รถม้าจอดอย่างช้าๆ ที่ประตูข้างของจวนฉิน ซุนซื่อเลิกผ้าม่านและมองดูข้างนอก สีหน้าของนางมีความกระอักกระอ่วนอยู่หลายส่วน
ฉินหยีหนิงสังเกตสีหน้าของซุนซื่อพลางรับรู้ความคิดของมารดาในทันที ซุนซื่อคงรู้สึกว่าตนเองกลับมาด้วยตัวเอง นั่นเป็การลดสถานะของนางเสียแล้ว
ถ้ารู้ว่าเหตุการณ์จะกลับกลายเป็เช่นนี้ วันนั้นคงไม่ทำให้เื่ใหญ่โต
ไม่แปลกเลย เหตุใดฮูหยินติ้งกั๋วกงถึงได้โกรธมากถึงเพียงนั้น ซุนซื่ออายุก็ปูนนี้แล้ว กระทำการใดยังคงเอาแต่ใจตนเอง หลายปีมานี้นางสามารถอยู่ในตำแหน่งภรรยาของอัครมหาเสนาบดีได้อย่างมั่นคง อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับน้องสะใภ้ถือได้ว่ามีความสามัคคีกลมเกลียวกันดี ถือว่านางมีความโชคดีจริงๆ
ถึงกระนั้นเื่ของซุนซื่อ ฉินหยีหนิงย่อมไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้
“ฮูหยิน ท่านอย่าโกรธเลย ลูกสำนึกผิดแล้วเ้าค่ะ” ฉินหยีหนิงจงใจเอาความอายและความบิดเบือนความนึกคิดของซุนซื่อให้แปรเปลี่ยนเป็ความโกรธ พร้อมกับยิ้มและเอ่ยอีกประโยค “อีกสักครู่ข้าจะอธิบายให้ล่าวไท่จุนเข้าใจ ฮูหยินกลับมาเพื่อจะมาสั่งสอนลูกสาว ล่าวไท่จุนรู้แล้วจะต้องสบายใจอย่างแน่นอน และจะได้ไม่ต้องกังวลเื่การสั่งสอนลูกสาวอีกแล้ว”
ซุนซื่อเมื่อได้ยินเช่นนั้นถึงกับนิ่งงัน นางยังไม่ได้ตอบสนองในทันที
แต่แม่นมเปาที่อยู่ข้างๆ นั้นยกยิ้มขึ้นมา ความรู้สึกของนางที่มีต่อฉินหยีหนิงได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนมีความสงสัยฉินหยีหนิงมากถึงเพียงใด ยามนี้ก็มีความเคารพมากถึงเพียงนั้น
“ฮูหยินดูสิเ้าคะ คุณหนูสี่ช่างมีความมุ่งมั่นจริงๆ ท่านอย่าได้โกรธเพราะเื่นี้เลยเ้าค่ะ อีกอย่างเป็ครอบครัวเดียวกัน ท่านกับนายท่านเป็สามีภรรยากันมาหลายปี มีเื่ที่ไม่สามารถผ่านไปได้ด้วยหรือเ้าคะ? ผู้ชายรักในศักดิ์ศรี ถ้าท่านยอมถอยออกมาหนึ่งก้าวเื่มันก็ผ่านไปแล้วนะเ้าคะ ”
“มีสิทธิ์อะไรถึงต้องให้ข้าถอยออกมาหนึ่งก้าว” ซุนซื่อบ่นพึมพำ แต่ไม่ได้โมโห
ฉินหยีหนิงรู้ชัดแจ้งถึงความคิดของซุนซื่อ นางครุ่นคิด จากนั้นก็บอกเป็นัย “ในเมื่อฮูหยินไม่ได้โกรธแล้ว พวกเราเข้าไปข้างในจวนจะดีหรือไม่เ้าคะ? ไปหาล่าวไท่จุนเพื่อบอกกล่าวเล็กน้อย ท่านจะได้กลับไปจัดการเรือนซิ่งหนิงด้วย ท่านก็ไม่อยู่บ้านตั้งหลายวันแล้วนะเ้าคะ”
ซุนซื่อเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนมีพลังขึ้นมาในทันที นางอยากจะกลับไปดูว่า ในขณะที่นางไม่อยู่เสียหลายวัน ฉินหวยหยวนไปพักอยู่ที่ห้องหยีเหนียงคนใด
“ไป กลับจวน” นางสั่งให้บ่าวที่ติดตามรถม้ามาด้วยนั้นเคาะประตูอย่างไม่ลังเลใจ
แม่นมจินยิ้มให้กับฉินหยีหนิงพร้อมพยักหน้า ฉินหยีหนิงก็ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
รถม้าเข้ามาในจวนแล้ว ซุนซื่อกับฉินหยีหนิงก็ได้เปลี่ยนเป็รถม้าเคลือบน้ำมัน นั่งมาจนถึงหน้าประตูสองจากนั้นก็ลงมาจากรถ
เมื่อเข้ามาถึงเรือนสื่อเซี่ยว เห็นหรูยี่บ่าววัยกลางคนกำลังพูดคุยอยู่กับบ่าวรุ่นเด็ก
ฉินหยีหนิงยิ้มและเอ่ยทัก “พี่หรูยี่กำลังยุ่งอยู่หรือ”
ฝ่ายหรูยี่เห็นฉินหยีหนิงแล้ว ก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วสามส่วน ครั้นเห็นแม่นมจิน ฉ่ายจู๋วกับฉ่ายหลานช่วยดูแลประคองซุนซื่อเดินเข้ามา นางจึงยิ้มกว้างและคำนับให้ในทันที “น้อมทักทายฮูหยินใหญ่ คุณหนูสี่ ตอนนี้ล่าวไท่จุนว่างอยู่พอดี เชิญท่านทั้งสองรีบเข้าด้านในเถอะเ้าค่ะ” นางพูดไปพลาง นำทางไปพลาง
บ่าวซึ่งอยู่ที่ระเบียงได้รายงานเข้าไปข้างในแล้ว บ่าวทั้งสองเลิกผ้าม่าน จี๋เสียงกับแม่นมฉินออกมาต้อนรับ
จังหวะนั้นฉินหยีหนิงประคองซุนซื่อเข้าไปในห้อง ทั้งสองต่างก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเอง แม่นมฉินกับจี๋เสียงยิ้มและยื่นมือรับในทันที
เมื่อเหลือบไปมองแล้ว ฉินหยีหนิงก็เห็นปี้ถงแล้ว
ปี้ถงไม่กล้าสบตามองฉินหยีหนิง นางได้แต่ก้มศีรษะต่ำลงเมื่อเห็นว่าฉินหยีหนิงก้าวเท้าเข้ามา ร่างของนางหดลีบลงอย่างควบคุมไม่ได้
ฉินหยีหนิงทำเป็เหมือนมองไม่เห็น นางประคองซุนซื่อเดินผ่านที่กั้นประติมากรรมไม้แกะสลักน้ำมัน ‘สมดั่งปรารถนา’ จากนั้นก็เข้ามาถึงข้างในห้อง
การตกแต่งในห้องมีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ผ้าคลุมเก้าอี้ ผ้าปูโต๊ะและหมอนรองแต่เดิมเป็สีโทนเย็น ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยสีแดงสดและดอกไม้ซึ่งถูกปักอยู่ในแจกันก็เลือกใช้เป็สีแดง พวกมันปักอยู่ในแจกันเว้าสีขาวหิมะ เห็นแล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนมีข่าวดี เป็การแสดงความยินดีที่ฉินหวยหยวนได้เลื่อนตำแหน่ง
ล่าวไท่จุนสวมเสื้อตัวยาวสีฟ้าอมม่วง เป็ผ้าที่เย็บปักถักร้อยด้วยลายหงส์ไฟ นางนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงหลั่วฮั่นถัดจากหน้าต่างและกำลังสูบยาเส้น
ฉินฮุ่ยหนิงถือคนโทเสมหะที่ออกแบบมาอย่างละเอียดอ่อน นางคอยดูแลเคาะเศษยาเส้นอยู่ ครั้นเห็นฉินหยีหนิงกลับมาพร้อมกับซุนซื่อ ทำให้ใบหน้าของนางแสดงถึงความแปลกใจอยู่หลายส่วน
ฉินหยีหนิงกวาดสายตามองสีหน้าใของฉินฮุ่ยหนิง นางประคองซุนซื่อและคุกเข่า คำนับล่าวไท่จุนอย่างสง่างาม
ซุนซื่อรู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่ก็อดกลั้นไว้ก่อนเอ่ยขึ้น “ล่าวไท่จุน ลูกสะใภ้กลับมาแล้วเ้าค่ะ”
ล่าวไท่จุนเคาะถุงยาเส้นและแค่นเสียงขึ้นจมูกดังฮึออกมาด้วยความเ็า นางเพียงเหลือบมองซุนซื่อด้วยหางตา
ใบหน้าของซุนซื่อแปรเปลี่ยนเป็สีแดงในทันใด สีแดงลามไปจนถึงลำคอและติ่งหูแล้ว นางกัดฟันและอดกลั้นอย่างมาก พลางพูดว่า “หลายวันก่อน เป็เพราะลูกสะใภ้เองที่หุนหันพลันแล่นมากเกินไป หวังว่าล่าวไท่จุนจะไม่ถือโกรธนะเ้าคะ”
“ถือโกรธ?” ล่าวไท่จุนเคาะเศษยาเส้นเข้าคนโท กล้องยาสูบที่ทำจากเครื่องทองเหลืองกับเซรามิกกระทบกันได้ยินเสียงดังก้อง
“หากข้าถือโกรธ หลายปีมานี้ข้าคงจะโกรธเ้าจนตายไปแล้วใช่หรือไม่ ซุนซื่อ เ้าว่าหลายปีมานี้เ้าอยู่ในบ้านฉิน ข้าในฐานะแม่สามีของเ้า ข้าเคยทำอันใดให้เ้าโกรธหรือไม่? หรือว่ามีอะไรที่บ้านฉินทำให้เ้าเสียใจอีก เ้ามีอะไรที่ไม่พอใจหรือ ถึงได้หาเื่ทะเลาะได้บ่อยนัก? เ้าคิดว่าลูกชายของข้าไม่คู่ควรกับเ้า? หรือว่าเ้าไม่ชอบขี้หน้าข้าที่เป็แม่สามีแก่ๆ คนนี้กันแน่”
ซุนซื่อกัดฟัน ไม่พูดอะไรออกมาเลย
ล่าวไท่จุนเอ่ยระบายออกมาอีก “เ้าเข้ามาในบ้านหลายปีมานี้ ก็ไม่ได้ให้กำเนิดลูกชายให้เิเกอร์ เ้าว่า ข้าเคยโทษตำหนิเ้าหรือไม่? วันนั้นก็ไม่มีเื่อะไรใหญ่โตเกี่ยวกับเ้าเลย แต่เ้าก็สร้างเื่ให้มันเป็เื่ใหญ่ขึ้นมา ทุกๆ ประโยคกระแทกกระทั้นเข้าตรงกลางใจของข้า เ้าอยากจะให้ข้า แม่สามีทำอย่างไรถึงจะดี?”
ล่าวไท่จุนน้อยใจ นางทิ้งกล้องยาสูบ ฉินฮุ่ยหนิงรีบกดเพื่อให้ยาเส้นมอดในทันที จากนั้นก็ได้ยื่นผ้าผืนเล็กเพื่อให้ล่าวไท่จุนเช็ดมือ
ล่าวไท่จุนเหลือบไปมองฉินฮุ่ยหนิงและเอ่ยขึ้น “เ้าว่า หลายปีมานี้เ้าสอนลูกไม่เป็ ฮุ่ยเจี่ยร์ก็มีข้าที่เลี้ยงดูและสั่งสอนมา เ้าไม่เก่งเื่สานสัมพันธ์กับสะใภ้คนอื่นๆ เื้ัข้าก็พูดเื่ดีๆ ของเ้าให้สะใภ้สองและสะใภ้สามไม่รู้เท่าใดแล้ว สิ่งเหล่านี้เ้าไม่ได้เห็น สิ่งที่คนอื่นทำดีกับเ้าด้วยนั้น เ้าก็มองว่ามันเป็เื่ที่ควรเป็ไปเช่นนั้นอยู่แล้วใช่หรือไม่?”
“อย่างไรก็ตามเิเกอร์เป็ถึงขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก เ้าเป็ผู้หญิงคนหนึ่ง นอกจากจะไม่สามารถบรรเทาความกังวลให้สามีได้แล้ว ยังสร้างปัญหาซ้ำๆ ขึ้นมาอีก เ้ายังทะเลาะกับเขาต่อหน้า หลักเชื่อฟังสามประการ คุณธรรมสี่ประการ1เ้าเรียนแล้วเอาไปไว้ที่ไหนแล้ว? หรือว่านี่เป็การสั่งสอนจากจวนติ้งกั๋วกงของพวกเ้า?”
ซุนซื่อน้อยใจจึงร้องไห้ออกมา ในใจกำลังคิดแค่หนึ่งเื่คือ จะอดทนหรือไม่? หรือว่าจะกลับบ้านแม่เสียตอนนี้เลย จะได้ไม่ต้องมาเห็นหน้าคนเหล่านี้อีก
ล่าวไท่จุนได้ระบายออกมาแล้ว ส่งผลให้ใจของนางรู้สึกดีขึ้นมาก เมื่อเห็นซุนซื่อร้องไห้ไม่หยุด นางก็ฮึใส่ “ทำไมหรือ เ้ายังน้อยใจอีก?”
“ล่าวไท่จุน” เมื่อฉินหยีหนิงเห็นว่าล่าวไท่จุนได้ตำหนิซุนซื่อไปหลายประโยค ความโกรธที่ควรระบายออกมา ก็ได้ระบายออกมาแล้ว นางจึงได้เอ่ยขึ้น “ท่านอย่าโกรธอีกเลยเ้าค่ะ เื่ที่เกิดขึ้นครั้งนี้เป็เพราะข้าที่ผิดเอง ก็เพราะฮูหยินรีบร้อนอยากจะสั่งสอนลูกจึงได้เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น หลายวันมานี้ที่จวนติ้งกั๋วกงนั้น ฮูหยินได้เรียนรู้ประสบการณ์การสั่งสอนลูกจากท่านยายอยู่บ่อยๆ เพราะว่าตอนนี้คิดได้แล้วก็เลยรีบกลับมาเ้าค่ะ ขอให้ล่าวไท่จุนเห็นแก่ความสามัคคีปรองดองของครอบครัวเถิด อย่าได้โกรธเลยนะเ้าคะ”
ยามนั้น ล่าวไท่จุนมองฉินหยีหนิงไม่เหมือนกับวันแรกๆ ที่เพิ่งกลับเข้าตระกูลอีกต่อไป ก็เพราะว่าฉินหวยหยวนสั่งสอนฉินหยีหนิงดั่งลูกชาย ทำให้ล่าวไท่จุนให้ความสำคัญกับฉินหยีหนิงอยู่หลายส่วน
ล่าวไท่จุนรู้ดีว่า เื้ัของซุนซื่อมีูเาใหญ่และแข็งแกร่งอย่างคนในจวนติ้งกั๋วกงอยู่ นางย่อมไม่สามารถทำอะไรลูกสะใภ้ได้ ในเมื่อวันข้างหน้ายังจะต้องยอมรับอีกฝ่าย ตำหนิมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ล่าวไท่จุนก็ได้เอ่ยขึ้น “เอาเถอะ เื่นี้ก็ให้มันผ่านไปเถิด ครั้งหน้าจะไม่มีอีกนะ”
“เ้าค่ะ ขอบพระคุณล่าวไท่จุน” ซุนซื่อคำนับล่าวไท่จุน นางรู้สึกโล่งอกอยู่หลายส่วน
ฉินหยีหนิงกลับเอ่ยขึ้น “ขอบพระคุณล่าวไท่จุนที่เมตตา”
“เอาเถอะ เด็กคนนี้นี่รู้จักแต่ปากหวาน” ล่าวไท่จุนยิ้มอย่างมีความรักและความเมตตา
ฉินฮุ่ยหนิงอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นฉินหยีหนิงพูดโน้มน้าวล่าวไท่จุนได้นั้น จากเดิมนางที่ยังมีความหวังอยู่เล็กน้อย ตอนนี้ความหวังของนางกลับถูกทำลายไปจนหมดสิ้น
ดูเหมือนว่าล่าวไท่จุนจะยอมรับในตัวฉินหยีหนิงแล้ว อีกทั้งยังชื่นชอบจนกระทั่งรับฟังในสิ่งที่นางพูด ไม่สามารถกลับตัวกลับใจได้อย่างแน่นอน
วันข้างหน้านางจะใช้ชีวิตอย่างไร?
ฉินฮุ่ยหนิงกังวลพลางกัดริมฝีปากตนเอง จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปประคองแขนของซุนซื่อ “ท่านแม่ หลายวันมานี้ท่านใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง? ในจวนมีธุระหลายอย่าง ลูกไม่สามารถปลีกตัวออกไปได้ จึงไม่มีเวลาไปหาท่านเลยเ้าค่ะ”
ในใจของซุนซื่อวนเวียนอยู่แต่กับคำพูดที่ฮูหยินติ้งกั๋วกงได้กล่าวไว้อยู่หลายครั้ง ดังนั้นเมื่อนางมองไปที่ฉินฮุ่ยหนิง สายตาของนางจึงมีความสลับซับซ้อนอยู่หลายส่วน
“ธุระ...ธุระอะไรหรือ?”
ฉินฮุ่ยหนิงมองไปที่ล่าวไท่จุนสลับกับมองหน้าฉินหยีหนิง นางพยายามยิ้มออกมา เสมือนว่าตนเองมีความลำบากที่ได้กลืนเข้าไปเพื่อปกป้องคนอื่นอยู่คนเดียวอย่างไรอย่างนั้น นางเอ่ยแค่เพียงว่า “ก็ไม่ได้มีอะไรมากเ้าค่ะ”
บอกว่ามีธุระก่อน พอซุนซื่อเอ่ยถามก็บอกว่าไม่มีอะไร
นี่ก็เห็นได้ชัดเจนว่านางกำลังเล่นเล่ห์กล เพื่อกระตุ้นความสนใจของซุนซื่อ
ขอแค่ซุนซื่อมีความอยากรู้เท่านั้น แน่นอนว่านางต้องตรวจสอบเป็แน่ แต่ไม่ว่าซุนซื่อจะตรวจสอบอย่างไร ข่าวลือข้างนอกนั่นย่อมไม่ดีต่อฉินหยีหนิง หลายวันที่ผ่านมาใน่ที่ซุนซื่อไม่อยู่บ้าน ข่าวลือข้างนอกหนาหูยิ่งทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่ซุนซื่อมีให้ฉินหยีหนิงนั้นลดน้อยลง
ฉินหยีหนิงเห็นได้ชัดแจ้ง แต่ว่านางก็ไม่ได้แสดงอะไรออกมา แค่มีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนทุกๆ วัน
ซุนซื่อแท้จริงแล้วก็มีความอยากรู้อยู่หลายส่วน แต่ว่ายามนั้นนางอยู่ต่อหน้าล่าวไท่จุน จึงไม่ได้เอ่ยถาม นางเพียงแค่คิดว่ารอให้ออกไปข้างนอกแล้วจะเอ่ยถามฉินฮุ่ยหนิง
คนรอให้ถามอารมณ์เสียอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยถามขึ้น “ท่านแม่มาพร้อมกับน้องหยีหนิงได้อย่างไรเ้าคะ? เป็เพราะเจอกันระหว่างทางหรือเ้าคะ?”
มาอีกหนึ่งระลอก!
ฉินหยีหนิงอยากพูดแทรก แต่ว่าซุนซื่อกลับเอ่ยออกมาก่อนโดยไม่ได้คิดแต่อย่างใด “เป็เพราะว่าหยีเจี่ยร์ไปก้มกราบยอมรับความผิด ข้าถึงได้กลับมา”
เมื่อล่าวไท่จุนได้ยินเช่นนั้น นางก็ขมวดคิ้วแน่น
ฉินหยีหนิงจับได้ว่าสีหน้าของล่าวไท่จุนเปลี่ยนไป ทำให้นางนึกภูมิใจ ทว่าสีหน้าของนางยังคงปกติดังเดิม ทำเพียงพยักหน้า
“อ้อ เป็เช่นนี้นี่เอง เป็เพราะว่าน้องหยีหนิงออกจากบ้านได้สะดวกสินะ นึกอยากออกไปก็ออกไปได้เลย” นางกำลังจะบอกเป็นัยให้ล่าวไท่จุนตำหนิฉินหยีหนิง กรณีที่อีกฝ่ายออกจากบ้านโดยไม่รายงานล่าวไท่จุน
ฉินฮุ่ยหนิงอยากจะใช้เื่นี้ เพื่อบริภาษฉินหยีหนิงต่อหน้าล่าวไท่จุน
แต่ฉินหยีหนิงกลับรู้ว่า ประโยคนี้จะทำให้ล่าวไท่จุนไม่พอใจซุนซื่อ
ล่าวไท่จุนหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันควันและเอ่ยขึ้น “หยีเจี่ยร์ไปก้มกราบยอมรับผิดเ้าถึงได้กลับมาหรือ? ทำไม? ถ้าหยีเจี่ยร์ไม่เชิญกลับมา เ้าก็คงยังไม่กลับเสียแล้วสิ?”
“ข้า...” ซุนซื่องุนงง จากนั้นก็รีบส่ายหน้าในทันที พร้อมกล่าวว่า “ล่าวไท่จุนอย่าเข้าใจผิดเลยเ้าค่ะ เป็เพราะความบังเอิญต่างหากล่ะเ้าคะ ถึงแม้ว่าหยีเจี่ยร์ไม่ไป ข้าก็จะกลับมาเ้าค่ะ”
ล่าวไท่จุนคร้านจะฟังที่ซุนซื่อพูดแล้ว จึงโบกมือด้วยความรำคาญและเอ่ยขึ้น “เอาเถอะ เอาเถอะ เ้าไปพักผ่อนเถิด คิดแล้ว เ้าก็น่าจะคร้านที่ดูหน้าคนแก่ๆ อย่างข้าเช่นกัน วันหลังเ้าไม่ต้องมาคำนับทุกๆ วันก็ได้ ข้ายกเว้นให้”
ใบหน้าของซุนซื่อขาวซีด ถัดมานางมองฉินฮุ่ยหนิงด้วยความโมโห
ความไม่พอใจกับความสงสัยสะสมกันมาหลายวัน ยิ่งทำให้นางโกรธจนจวนเจียนจะะเิออกมาเสียให้ได้
ซุนซื่อหน้าบึ้ง นางอุตส่าห์อดทนอย่างมากเพื่อที่จะไม่ขึ้นเสียง นางกัดฟันและเอ่ยขึ้น “ในเมื่อเป็เช่นนั้น ลูกสะใภ้ขอตัวลานะเ้าคะ ฮุ่ยเจี่ยร์ หยีเจี่ยร์ พวกเ้าตามข้ามา ข้ามีของมาให้พวกเ้าด้วย”
เมื่อพูดจบ นางก็หันหลังออกไป
ใบหน้าของฉินฮุ่ยหนิงขาวซีด นางเดินตามออกไปข้างนอกด้วยอาการเกร็งเครียด
ฉินหยีหนิงพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก นางคำนับลาล่าวไท่จุน จากนั้นก็รีบตามหลังออกไปข้างนอก
**********************
เกร็ดความรู้
1 หลักเชื่อฟังสามประการ คุณธรรมสี่ประการ (三从四德) ในอดีตระบบสังคมศักดินานั้นได้ตั้งมาตรฐานของผู้หญิงไว้ โดยมีหลักเชื่อฟังสามประการ คือ ให้เชื่อฟังพ่อเมื่อยังไม่แต่งงาน เมื่อแต่งงานกับสามีแล้วให้เคารพเชื่อฟังสามี และหากสามีเสียชีวิต ก็ให้เชื่อฟังลูกชาย ในส่วนของคุณธรรมทั้งสี่นั้น คือ ศีลธรรม วาจา กิริยาสง่างามและอ่อนโยน การทอการเย็บปักถักร้อยของผู้หญิง ซึ่งหลักเชื่อฟังสามประการและคุณธรรมสี่ประการนี้เป็คุณสมบัติที่กุลสตรีที่ดีในอดีตพึงมี