ซย่านีเป็ห่วงลูกชายต่อ
ซ่งตงซวี่ส่ายหน้า “ย่าตีก้นผมแต่ผมสวมเสื้อผ้าหนาก็เลยไม่เจ็บครับ”
ซย่านีถอนหายใจหนึ่งที หากเช่นนั้นซ่งตงซวี่ก็น่าจะไม่ได้รับาเ็ใดๆ
“แต่ว่า...” ซ่งตงซวี่พูดต่อ “ย่าให้ผมขอโทษญาติผู้พี่ ก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอมาขวางทางผมก่อน ผมไม่ได้ตั้งใจผลักเธอซะหน่อย!”
“งั้นลูกได้ขอโทษไหม?”
ซ่งตงซวี่พยักหน้า “ขอโทษแล้วครับ”
ซย่ายีกลืนน้ำลายเล็กน้อยก่อนจะเลียริมฝีปากที่แห้งผาก “…ไม่ใช่ความผิดของลูกสักหน่อยทำไมลูกต้องขอโทษเธอด้วย”
ซ่งตงซวี่มองตามหลักเหตุและผลเขาตอบผู้เป็แม่ว่า “ถ้าผมไม่รีบพูดขอโทษย่าก็จะตีผมต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าผมจะขอโทษเธอ แต่ตอนนั้นผมจะรีบเอาการบ้านมาทำต่อที่บ้านป้าเซี่ยงเหมยน่ะสิครับ”
ทันใดนั้นซย่านีก็เหมือนจะเจอเหตุผลที่ลูกชายของเธอรีบกล่าวคำขอโทษ แต่การกระทำของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด นั่นเป็เพราะใน่ระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาซ่งตงซวี่ได้เรียนรู้และปรับตัวที่จะอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลซ่งแล้ว
หัวใจของซย่านีพลันจมลงสู่ก้นบึ้ง
“หยางหยาง ถ้าลูกรู้สึกว่าตัวเองไม่ผิดก็ไม่จำเป็ต้องยอมรับผิดหรอกนะ” ซย่านีคุกเข่าลงพร้อมกับสบตาของซ่งตงซวี่ “มีแค่ตอนที่ลูกรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตนเองทำลงไปจริงๆ ลูกค่อยพูดขอโทษและยอมรับความผิด”
ซ่งตงซวี่กะพริบตาปริบๆ “แต่ว่าถ้าผมไม่ขอโทษ ย่าก็จะตีผมนะ”
ซย่านีเอ่ยสอนลูก “ลูกก็วิ่งหนีได้ไม่ใช่หรือไง ย่าอายุมากแล้วถ้าลูกวิ่งหนีเธอล่ะก็ย่าก็ไล่ตามลูกไม่ทันหรอก ลูกหนีมาหาแม่ก็ได้แล้วค่อยเล่าให้แม่ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น หากลูกทำผิดจริงลูกค่อยขอโทษแต่หากแม่รู้สึกว่าลูกไม่ได้ทำผิด เช่นนั้นแล้วลูกก็ไม่ต้องขอโทษใครทั้งนั้น วางใจเถอะ ไม่ต้องไปกลัวย่าหรอกแม่จะคอยหนุนหลังลูกเอง”
ซ่งตงซวี่เอ่ยถาม “แต่ว่า...ถ้าย่าไล่พวกเราออกจากบ้านล่ะครับ?”
ซย่านีลูบหัวซ่งตงซวี่ “แม่เพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือจ๊ะ? ไม่เป็ไรหรอก ถ้าย่าไล่พวกเราออกจากบ้านจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ออกมากันเถอะ”
จู่ๆ ซ่งตงซวี่ก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญขึ้นมา เขามองไปทางซย่านีอย่างพึ่งพาแล้วตอบรับคำ “ครับ”
“เก่งมากลูก” ซย่านียิ้ม จากนั้นเธอก็เลื่อนสายตามองไปบนกระดาษที่เธอวางไว้ข้างตัว ซย่านีเพ่งสายตามองเล็กน้อย จากนั้นในแววตาของเธอก็หม่นลง “ซ่งเสี่ยวสยาฉีกกระดาษการบ้านของลูกแล้วเธอได้ขอโทษลูกไหม?”
ซ่งตงซวี่เริ่มเบะปากอีกครั้ง เมื่อเขาคิดถึงเื่นี้ขึ้นมาเขาก็รู้สึกอัดอั้นเพราะไม่ได้รับความเป็ธรรมอีกแล้ว “ไม่ได้ขอโทษเลย”
ซย่านีดวงตาหม่นแสงลง เธอกล่าวกับลูกว่า “ไม่เป็ไร เดี๋ยวแม่จะทำให้เธอขอโทษลูกเอง” เธอไม่สามารถจัดการกับหวังซิ่วอิงที่เป็ผู้ใหญ่ได้แต่เธอน่าจะจัดการกับซ่งเสี่ยวสยาที่เป็เด็กได้ล่ะมั้ง?
“จะทำยังไงดีครับ” ซ่งตงซวี่เอ่ยถาม “ตอนนี้กระดาษการบ้านของผมขาดหมดแล้ว ทีนี้ผมจะทำการบ้านได้ยังไงละ?”
เขาแอบคิดว่าตอนนี้กระดาษการบ้านก็ถูกฉีกขาดไปแล้ว เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องทำการบ้านแล้วใช่ไหม? ตอนส่งการบ้านพรุ่งนี้เขาก็จะบอกคุณครูว่าแผ่นการบ้านของเขาถูกญาติผู้พี่ทำขาดได้น่ะสิ!
พอคิดได้แบบนี้แล้ว ก็ถือว่าเป็เื่ดีสินะ!
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้สำราญใจ ซ่งตงซวี่ก็ได้ยินซย่านีกล่าวว่า “ก็แค่กระดาษขาดเองไม่ใช่หรือ ลูกแค่คัดลอกอีกฉบับก็ได้แล้วนี่”
ซ่งตงซวี่ตัวแข็งทื่อคงไม่ได้จะให้เขาคัดใหม่ทั้งหมดหรอกนะ? บนกระดาษการบ้านมีตัวหนังสือตั้งเยอะแยะขนาดนั้น เขาจำได้ไม่หมดหรอก!
ซย่านีกล่าวตามความจริง “รอพ่อของลูกกลับมาแล้วก็ให้พ่อช่วยคัดลอกให้ลูกแล้วกัน” วันนี้เป็วันหยุดสุดสัปดาห์ ปกติแล้วซ่งหานเจียงจะกลับบ้านทุกๆ สุดสัปดาห์
“แบบนั้นก็ได้ครับ” ซ่งตงซวี่ทำหน้ามุ่ย ตราบใดที่เขาไม่ต้องเป็คนคัดเอง ไม่ว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ!
เดิมทีซย่านีวางแผนที่จะทำยางรัดผมอีกนิดหน่อยแล้วค่อยกลับบ้าน แต่เพราะเกิดเื่แบบนี้ขึ้นกับซ่งตงซวี่ เธอเองก็ไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเื่ธุรกิจต่อแล้ว
“พี่สะใภ้เซี่ยงเหมย วันนี้ฉันขอพาลูกๆ กลับบ้านก่อนนะ...”
เซี่ยงเหมยตอบกลับทันควัน “ได้สิ เธอกลับไปเถอะ” เซี่ยงเหมยเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยเตือนซย่านี “เธอก็อย่าไปทะเลาะกับที่บ้านมากเกินไปล่ะ ฉันได้ยินมาจากเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ว่าวันนี้สามีของเธอจะกลับบ้าน หากสามีของเธอเห็นเข้ามันคงจะไม่ดีนัก”
เซี่ยงเหมยไม่รู้ว่าซ่งหานเจียงเป็คนนิสัยแบบไหน แต่เธอรู้ว่าซ่งหานเจียงนั้นมีการศึกษาสูงและหน้าตาดี ผู้ชายแบบนี้จะอยากได้ภรรยาแบบไหนกันนะ? ดังนั้นเธอจึงกังวลว่าหากซย่านีแตกคอกับบ้านสามีแล้ว ซ่งหานเจียงจะโกรธจนถึงขึ้นหย่ากับซย่านี
ทว่าสิ่งที่เซี่ยงเหมยไม่รู้ก็คือซย่านีนั้นไม่ได้กลัวว่าซ่งหานเจียงจะหย่ากับเธอเลย
ซย่านีไม่สนใจว่าซ่งหานเจียงจะคิดอย่างไรกับเื่นี้ แต่ว่าวันนี้เธอต้องให้คำอธิบายกับลูกๆ ของเธอ หากเธอไม่สามารถปกป้องลูกของตนเองได้ เธอยังจะมีคุณสมบัติอะไรในการเป็แม่ของเด็กสามคนนี้เล่า? สำหรับซย่านีแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในการกลับมาเกิดใหม่ครานี้ก็คือลูกทั้งสามคนของเธอ
ซย่านีเก็บนมผงและผ้าอ้อมของซิงซิง จากนั้นก็อุ้มลูกชายคนเล็กพร้อมกับพาซ่งวั่งซูและซ่งตงซวี่กลับบ้านตระกูลซ่ง
ในบ้านไม่มีคนเลยสักคน ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเล็กน้อย ในห้องโถงด้านหลังมีแสงสีเหลืองอันอบอุ่นสะท้อนออกมา กอปรกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข บนปล่องไฟในห้องครัวมีควันลอยโขมงจางๆ ตามมาด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยอบอวลอยู่ในบ้าน ทุกอย่างช่างดูอบอุ่นไปหมดในสายตาของซย่านี
ทว่าซย่านีกับลูกๆ อาศัยอยู่ที่นี่มาได้เกือบสองปีแล้วกลับไม่รู้สึกว่า ครอบครัวของเธอเป็ส่วนหนึ่งของที่นี่เลย
ขณะนั้นเอง ภายในใจของพวกเธอก็ตระหนักได้ว่าบ้านหลังนี้ไม่ใช่ของพวกเธอแม่ลูกอีกต่อไป
ซย่านีพาเด็กๆ กลับเข้าห้อง
ภายในห้องไม่มีแม้แต่ถ่านจุดไฟ ห้องนี้จึงเหมือนกับห้องเก็บน้ำแข็งดีๆ นี่เอง อุณหภูมิแทบไม่ต่างจากนอกบ้านเลยด้วยซ้ำ
“หนาวไหม?” ซย่านีถามลูกทั้งสองเสียงเบา
เด็กทั้งสองส่ายหน้าโดยพลัน
เพิ่งออกมาจากบ้านของป้าเซี่ยงเหมย ร่างกายจึงยังไม่ค่อยรับรู้ความเย็นเท่าใดนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปความหนาวเย็นก็จะมาเยือนพวกเขาทันที ซย่านีเปิดจุกไม้บนกาต้มน้ำร้อนแล้วทดสอบอุณหภูมิด้วยหลังมือ
กาต้มน้ำร้อนเก็บความร้อนได้ค่อนข้างดีมาก น้ำนี้ต้มไว้ั้แ่เมื่อวานแต่วันนี้ยังมีความร้อนหลงเหลืออยู่
“เดี๋ยวแม่เติมน้ำร้อนใส่กระติกน้ำให้ลูกๆ แล้วกัน” ซย่านีกล่าว
กระติกน้ำร้อนที่ว่าก็คือขวดแก้วเหลือทิ้งซึ่งถูกคัดทิ้งมาจากโรงพยาบาล ซย่านีเก็บกลับมาทำความสะอาดแล้วใช้เป็ขวดน้ำร้อน หลังจากเติมน้ำลงไปแล้วก็คว่ำปากขวดลงเพื่อให้มั่นใจว่าน้ำไม่รั่วซึมออกมาแล้วค่อยส่งให้ซ่งวั่งซูก่อน
“ระวัง อย่าให้ลวกมือนะ” ซย่านีเอ่ยเตือน “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ ลูกดูซิงซิงไว้นะ เดี๋ยวแม่จะพาหยางหยางไปหาย่ากับญาติผู้พี่ของลูกที่ห้องโถงหลักสักหน่อย”
ซ่งวั่งซูพยักหน้ารับ “ได้ค่ะ”
ซย่านีเอ่ยเตือนซ่งตงซวี่อีกครั้ง “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นลูกไม่ต้องกลัวนะ แม่แค่แกล้งทำไปเท่านั้นเอง”
ซ่งตงซวี่มีสีหน้าสับสน ราวกับว่าเขาฟังคำที่ซย่านีบอกว่า ‘แม่แค่แกล้งทำไปเท่านั้นเอง’ ไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยังพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบรับ “เข้าใจแล้วครับ”
