“เธออยากไปดูลาดเลาว่าที่ไหน้าปลาไหลจำนวนมากหรือ?”
ยุ่งวุ่นวายอยู่พักใหญ่เซี่ยเสี่ยวหลานร้อนเสียจนใบหน้าขาวขึ้นสีแดงราวกับลูกท้อสีชมพูซึ่งมีเสน่ห์จับใจเหลือเกิน โจวเฉิงมองเธอไม่ว่าตรงไหนล้วนสบายตาแต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ชอบที่เขาเปิดเผยเกินไป เขาจึงต้องเบนสายตาออกสักหน่อยอย่างเสียไม่ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า
“ไม่ใช่แค่ปลาไหลเท่านั้นหรอก อันที่จริงในชนบทมีของดีอยู่ไม่น้อยลองถามดูหน่อยคงไม่ได้ยุ่งยาก บางทีอาจจะพบลู่ทางใหม่ๆ ก็ได้นะ?”
เกษตรกรเก็บเงินอะไรไม่ได้มากเพราะว่าราคารับซื้อสินค้าเกษตรต่ำมากมาโดยตลอด
หลังร่วมกันขายให้รัฐแล้ว ก็จะจัดแบ่งสัดส่วนให้แก่เมืองใหญ่ก่อนคนซื้อของไม่มีเงินเท่าไร เมืองที่ได้ส่วนแบ่งสินค้าไปไม่พอ แม้คนมีเงินก็ซื้อของได้ไม่ง่ายเลยพนักงานในเมืองใช่ว่าจะร่ำรวยกันหมด แต่กระนั้นการรับประทานอาหารฟุ่มเฟือยบ้างทุกเดือนยังถือว่าพอไหวเซี่ยเสี่ยวหลานจึงจะค้นหาโอกาสทางการค้าที่เกิดจากข้อมูลทางผู้ซื้อกับผู้ขายไม่สัมพันธ์กัน
โจวเฉิงเห็นเธอดูดีใจ ตนเองก็พลอยดีใจไปด้วย
ต่อให้ต้องทนแดดเสือใบไม้ร่วง [1] ที่แสนสาหัส แต่โจวเฉิงกลับไม่รู้สึกอ่อนล้าแม้แต่นิด
แต่ธุรกิจของเซี่ยเสี่ยวหลานก็มิใช่ราบรื่น แม้จะหาร้านบะหมี่ได้จำนวนหนึ่งทว่าพวกเขาล้วนไม่ค่อยสนใจในการซื้อปลาไหลอย่างสม่ำเสมอเท่าไรนักนอกจากเซี่ยเสี่ยวหลานแล้ว เดิมทีก็มีคนเสนอจัดหาปลาไหลให้กับพวกเขาของแบบนี้จับไม่ได้ในซางตู เกษตรกรรอบนอกจึงเข้าเมืองมาขายกันเซี่ยเสี่ยวหลานอยากรวบรวมตลาดจัดซื้อนี้เอาไว้ก็ต้องเบียดเ้าอื่นออกไปก่อน...สองกำปั้นเอาชนะสี่มือได้ยาก [2] อยู่ดีหญิงสาวตัวคนเดียวอย่างเธอไม่ระห่ำเหมือนโจวเฉิงและคังเหว่ยเสียด้วยจะใช้กำลังแก้ปัญหาได้อย่างไรกัน?
อาศัยราคาต่ำก็ยิ่งไม่ได้เลย
กดราคาซี้ซั้วก่อกวนระเบียบของตลาดคือการหาความยุ่งยากให้กับตัวเองโดยแท้จริง
ที่คนอื่นเขาขายปลีกกันมากกว่าครึ่งล้วนแล้วแต่จับมาเองแค่ต้องใช้เวลาและแรงกายสักหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเงินทองเป็ต้นทุนแต่ปลาไหลของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นได้จากการรับซื้อมา เธอได้เงินที่เป็กำไรจากส่วนต่างของราคายิ่งกดราคาต่ำเท่าไร กำไรของเธอก็ยิ่งน้อยเท่านั้น
ทำได้แค่ขายปลีกจริงๆ หรือ?
หรือต้องขายให้ร้านอาหารของรัฐ?
แต่พอห้อยเกียรติคุณห้อยท้ายเอาไว้ว่าเป็ ‘ของรัฐ’ แล้วคนของร้านล้วนมองลูกค้าด้วยความเย่อหยิ่ง และคงไม่เปิดไฟเขียวให้เซี่ยเสี่ยวหลานเพียงเพราะว่าเธอหน้าตาดีหรอกโจวเฉิงเห็นเธอกังวล อยากพูดเหลือเกินว่าเธอเลิกทำเสียยังดีกว่าแค่ให้คังเหว่ยนำสินค้าติดมือจากทางใต้มายังเขตอันชิ่งทุกครึ่งเดือน ยังได้กำไรดีกว่าเธอขายปลาไหลเสียอีก
“ธุรกิจนี้เธอยังทำได้อีกสองเดือนนี่? พอถึงเดือนพฤศจิกายนจะจับปลาไหลไม่ค่อยได้แล้ว เธอเองก็ไม่ใช่ว่าจะทำธุรกิจนี้ตลอดไปสักหน่อยคิดเยอะขนาดนั้นทำไมเล่า เก็บเงินต้นทุนเพียงพอเมื่อไรค่อยวานคังเหว่ยนำเสื้อผ้าเล็กๆ น้อยๆ มาเป็ต้นทุนให้เธอขาย”
เซี่ยเสี่ยวหลานถามกลับด้วยความสงสัย “พี่รู้ได้อย่างไรว่าฉันจะขายเสื้อผ้า?”
โจวเฉิงหัวเราะในทันที “เมื่อครู่ตอนเธออยู่ในตลาดสินค้าเกษตรน่ะ สายตาจ้องเ้าของแผงไม่กะพริบเลยอยากเขาไปคว้าเขาออกมาแล้วทำเองสินะ? ขายเสื้อผ้าเป็ธุรกิจที่ดีทีเดียว เสื้อผ้าจากหยางเฉิงราคาถูกด้วย”
โจวเฉิงยังมีวาจาที่ยังไม่ได้กล่าวอีก เซี่ยเสี่ยวหลานมองเ้าของแผงตาไม่กะพริบไม่แน่คนคนนั้นอาจจะเข้าใจผิดว่าเซี่ยเสี่ยวหลานสนใจตัวเองอยู่ดังนั้นเขาถึงจงใจบอกกับผู้อื่นว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเป็คนรักของเขา คนที่หน้าตาดีเกินไปก็ไม่ดีเดือดร้อนจนไปถึงไหน เขาต้องตามไปปกป้องถึงนั่น!
ให้คังเหว่ยนำเสื้อผ้ากลับมา?
เซี่ยเสี่ยวหลานส่ายหน้า
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากเอาเปรียบแม้แต่น้อยหรอกแต่เธอไม่เชื่อมั่นในรสนิยมของชายแท้อย่างคังเหว่ยมากกว่า
เื่เสื้อผ้าต้องให้เธอไปหยางเฉิงเพื่อเลือกเฟ้นด้วยตนเองรถไฟจากซางตูไปหยางเฉิงนั้นพอมีอยู่บ้าง ไม่มีอะไรเสียหายเกินไปกว่าสภาพแย่และใช้เวลานานนิดหน่อยเท่านั้นโจวเฉิงรู้ดีว่าเธอยืนหยัดในความคิดของตน จึงไม่ออกความคิดเห็นอื่นใดต่อไปอีกบอกว่าจะไปร้านอาหารเพื่อกินข้าวอีกแล้ว ครานี้เซี่ยเสี่ยวหลานยืนยันไม่ยอมแล้วเธอพยายามทำตัวสบายให้มากที่สุดในสภาพที่มีขีดจำกัดแต่เข้าร้านอาหารทุกมื้อมันเลยข้อจำกัดในตอนนี้ของเธอไปแล้ว
แม้มากกว่าครึ่งนั้นเป็โจวเฉิงที่จ่ายเงินแล้วเื่อะไรที่เธอจะใช้เงินของโจวเฉิงอย่างสบายใจกัน?
โจวเฉิงไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงซื้อซาลาเปาจำนวนหนึ่งตามไปเท่านั้น
ขณะทั้งสองกำลังจะกลับ เซี่ยเสี่ยวหลานก็ได้แวะไปวนในตลาดสินค้าเกษตรอีกหนแผงขายเนื้อสัตว์ยังมีซี่โครงที่ขายไม่หมดอยู่ เดี๋ยวนี้ผู้คนชอบกินเนื้อติดมันเนื้อไร้มันมักถูกเลือกอย่างจุกจิก เนื้อติดกระดูกก็ยิ่งไม่คุ้มค่าเข้าไปใหญ่ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานชอบ จึงซื้อซี่โครงสองชั่งที่เหลืออยู่บนแผงเนื้อไปทั้งหมดเลย
โจวเฉิงรู้ว่าตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานอาศัยที่บ้านของลุงไม่เช่นนั้นเขาคงหน้าด้านขอลองชิมอาหารที่เซี่ยเสี่ยวหลานทำเองเสียหน่อยแล้ว
คิดๆ ไปก็ช่างเถอะ เธอขาวใสนุ่มนิ่มไม่เหมาะการรมควันอยู่กับไฟอีกหน่อยก็จ้างแม่บ้านสักคนไว้ช่วยทำอาหารแล้วกัน
พวกเถ้าแก่ใหญ่ทางใต้นั้นล้วนจ้างแม่บ้านกันหมดเหล่าข้าราชการาุโในปักกิ่งก็มีพนักงานดูแลบ้าน แล้วทำไมโจวเฉิงจะจ้างไม่ได้เล่า? เพียงแต่คนผู้นี้ยังไม่เคยแม้แต่จะจับจูงมือของเซี่ยเสี่ยวหลานด้วยซ้ำรู้จักกันวันที่สามก็คิดไปถึงเื่ราวหลักแต่งงานเสียแล้ว
ผู้นำ [3] กล่าวไว้ว่าความรักที่ไม่ยึดถือการแต่งงานไว้เป็เป้าหมายคือการกลั่นแกล้ง[4] โจวเฉิงถูกใจเซี่ยเสี่ยวหลาน อยากใช้ชีวิตกับเธอย่อมคิดถึงการแต่งงานเป็ธรรมดา
ตอนขากลับโจวเฉิงนำตะกร้าที่อยู่ด้านหลังมาซ้อนกันแล้ววางไว้ฝั่งเดียวในที่สุดเซี่ยเสี่ยวหลานจึงนั่งซ้อนท้ายโดยไม่ต้องงอขา เมื่อเธอได้นั่งอย่างมั่นคงแล้วโอกาสที่มือจะจับเอวของโจวเฉิงก็น้อยลงสิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอ้างว้างมาก
เป็เพราะใจอ่อนเหลือแสน ทนไม่ได้ที่จะให้เซี่ยเสี่ยวหลานคดขาจนนั่งไม่สบายตัวทำให้เขาไร้สิ่งใดให้เอาเปรียบบ้าง
เมื่อทั้งสองคนมาถึงเขตอันชิ่ง เวลายังไม่ดึกมากโจวเฉิงจะไปส่งเซี่ยเสี่ยวหลานที่หมู่บ้านชีจิ่ง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่เห็นด้วย
“พี่เองก็ไม่มีรถ ส่งฉันกลับแล้วต้องเดินกลับเข้าตัวเมืองแบบนี้ไม่สะดวกเกินไปแล้ว”
โจวเฉิงคิดในใจว่าเขาไม่รังเกียจความยุ่งยากหรอกเขาคาดหวังให้ฟ้ามืดเกินจนต้องพักอาศัยที่หมู่บ้านชีจิ่งด้วยซ้ำแต่เยี่ยมเยือนบ้านผู้อื่นมือเปล่าไม่ใช่วิถีของเขาใจก็ยังกังวลถึงเื่ทางคังเหว่ยโจวเฉิงจึงตักเตือนเซี่ยเสี่ยวหลานให้ระวังตัวอยู่หลายรอบถึงยอมปล่อยเธอจากไป
เซี่ยเสี่ยวหลานขี่จักรยานไปไกลสิบกว่าเมตรได้แล้วโจวเฉิงก็นึกขึ้นได้ “พรุ่งนี้เธอยังจะไปซางตูหรือไม่?”
“ไม่แล้ว พรุ่งนี้อย่างมากก็ไปแค่เขตอันชิ่งจะไปรับซื้อของที่หมู่บ้านอื่นน่ะ”
โจวเฉิงรู้อยู่แก่ใจดี
พอกลับถึงที่พัก คังเหว่ยกำลังนั่งยองๆ ข้างรถพลางสูบบุหรี่ข้างตัวเขามีผู้ชายคนหนึ่งนอนคุดคู้อยู่ หน้าตายับเยินเหตุเพราะถูกคังเหว่ยจัดการเสียจนยอมจำนนแต่โดยดี
คนคนนี้ก็คือจางเสเพลจากหมู่บ้านสือพัวจื่อ
ปกติเขาเป็พวกเกเรในหมู่บ้าน โดยหลักการไม่น่ายอมแพ้ได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
ทว่าคังเหว่ยไม่เพียงหมัดหนัก ทั้งยังนำปากกระบอกปืนดำขลับจ่อที่หัวของเขาอีกจางเสเพลแทบปัสสาวะราดกางเกง ่นี้เ้าหน้าที่กำลังปราบปรามอย่างหนักวันสองวันนี้บรรยากาศในตัวเมืองยิ่งเข้มงวดจางเสเพลยังคิดว่าตนเคยไปทำอะไรผิดกฎหมายมาหรือไม่ จึงถูกเ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับเข้าแล้วผลกลายเป็คังเหว่ยพาเขากลับเข้าตัวเมืองโดยไม่ได้มุ่งไปยังสถานีตำรวจและมาที่บ้านพักแทน
จางเสเพลยิ่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่สุข
“พี่เฉิงจื่อ พี่กลับมาแล้วหรือ? ไอ้ขี้ขลาดกลัวจนฉี่ราดกลิ่นคลุ้งทำเอาผมจะตายอยู่แล้ว”
ไม่แปลกใจที่คังเหว่ยอยู่ห่างจากจางเสเพลหลายเมตร
“พามันกลับห้องไป พวกนายมายืนอยู่ในลานที่พัก หากคนเห็นย่อมไม่เกิดผลดีแน่”
อย่างไรเสียพวกเขาก็มิใช่คนอันชิ่ง ัข่มงูเ้าถิ่นไมได้ [5] โจวเฉิงไม่อยากทำอะไรอึกทึกครึกโครม ในเมื่อคังเหว่ยพาคนกลับมาแล้วต้องมีเหตุผลของตนเองเป็แน่ ทำไมชื่อเสียงของเซี่ยเสี่ยวหลานถึงได้ป่นปี้ยับเยินบางทีปริศนานี้อาจแก้ได้ด้วยจางเสเพล
แววตาของโจวเฉิงมืดมนไม่น้อย
จางเสเพลแค่นึกว่าคังเหว่ยนั้นร้ายกาจแต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองได้สะกิดดาวหางมรณะ [6] ที่แท้จริงเข้าให้แล้ว
เชิงอรรถ
[1]秋老虎 เสือใบไม้ร่วงหมายถึง อาการร้อนจัดหลังจากผ่านจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ร่วงไปแล้ว
[2]双拳难敌四手 สองกำปั้นเอาชนะสี่มือได้ยากเดิมทีมาจาก ฝีมือดีเอาชนะสองกำปั้นได้ยาก หมายถึง แม้ฝีมือดีแค่ไหนแต่ถ้ากำลังคนน้อย ก็ยากที่จะเอาชนะได้
[3]主席 ผู้นำ หมายถึงผู้นำสูงสุดหรือผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศจีนในเนื้อความหมายถึงเหมาเจ๋อตุง
[4]不以结婚为目的都是耍流氓 ความรักที่ไม่ยึดถือการแต่งงานไว้เป็เป้าหมายคือการกลั่นแกล้งเป็คำพูดที่เหมาเจ๋อตุงเคยกล่าวไว้ เชื่อกันว่ามีที่มาจากคำพูดของเชคสเปียร์หมายถึง เมื่อมีความรักควรจริงจังต่ออีกฝ่าย ไม่ทำให้เป็เื่ล้อเล่นมิเช่นนั้นก็ถือเป็การกลั่นแกล้งกัน
[5]强龙不压地头蛇 ัข่มงูเ้าถิ่นไม่ได้ หมายถึงแม้เป็ผู้มีพละกำลังหรือความสามารถแข็งแกร่ง แต่ก็สู้อิทธิพลท้องถิ่นไม่ได้
[6]煞星 ดาวหางมรณะหมายถึง ดาวหางที่ผู้คนเชื่อว่านำภัยพิบัติมาให้