อาการป่วยของลุงโจวกำเริบอีกแล้ว เขาเ็ปจนต้องกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น คว้าอะไรได้ก็เอาหัวโขกสิ่งนั้น เกือบจะโขกเข้ากับขาของเจียงชิงอวิ๋นที่ยืนมองเขาอยู่ด้านหน้าแล้ว
นางหลิวร้องไห้สะอึกสะอื้น “ตาแก่ เ้าอย่าทำให้ข้าใ อย่าทำเช่นนี้” จากนั้นจึงหันไปพูดกับเจียงชิงอวิ๋นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “นายท่าน นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน อาการของเขาก็กำเริบอีกแล้ว ตอนแรกไม่ได้เป็เช่นนี้ เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาอาการจะกำเริบสักครั้งหนึ่ง หากเป็เช่นนี้ต่อไปเขาคงทนไม่ไหว ต้องทรมานจนตายเป็แน่”
องครักษ์สองนายเข้ามากดลุงโจวที่กำลังเ็ปจนสูญเสียสติสัมปชัญญะเอาไว้ ลุงฝูกลัวว่าลุงโจวจะทนเจ็บไม่ไหวจนกัดลิ้นฆ่าตัวตายจึงตีเขาให้สลบ
“ลุงโจวอาการกำเริบขณะนอนพักกลางวัน ทรมานจนกลิ้งตกลงมาจากเตียงเชียว”
“อากาศหนาวเย็นยิ่งนัก ลุงโจวอายุเกือบหกสิบแล้ว เขาเ็ปจนกรีดร้องออกมาอย่างทรมาน”
“ได้ยินว่าหลายวันก่อนหน้านี้นายท่านพาลุงโจวไปจวนเยี่ยนอ๋อง ให้หมอมีชื่อเสียงทั่วทั้งเมืองเยี่ยนมาตรวจให้ลุงโจวแล้ว แต่กลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่รักษาอาการของลุงโจวได้”
“นายท่านส่งคนไปเชิญหมอหลวงที่จวนเยี่ยนอ๋องอีกแล้ว”
“นายท่านเปลี่ยนใจแล้ว จะพาลุงโจวไปให้หมอเทวดาน้อยที่หมู่บ้านหลี่รักษา”
ลุงโจวเป็คนดีไม่เคยโหดร้ายทารุณ บ่าวไพร่ในจวนเจียงล้วนเป็ห่วงความปลอดภัยของเขา คอยห่วงใยสังเกตทุกการกระทำเมื่อเขาอาการกำเริบ เจียงชิงอวิ๋นที่ได้ทราบความก็รีบออกหน้าพาเขาไปหาหมอเทวดาน้อยที่หมู่บ้านหลี่ด้วยตนเอง ทั้งยังคอยอธิษฐานในใจ เห็นได้ชัดว่าเจียงชิงอวิ๋นที่ยามปกติเป็คนรักสันโดษและเงียบขรึม ก็เป็เ้านายที่ดีมากคนหนึ่ง
ถนนสายหลักถูกหิมะที่พัดมากับลมตะวันออกเฉียงเหนือแช่แข็ง ถนนที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งทำให้ล้อเกวียนมีสภาพย่ำแย่และทำให้รถม้าช้าลง
ระยะทางสิบกว่าลี้ใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งชั่วยาม จนกระทั่งรถม้ามาถึงหมู่บ้านหลี่ ก็เป็เวลาพลบค่ำแล้ว แต่ละบ้านมีควันพวยพุ่งออกมา คนหมู่บ้านหลี่กำลังเตรียมทำอาหารเย็นกันอยู่
บ้านของหวังเซี่ยจื้ออยู่ใกล้ปากทางหมู่บ้าน ยังคงเป็ครอบครัวเขา ซึ่งก็คือบิดาของหวังเซี่ยจื้อที่พาเจียงชิงอวิ๋นไปยังบ้านหลี่
รถม้าหรูหราดูดีสองคันจอดอยู่นอกกำแพงรั้ว ผู้ร่วมทางคือชายหนุ่มสี่คนที่ควบขี่อยู่บนม้าหนุ่ม
คนแรกที่เดินออกมาจากรถม้าเป็ชายหนุ่มรูปงามสวมอาภรณ์สีดำ
ใบหน้างดงามดุจหยกขาว หน้าผากโหนก คิ้วเข้มคมดุจกระบี่ ดวงตาดั่งดวงดารา ริมฝีปากบางงดงาม ผมดำราวน้ำหมึก มีบุคลิกลักษณะดั่งผู้สูงศักดิ์บริสุทธิ์ เพียงแต่รูปร่างผอมบางเกินไป เบ้าตาลึก ดูคล้ายผู้ป่วยอยู่หลายส่วน
จากนั้นจึงตามมาด้วยชายชราคนหนึ่ง นั่นก็คือลุงฝู ผู้ดูแลแห่งจวนเจียง ส่วนชายหนุ่มข้างต้นก็คือ เจียงชิงอวิ๋น หลานของฉินไท่เฟยแห่งจวนเยี่ยนอ๋อง
บิดาของหวังเซี่ยจื้อแก่แล้วทำให้ดวงตาฝ้าฟางมองรูปโฉมของเจียงชิงอวิ๋นไม่ชัดเจน มิเช่นนั้นคงตื่นตะลึงไปนานแล้ว ว่าบนโลกใบนี้มีชายหนุ่มที่งดงามเพียงนี้ด้วยหรือ
ลุงฝูะโขึ้นว่า “ไม่ทราบว่านี่คือบ้านของหมอเทวดาน้อยใช่หรือไม่”
บิดาของหวังเซี่ยจื้อะโออกไปว่า “หลี่ซาน มีแขกมาหาเ้า ที่บ้านของแขกท่านนี้มีคนป่วยหนัก มาให้หรูอี้รักษา” เมื่อครู่เขาได้ยินคุณชายเซียนท่านนั้นกล่าวว่า มีคนในจวนป่วยจนใกล้ตายแล้ว ทำให้เขาเกิดความสงสาร เื่ดีเช่นนี้จะต้องทำให้ถึงที่สุด เขาจึงช่วยเรียกหลี่ซานออกมา
ไม่ทันไรก็มีคนหลายคนเดินออกมาจากห้องโถงของบ้านหลี่ที่ปิดสนิท ล้วนเป็บุรุษทั้งสิ้น ผู้ที่เดินนำหน้าก็คือ หลี่ซาน ผู้มีร่างกายกำยำ ตามมาด้วยบุตรชายสี่คนและบ่าวชายอีกสามคน พากันเดินเข้ามาเช่นนี้หากผู้ใดไม่ทราบคงคิดว่าจะทะเลาะกัน
ลุงฝูเห็นคนมากมายเพียงนี้ก็คิดในใจว่า บ้านหลี่เป็ตระกูลใหญ่หรือ
เขากล่าวกับหลี่ซานที่เดินนำหน้ามาว่า “คุณชายของบ้านข้าก็คือนายท่านแห่งจวนเจียง ที่อยู่ห่างจากอำเภอฉางผิงไปสามลี้ สอบได้จวี่เหรินแล้ว วันนี้อยากขอให้หมอเทวดาน้อยช่วยตรวจรักษาผู้เฒ่าในจวนสักหน่อย”
เมื่อหลี่ซานและบุตรชายได้ยินว่าเป็จวนเจียงอีกแล้ว จึงค่อยทราบว่านายท่านจวนเจียงยังเป็ชายหนุ่มอายุน้อย ทั้งยังเป็จวี่เหรินอีกด้วย ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ
คราวที่แล้วตอนที่องครักษ์สองคนมาเชิญหรูอี้ พวกเขาไม่ได้กล่าวว่า เจียงชิงอวิ๋นเป็จวี่เหริน บ้านหลี่เพิ่งได้ทราบตอนนี้เอง
จวี่เหรินไม่เหมือนซิ่วไฉ จวี่เหรินสามารถเป็ขุนนางได้ทันที แม้จะเป็ได้มากสุดเพียงนายอำเภอ ซึ่งเป็ขุนนางขั้นเจ็ด แต่ก็นับว่าเข้าสู่แวดวงขุนนางและมีอนาคตแล้ว ส่วนซิ่วไฉมิได้มีเื่ดีเช่นนี้
ในตำบลจินจีไม่มีจวี่เหริน กระทั่งในอำเภอฉางผิงก็มีจวี่เหรินน้อยเพียงนับนิ้วได้
เจียงชิงอวิ๋นเป็จวี่เหรินทั้งยังอายุน้อยเพียงนี้ เห็นเขามีบุคลิกดีงามก็ทราบได้ว่ามาจากตระกูลโด่งดัง ยอดเยี่ยมกว่า จวี่เหรินจากครอบครัวต่ำต้อยมากนัก
เมื่อหลี่ซานทราบถึงฐานะของเจียงชิงอวิ๋นแล้วก็ไม่กล้าล่วงเกินจึงรีบกล่าวไปว่า “ที่แท้เป็นายท่านเจียงจวี่เหรินนี่เอง”
ดวงตาของเจียงชิงอวิ๋นวูบไหว กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “ข้าเจียงชิงอวิ๋น ได้ยินว่าบ้านท่านมีหมอเทวดาน้อยอยู่จึงพาลุงโจวมาให้ช่วยรักษา ขอให้หมอเทวดาน้อยช่วยรักษาด้วยเถิด”
หลี่ซานก็ไม่กล้าชักช้า “นายท่านเจียง เชิญนั่งด้านในก่อนขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นพยักหน้าให้ลุงฝูเล็กน้อย อีกฝ่ายก็รีบวิ่งไปเปิดม่านรถม้าออก พบนางหลิวที่ซูบผอมลงหลายชั่งภายในเวลาไม่กี่วัน ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยน้ำตา เขารีบเรียกนางลงจากรถและให้ชายหนุ่มอีกสองคนมาช่วยอุ้มลุงโจวที่ถูกตีสลบลงมาด้วย
หลี่ฝูคังวิ่งเข้าไปในครัว พอเห็นหลี่หรูอี้ที่กำลังสั่งงานอู่ต้าและอู่เอ้อร์ให้นึ่งซาลาเปาอยู่ก็กล่าวไปว่า “น้องสาว คนจวนเจียงที่มาครั้งที่แล้วส่งคนมาอีกแล้ว คราวนี้นายท่านเจียงมาด้วยตนเองเชียว นายท่านเจียงที่ว่าดูแล้วอายุมากกว่าข้าไม่กี่ปี แต่เป็จวี่เหรินแล้ว”
ใจความสำคัญของคำพูดนี้ก็คือ นายท่านเจียงสอบได้จวี่เหรินั้แ่อายุยังน้อย มิใช่จวนเจียงส่งคนมารักษา
ไม่อาจตำหนิที่เขาตื่นเต้นเพียงนี้ ต้องทราบว่าตำบลจินจีหรือกระทั่งอำเภอฉางผิง ก็มีจวี่เหรินเพียงไม่กี่คน
หากกล่าวถึงจวี่เหริน กระทั่งอำเภอฉางผิงที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเยี่ยนก็ยังตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ อำเภอที่อยู่ห่างออกไปอีกก็ย่อมตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกัน
หากเป็คนจากครอบครัวต่ำต้อยยากจน พวกเขาเรียนหนังสือสิบปี ต้องเรียนให้ดีและต้องมีโชคดีจึงจะสอบได้ซิ่วไฉ หากซิ่วไฉอยากสอบเป็จวี่เหริน เรียกได้ว่าคัดเลือกจากหนึ่งในร้อย ยากเสียยิ่งกว่ายาก
หลี่หรูอี้เห็นแววตาอิจฉาปนเลื่อมใสที่พี่รองของตนมีต่อเจียงชิงอวิ๋นอยู่ในสายตา จึงพูดไปว่า “นายท่านเจียงมาบ้านพวกเราเพื่อให้ข้ารักษาคนป่วยหรือ”
“เขาพาบ่าวเฒ่าในจวนมารักษา ท่านพ่อให้พวกเขาเข้ามารอในห้องโถงแล้ว ให้ข้ามาบอกเ้า”
“ข้าจะไปดู” หลี่หรูอี้ล้างมือเรียบร้อยแล้วเดินไปยังห้องโถง
หลี่ฝูคังชงชาด้วยตนเองแล้วยกไปให้เจียงชิงอวิ๋นดื่ม
องครักษ์สองนายที่เจียงชิงอวิ๋นส่งมาก่อนหน้านี้บรรยายลักษณะของหลี่หรูอี้ให้เขาฟังแล้ว เขาทราบว่าเป็แม่นางน้อยที่แตกต่างจากเด็กหญิงธรรมดาในหมู่บ้าน แต่เมื่อได้เห็นกับตาก็ยังคงรู้สึกอัศจรรย์ใจ
หลี่หรูอี้ตัวไม่สูงนัก รูปร่างผอมบาง มวยผมเป็ทรงเทพธิดา ปักปิ่นสลักลายดอกเหมยเพียงเล่มเดียว นางสวมเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายสีเขียว สวมกระโปรงผ้าฝ้ายสีเทาที่ใช้ด้ายปักเป็ลายดอกเหมยและรองเท้าสีชมพูปักลายดอกไม้
สีเขียวให้อารมณ์กระตือรือร้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดอกเหมยบนชุดกระโปรงและบนปิ่นเข้าคู่กัน ให้ความรู้สึกสง่างามและเงียบสงบ
เดิมทีเป็ชุดผ้าฝ้ายธรรมดา แต่เมื่อหลี่หรูอี้สวมใส่กลับทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของบ้าน
เสื้อผ้าอาภรณ์นับเป็เื่รอง สิ่งสำคัญก็คือ บุคลิกลักษณะของนาง ดวงตากลมโตของหลี่หรูอี้มีสีดำขลับตัดกับสีขาวอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยประกายที่สดใสราวกับจะพูดได้ เวลาเดินนางยังเชิดหน้ายืดอก เห็นได้ชัดว่ามีความมั่นใจในตนเองสูง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นััได้ถึงความใจกว้างและความสง่างามของนาง
หลี่ซานทั้งเคารพและยำเกรงเจียงชิงอวิ๋น เมื่อเข้ามาในห้องโถงแล้วจึงไม่ได้นั่งเอาแต่ยืนอยู่ตลอด เมื่อเห็นบุตรีสุดที่รักมาแล้วก็รีบแนะนำให้นางฟัง “ลูกสาว นี่คือนายท่านเจียงแห่งจวนเจียง นี่ผู้ดูแลฝู นางหลิว และผู้ดูแลโจว คนป่วยคือ ผู้ดูแลโจว เ้าดูหน่อยเถิดว่าเขาป่วยเป็อะไร”
สายตาของหลี่หรูอี้กวาดมองไปบนร่างของเจียงชิงอวิ๋น ผู้ดูแลฝู และนางหลิว นางหยุดมองบนร่างของเจียงชิงอวิ๋นอยู่หลายวินาที จับจ้องตัวเขาและอาภรณ์ที่เขาสวมใส่
เสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ ในโลกเดิมของนางเป็ของหรูหรา ในโลกนี้ยิ่งเป็ของที่มีเพียงตระกูลสูงศักดิ์ที่มีอำนาจอิทธิพลสูงจึงจะมีได้
จวี่เหรินธรรมดาคนหนึ่งไม่อาจมีเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำเช่นนี้ได้เลย
ฐานะของจวี่เหรินหนุ่มผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้