ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเย่เฟิงก็ลงมาข้างล่างคนเดียว โดยสวมเสื้อเชิ้ตลำลองสีดำ
“หว่านเอ๋อร์ เมื่อกี้เธอบอกว่าใครคือสัตว์ร้ายนะ?”
ชายหนุ่มหัวเราะร่า
“เฮอะ นอกจากนายแล้วจะมีใคร”
หลงหว่านเอ๋อร์พูดอย่างไม่สบอารมณ์
“คิดอะไรเนี่ย” เย่เฟิงเดินยิ้มลงบันไดแล้วเข้าไปโอบกอดหลงหว่านเอ๋อร์จากนั้นกระซิบข้างหู “หรือว่าอยากได้แบบนั้นอีกรอบ?”
“อยากได้ที่หัวนายสิ”
ใบหน้าเล็กน่ารักแดงระเรื่อทันที รู้ซึ้งถึงความหน้าไม่อายของเย่เฟิง แต่ถ้าเป็แบบนั้นจริง เธออาจไม่ขัดขืนก็ได้?
หนานฟางมองท่าทางหวานชื่นของทั้งสองคนอยู่ข้างๆ แล้วรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ แม่นางหลงที่สวยหยาดเยิ้มเพียงนี้ ทำไมถึงถูกสัตว์ร้ายอย่างเย่เฟิงทำร้ายได้...
“เมิ่งหานล่ะ?”
หลงหว่านเอ๋อร์ผละจากอ้อมกอดของเย่เฟิงแล้วถามเสียงเบา
“เธอ เอ่อ จะนอนต่ออีกหน่อยน่ะ”
เย่เฟิงโบกมืออย่างไม่อินังขังขอบ
“นายใจร้ายเกินไป ทำจนเธอเพลียเลยใช่ไหม?”
หลงหว่านเอ๋อร์หยิกเอวคนรัก
“เธออย่ากลัวไป คืนนี้ก็ตาเธอแล้ว”
เย่เฟิงหัวเราะชอบใจ
“นายยังไหวจริงเหรอ หรือว่าฉันต้องต้มน้ำแกงบำรุงให้นาย?”
หลงหว่านเอ๋อร์ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่เป็ฝ่ายถูกกระทำ เธอหัวเราะคิกคักแล้วหยอกเย้าเย่เฟิง
“อย่างนั้นก็เยี่ยมไปเลย”
เย่เฟิงก็ชอบผู้หญิงที่เอาใจใส่ แต่ด้วยบุคลิกของหลงหว่านเอ๋อร์ เธอไม่จำเป็ต้องต้มน้ำแกงอะไรทั้งนั้น...
ทุกคนกินอาหารเช้าร่วมกันอย่างอบอุ่น ชูชูยกชามโจ๊กขึ้นไปให้ซูเมิ่งหานที่ยังไม่ลุกจากเตียง โดยอธิบายว่าการไม่กินอาหารเช้าจะทำให้ปวดท้องเป็โรคกระเพาะได้
หนานฟางเข้ามาทักทายแล้วก็ออกไป เขาต้องกลับไปรับ ‘การสั่งสอน’ ของเย่เวิ่นเทียน
“จริงสิ น้าของเธอมีพร์ด้านการรักษาไหม?”
เย่เฟิงมองตามหลังขณะชูชูเดินขึ้นชั้นบนพลางถามหลงหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมกอดตน
“อื้ม เธอเก่งมากเลยแหละ” หลงหว่านเอ๋อร์กล่าวต่อ “แต่ตอนนี้พวกเรามีเคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์แล้วนี่ ไม่ต้องพึ่งการรักษาแบบปกติแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” เย่เฟิงส่ายหน้า “เคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์เป็แค่วิชาเซียนการรักษาขั้นพื้นฐานที่สุด เหมาะกับการรักษาอาการาเ็ทั่วไป ถ้าาเ็ร้ายแรง เช่น แขนหรือขาขาด หรือาเ็อย่างท่านอาจารย์ เคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์ช่วยไม่ได้”
“หมายความว่ายังมีวิชาเซียนการรักษาที่ดีกว่านี้อีก กระทั่งแขนขาขาดก็สามารถต่อคืนได้?”
หลงหว่านเอ๋อร์แปลกใจมาก ในความคิดเธอ ประสิทธิภาพของเคล็ดแสงศักดิ์สิทธิ์ก็สุดยอดมากแล้ว ไม่คิดเลยว่ายังมีอันที่ยอดเยี่ยมกว่านี้อีก
“ใช่แล้ว” เย่เฟิงหยักหน้า “วิชาเซียนการรักษามากมายนั้นจำเป็ต้องมีคนที่มีพร์ด้านการรักษาจึงจะสามารถฝึกฝนได้อย่างราบรื่น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ฉันกับท่านอาจารย์ที่...”
“นายอยากให้คุณน้าฝึกฝนมัน?”
ดวงตาคู่สวยเป็ประกาย เมื่อเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
“อืม แต่เื่การฝึกวิถีเซียน...”
เย่เฟิงลังเลเล็กน้อย ประการแรกต่อให้ชูชูเริ่มฝึกวิถีเซียนแล้ว แต่หากระดับพลังไม่สูงก็ไม่สามารถฝึกฝนวิชาเซียนใดๆ ได้ ประการที่สองการฝึกวิถีเซียนเป็เื่ใหญ่มาก ตอนนี้มีเพียงหลงหว่านเอ๋อร์และซูเมิ่งหานเท่านั้นที่รู้เื่นี้ ถ้ามีคนรู้มากขึ้นและแพร่งพรายเื่นี้ออกไปก็ยากจะจัดการ
ไม่ใช่ว่าเย่เฟิงไม่ไว้ใจชูชู แต่เขากลัวว่าคนอื่นจะมีวิธีการอื่นๆ มาสะกดจิตเช่นกัน อย่างในหลายๆ เหตุการณ์ เช่น ตอนหลับฝันหรือเมื่อเหล้าเข้าปาก ผู้คนก็จะพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
“งั้นก็ช่างมันเถอะ” หลงหว่านเอ๋อร์เห็นความลังเลของเย่เฟิงก็ยิ้มอย่างเข้าใจ “แต่นายเชื่อฉันเหรอ? เผื่อวันไหนนายทำให้ผู้หญิงคนนี้เสียใจล่ะก็ ความลับของนายโดนปล่อยออกไปแน่”
“เธอกล้าเหรอ ถ้างั้นฉันจะกินเธอไม่ให้เหลือแม้แต่กระดูกเลย”
เย่เฟิงหัวเราะเสียงดังแล้วยื่นมือไปบีบใบหน้าน่ารัก ส่วนมืออีกข้างเลื้อยไปวางที่หน้าอกของคนรัก...
“นี่ คิดจะทำอะไรไอ้คนลามก!” หลงหว่านเอ๋อร์ปัดมือปลาหมึกแล้วผละจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย เธอจะไม่ยอมให้เขาเอาเปรียบได้อีก “ฉันจะไปเล่นกับซูเมิ่งหาน”
เย่เฟิงไม่ได้ตามไป เขามองตามแผ่นหลังที่กำลังขึ้นชั้นบน อยู่ๆ ความรู้สึกอบอุ่นก็ไหลบ่าเข้ามาในใจ
ชายหนุ่มมองแหวนสองวงที่อยู่บนมือขวา
วงหนึ่งคือแหวนกระบี่ัโบราณสีเทาเข้ม อีกวงคือแหวนมิติขนาดเล็กสีเงินสว่าง
สำหรับเขา แหวนทั้งสองวงล้วนมีความสำคัญมาก แหวนมิติเป็ตัวแทนของท่านอาจารย์ซูเฟยหยิ่ง และแหวนกระบี่ัโบราณเป็สิ่งที่พลังการบ่มเพาะทั้งหมดของเขาต้องพึ่งพา หากวันใดกลับไปยังโลกเทวะ สิ่งที่เขาจะพึ่งพาได้ก็มีเพียงแหวนกระบี่ัโบราณเท่านั้น
‘น้ำแข็งพันปีเอ๋ยน้ำแข็งพันปี มันต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะฟื้นพลังฟ้าดินได้กันนะ?’
เย่เฟิงใช้จิตหยั่งรู้สำรวจพื้นที่ของแหวนมิติ พลางปลงตกในใจ ตามสถานการณ์ตอนนี้คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือนจึงจะเสร็จสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลานั้น เย่เฟิงก็ควรนำน้ำแข็งพันปีมาแลกเปลี่ยนกับจิติญญาที่อยู่ในนั้น และพยายามได้รับการยอมรับจากมัน
“เย่เฟิง... เย่เฟิง?”
ทันใดนั้นเสียงใสของผู้หญิงก็ดังมาจากนอกประตู
เมื่อเย่เฟิงได้ยินเสียงก็ชะงักไป หลินซือฉิงเหรอ? เธอมาทำอะไรั้แ่เช้ากันเนี่ย
เขาลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูก็เห็นหลินซือฉิงยืนอยู่ เธอสวมเสื้อแขนสั้นผ้าชีฟองลายลูกไม้สีชมพูน่ารักเข้าชุดกับกระโปรงสั้นกำมะหยี่สีดำเรียบหรู เรียวขาขาวที่โผล่พ้นมาสวมถุงน่องสีเนื้อ รูปร่างสมบูรณ์แบบนี้ สามารถใช้คำนิยามว่า ‘เซ็กซี่’ ได้เลยจริงๆ
ห่างออกไปไม่ไกลนัก รถเบนซ์คันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนมาจอดหน้าบ้านเย่เฟิง ชายวัยกลางคนสวมแว่นตาอยู่ในตำแหน่งคนขับอดมองหลินซือฉิงสักหลายทีไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ขับรถออกไปอย่างไม่เต็มใจ
“พี่หลินเข้ามาสิครับ”
เย่เฟิงรับรู้สายตาของชายในรถคนนั้น จึงเชิญหลินซือฉิงเข้าบ้านอย่างไม่คิดอะไรมาก แม้ตนจะไม่คิดอะไรกับผู้หญิงตรงหน้า แต่สาวสวยเพียบพร้อมแบบนี้จะปล่อยให้ถูกชายน่ารังเกียจคนนั้นทำหยาบคายได้อย่างไร?
“อืม ฉันบุ่มบ่ามมาหานายแบบนี้ นายจะไม่ต้อนรับก็คงไม่ได้ใช่ไหม?”
หลินซือฉิงเดินหัวเราะเข้าประตูมาแล้วเอื้อมมือปิดประตู ดูเหมือนเธอก็ไม่ชอบชายที่อยู่ในรถเบนซ์นั่นสักเท่าไร
“พี่มาได้ยังไงครับ?” เย่เฟิงส่ายหัว ก่อนนั่งโซฟาในห้องรับแขก “นั่งก่อนครับ”
หลินซือฉิงเดินไปนั่งโซฟาข้างเย่เฟิงอย่างไม่เกรงใจ ดวงตาคู่สวยมีเสน่ห์เจือรอยยิ้ม “ครั้งนี้ฉันมาขอบคุณนายแทนเสียวฉี่กับเซียวเยว่ ถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ ตอนนี้พวกเธออาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ได้ ความจริงตอนแรกฉันจะให้สองคนนั้นมาด้วยตัวเอง แต่ใครจะรู้ว่าพวกเธอจะอายมากขนาดนี้...”
“เซียวเยว่ก็อายเหมือนกัน?”
เย่เฟิงย้อนนึกถึงฉากในโรงแรมที่เมืองเซี่ยงซานก็รู้สึกขำขึ้นมา แต่เธอก็เป็พี่สาวคนสวยที่ร่าเริงดีน่ะนะ
“โอเค ความจริงคือเธอนอนตื่นสายน่ะ”
หลินซือฉิงเผยใบหน้าจนปัญญาแล้วบอกความจริงในที่สุด
“เอ๊ะ มีแขกมาเหรอ?” ชูชูลงมาจากชั้นบนพอดี เมื่อเห็นหลินซือฉิงจึงส่งยิ้มให้ “คุณหนูหลิน เดี๋ยวฉันไปเอาชามาให้นะคะ”
เธอพักอยู่ที่โรงแรมในเมืองเซี่ยงซานพร้อมกับเย่เวิ่นเทียน หลินซือฉิง และคนอื่นๆ สองวัน จึงรู้จักหลินซือฉิง
“คุณน้าไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ค่ะ” หลินซือฉิงแย้มยิ้ม “ฉันแค่มาคุยธุระกับเขา อีกสักครู่ก็จะไปแล้วค่ะ”
แน่นอนว่าคำพูดนี้ไม่อาจทำให้เธอวางเฉยได้ จึงเข้าครัวไปชงชามาเสิร์ฟ
“มาหาผมมีเื่อะไรหรือครับ?”
เย่เฟิงถามเข้าประเด็นทันที ไม่เยิ่นเย้อให้มากความ
“จะมีงานแสดงอัญมณีที่เมืองเยี่ยนจิงวันมะรืนนี้” หลินซือฉิงยกยิ้ม ก่อนวาดขานั่งไขว่ห้าง แล้วบอกจุดประสงค์ของตัวเอง “พี่อยากขอให้นายไปเป็บอดี้การ์ด นายจะว่าไง?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้