เล่มที่ 10 บทที่ 291 ป้ายสุสานที่ว่างเปล่า
สองมือของผู้าุโประคองโคมเขียวเอาไว้ ขณะที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ ราวกับกำลังเดินทอดน่องชมทิวทัศน์ก็ว่าได้…
ทว่าทุกครั้งที่ก้าวเดิน บันไดหินที่เหยียบย่ำไปก็จะพังทลาย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็ความเขียวชอุ่มงอกเงยขึ้นทดแทน…
และการเปลี่ยนแปลงนี้เอง ก็แพร่กระจายจากยอดเขาลงสู่เชิงเขาเป็วงกว้าง เพียงครู่เดียวรอบด้านที่ดูน่าสะพรึงกลัวราวกับนรกอเวจีก็พลันกลายเป็เขียวชอุ่ม ดูร่มรื่น ดูมีชีวิตชีวาเป็อย่างมาก
หลังจากผู้าุโชื่อิก้าวขึ้นสู่บันไดขั้นที่สิบแปดแล้ว ขั้นบันไดด้านล่างก็สลายหายไปจนหมด บัดนี้ทั่วทั้งหุบเขาก็มีสภาพเหมือนกับตอนแรกเริ่มไม่มีผิด…
ผู้าุโชื่อิยืนอยู่หน้าโลงศพหิน ก่อนจะยกโคมเขียวขึ้นช้าๆ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความนอบน้อม หลังจากคารวะสามครั้งแล้ว เขาก็เอ่ยน้อมส่งผู้าุโกลับคืนบัลลังก์ไป จากนั้นโคมเขียวก็สลายกลายเป็ลำแสงสีเขียวพุ่งทะยานไปทางโลงศพหิน…
ทันใดนั้นลำแสงสีเขียวแสนเจิดจ้าและร้อนแรงดั่งดวงตะวันก็สาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณ ทุกจุดที่ลำแสงพาดผ่านไปก็แปรเปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็หลังมือเลยทีเดียว…
เพราะครั้งนี้ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะบริเวณหุบเขาเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนแปลงไปทั่วทั้งเวิ้งอันรกร้างอีกด้วย!
จากนั้นเวิ้งอันรกร้างก็กลับตาลปัตร จู่ๆก็มีคลื่นน้ำมหาศาลปรากฏขึ้นกลางอากาศ คลื่นน้ำพากันกลั่นตัวเป็เมฆดำหนาทึบ เพียงครู่เดียวก็มีเสียงฟ้าร้องกัมปนาทดังขึ้น บัดนี้ท้องฟ้าก็ราวกับมีรูขนาดใหญ่โผล่ขึ้น เพียงครู่เดียวก็มีน้ำทะเลสีดำจำนวนมหาศาลสาดเทลงมา…
เพียงครู่เดียวสายน้ำที่สาดเทลงมาก็หยุดนิ่งลง แต่เมื่อกวาดตามองดูอีกครั้ง ก็พบว่าบัดนี้ที่นอกหุบเขาได้มีทะเลอสูรอันกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งแล้ว…
ภายในคลื่นน้ำสีดำก็มีมือของอสุรกายจำนวนมากปรากฏขึ้นเลือนราง ทะเลอสูรกว้างใหญ่มากกระทั่งถึงสุดขอบฟ้าเลยก็ว่าได้
และหุบเขาแห่งนี้ก็กลายสภาพเป็เกาะใจกลางทะเลอสูรทันที…
“โฮก…”
และในเวลานี้เอง ก็มีเสียงคำรามกึกก้องดังมาจากส่วนลึกของทะเลอสูร น้ำทะเลปั่นพลันป่วนราวกับน้ำเดือด คลื่นน้ำจำนวนมากพากันโหมซัดเข้ามา ไม่นานก็มีมืออสูรขนาดนับหมื่นจ้างกำลังจ้วงขึ้นมา โดยหมายจะพุ่งไปยังโคมเขียวที่อยู่บนยอดเขา…
าาอสุรกายกุ่ยตี้ถึงกับต้องลงมือเองเลยทีเดียว…
จากนั้นเหล่าผู้บำเพ็ญจิงตันที่อยู่บนเขาต่างก็หน้าเผือดสีลง ทว่าขณะที่ทุกคนยังคงไม่ได้สติ ก็มีมือั์สีเืลอยออกมาจากโลงศพหิน ก่อนจะพุ่งชนเข้ากับมืออสูรอย่างรุนแรง…
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงะเิดังสนั่นขึ้น ก่อนจะมีแรงอัดกระแทกสาดกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง จากนั้นผาหินก็พากันถล่มลงมา ทั่วทั้งหุบเขาก็พลันสั่นะเื พืชนานาพันธุ์ที่เพิ่งถือกำเนิดก็ถูกแรงอัดกระแทกทำลายจนวอดวายไปกว่าครึ่ง…
สุดท้ายมืออสูรที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวก็หดถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจนัก…
บัดนี้ลำแสงโคมเขียวก็สว่างโชติ่ขึ้นกว่าเดิมอีก!
หากพูดว่าลำแสงโคมเขียวก่อนหน้าเป็เหมือนดวงจันทร์ละก็ บัดนี้ลำแสงเขียวก็ลุกโชติ่ราวกับดวงตะวันอันร้อนแรงเลยทีเดียว ลำแสงนั้นสุกสว่างเจิดจ้า และสาดส่องไปทั่วทุกที่ราวกับถูกย้อมไปด้วยแสงสีเขียว…
“มันกำลังจะออกมาแล้ว!” ผู้าุโชื่อิถึงกับหน้าเปลี่ยนสีทันที ก่อนจะวาดไม้เท้าไผ่ในมือ จากนั้นไออสูรเข้มข้นก็เกิดปั่นป่วนขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็พบว่าที่ท้องฟ้าเหนือยอดเขาได้แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น ผู้าุโชื่อิก็เคาะไม้เท้าไผ่ลงบนฝาโลงอย่างเต็มแรง…
“ตู้ม!”
เมื่อสิ้นเสียงกระแทก ฝาโลงที่กำลังจะเปิดออกในตอนแรกก็ถูกกดทับจนปิดกลับเข้าไปทันที…
ทว่าพริบตาถัดมา ทุกคนก็เห็นลำแสงสีแดงอันเจิดจ้ากำลังแทรกซึมออกมาจากรอยแยกของโลง ดูงดงามและลึกลับในเวลาเดียวกัน แม้แต่แสงสีเขียวดุจดวงตะวันก็ราวกับถูกลำแสงสีเืนี้บดบังจนมิด…
และที่น่าหวาดกลัวกว่านั้นก็คือ…
มีเสียงคำรามดังออกมาจากโลงศพหินเป็ระยะ คล้ายกับเสียงของสัตว์ร้ายาบางอย่าง ที่กำลังตื่นขึ้นจากการหลับใหล เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้าุโชื่อิก็หน้าถอดสีลง และรีบโคจรพลังเพื่อบงการไออสูรเข้ากดข่มโลงศพหินไว้ทันที แต่น่าเสียดายเพราะสิ่งที่อยู่ในโลงนั้น ถือว่าเป็สิ่งชั่วร้ายยุคา แล้วมีหรือที่จะถูกผู้าุโชื่อิจะสามารถกดข่มไว้ได้?
พริบตาถัดมาก็มีเสียงกระแทกรุนแรงดังขึ้น เหมือนกับมีบางอย่างกำลังกระแทกฝาโลงอย่างรุนแรง…
“พรืด!”
ผู้าุโชื่อิถึงกับกระอักเืออกมา…
ทว่าสองมือที่กุมไม้เท้าไผ่ยังคงกดทับฝาโลงเอาไว้อย่างสุดแรงเกิด
“ศิษย์น้องหลงเซี้ยง ศิษย์น้องชื่อเสีย มันกำลังจะพุ่งออกมาแล้ว!”
เมื่อผู้าุโทั้งสองเห็นดังนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังเกิดเื่ขึ้นแล้ว คนหนึ่งเริ่มโคจรพลังสำแดงตนให้เป็ัคชสาร ส่วนอีกคนก็สำแดงตนเป็ลำแสงกระบี่ยาวนับหมื่นจ้าง บัดนี้ผู้บำเพ็ญจิงตันเก้าโคจรทั้งสองได้สำแดงร่างจริงออกมาแล้ว สุดท้ายจึงสามารถกดข่มฝาโลงที่พร้อมจะเปิดออกได้ทุกเมื่อเอาไว้ได้…
และในขณะเดียวกัน…
หลินเฟยที่ถูกมือั์สีเืฉุดดึงเข้ามาในโลงก็กำลังนอนแน่นิ่งอยู่ภายในสุสานแห่งหนึ่ง…
“ที่นี่มันที่ไหนกัน…” ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว เมื่อหลินเฟยได้สติขึ้นมา เขาก็กวาดตาสำรวจรอบๆตัว จากนั้นก็พบว่ารอบตัวของเขามีสภาพคล้ายกับพิภพสีเืก็ว่าได้ ท้องฟ้ากลายเป็สีหม่นแดงดูแล้วน่าอึดอัดมากทีเดียว เหมือนกับคราบเืที่แห้งกรังกำลังปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้า ส่วนพื้นดินเบื้องล่างที่เหยียบย่ำก็ราวกับถูกย้อมสีด้วยโลหิตสดๆจนแดงฉาน ทุกครั้งที่ก้าวเดินก็จะมีเสียงชื้นแฉะดังเป็ระยะ…
เบื้องหน้าของหลินเฟยเป็สุสานที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา…
มีหลุมศพและป้ายสุสานเป็จำนวนมาก…
เมื่อกวาดตามองไป ก็ไม่อาจเห็นว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด
ยิ่งเดินหน้าต่อไป หลินเฟยก็พบว่าป้ายสุสานล้วนว่างเปล่า ไม่มีอักษรใดๆเลยแม้แต่น้อย…
ในตอนแรกยังคิดว่าเพราะผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน จนทำให้อักษรบนป้ายสุสานหินเลือนรางลง แต่เพียงครู่เดียวหลินเฟยก็เข้าใจได้ทันที เพราะหากเลือนรางตามกาลเวลาจริงๆละก็ ป้ายศิลาหินจะต้องไม่มีสภาพราบเรียบเช่นนี้เป็แน่…
ดูท่าตอนที่ตั้งป้ายสุสานก็คงจะเป็ป้ายเปล่าอยู่แล้ว
“เพราะอะไรกันล่ะ?”
หลินเฟยครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ เขาทำได้เพียงมุ่งหน้าเดินต่อเข้าไปในส่วนลึกของสุสาน บัดนี้รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบสงัด มีเพียงป้ายสุสานหินที่ว่างเปล่ามากมายเท่านั้น ดูแล้วราวกับภาพวาดอันสงบนิ่งและเต็มไปด้วยความลี้ลับ…
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วเหมือนกัน จู่ๆหลินเฟยก็ได้ยินเสียงปริศนาแว่วมา…
“มีคนอยู่งั้นหรือ?” หลินเฟยใจกระตุกทันที ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าไปยังต้นเสียง…
จากนั้นก็เห็นเงาของคนสองคน
แถมยังเป็คนที่เขารู้จักอีกด้วย…
“พวกเ้าเองหรือ?” หลินเฟยชะงักค้างอยู่กับที่ เงานั้นคือหวังจิ่งกับจงหยาง!
หลินเฟยคิดไม่ถึงจริงๆ…
คิดไม่ถึงว่าจะเจอศิษย์สายตรงของสำนักใหญ่ที่สุสานอันกว้างใหญ่แห่งนี้…
แน่นอนว่าหวังจิ่งกับจงหยางเองก็เช่นกัน ขณะที่เห็นหลินเฟยเขาทั้งคู่ก็ถึงกับตะลึง ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างพร้อมเพรียง
“ทำไมถึงเป็เ้าล่ะ!”
“พวกเ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” หลังจากที่ตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ หลินเฟยก็ขมวดคิ้วแน่นทันที
‘ทำไมทั้งคู่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?’
เพราะการจะเข้าใกล้โลงศพหินที่ลึกลับนั่นได้ จะต้องก้าวผ่านขั้นบันไดหินทั้งสิบแปดขั้นเสียก่อน…
‘ทว่าขั้นบันไดหินทั้งสิบแปดขั้นนั้น นอกจากสามขั้นสุดท้ายแล้ว ทุกขั้นล้วนมียอดฝีมือขั้นจิงตันประจำการอยู่ และการที่หลินเฟยก้าวผ่านขึ้นมาได้ ล้วนเป็เพราะฝึกเคล็ดวิชาหมื่นกระบี่จูเทียน และในเสี้ยวเวลาแห่งความเป็ตายก็ยังสร้างห้วงมิติกระบี่ขึ้นมาด้วย เช่นนั้นเขาจึงสามารถขึ้นมาได้ แล้วหวังจิ่งกับจงหยางขึ้นมาได้อย่างไรกัน?’
“อย่าถามเลย…” คิดไม่ถึงว่าหลังจากได้ยินคำถามของหลินเฟย หวังจิ่งกับจงหย่างก็ยกยิ้มขมขื่นทันที เป็นาน กว่าจะเอ่ยตอบออกมา
“พวกข้าก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็เช่นนี้ ตอนแรกก็แค่จะเปิดโลงศพหินดูเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะบานปลายมาถึงขนาดนี้ได้…”
----------------------------------------------------------------------------------------------------------