ตู้โซ่วโซ่วเงียบลงทันที เขาไม่กล้าเปล่งเสียงออกมาอีกแม้แต่น้อยขนาดเสี่ยวช่านเองก็เหมือนรู้ว่าบรรยากาศตอนนี้ตึงเครียดมาก เ้าแมวน้อยขดตัวอยู่บนขาของอันเจิงแล้วมองไปที่เกาซานตัวนิ้วของอันเจิงวางอยู่บนหลังเสี่ยวช่านแล้วขยับไปมา ทำให้เ้าแมวน้อยหลับตาลงอย่างเพลิดเพลิน
เวลานี้ทั้งห้องเงียบสนิท เงียบจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบาอย่างยิ่งของเกาซานตัว
เกาซานตัวเดินไปหยุดที่หญิงสาวคนแรกเขายืนนิ่งแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปดีดฝาครอบเบา ๆเสียงสะท้อนกลับมาชัดเจน ดูเหมือนด้านในจะเป็ของชิ้นเล็ก ๆ เกาซานตัวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยสีหน้าดูมีความกดดันน้อยลง ของชิ้นแรกนี้น่าจะไม่ยากสำหรับเขา เขาไม่ได้ดีดซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันแต่กลับเดินไปยังหญิงสาวคนที่สอง
สี่ชิ้นติดต่อกันแล้ว สำหรับเกาซานตัวราวกับเป็เื่ง่ายๆ แต่หลังจากถึงชิ้นที่ห้าเหมือนเขาได้เจอโจทย์ยากเสียแล้ว เขาดีดนิ้วลงไปถึงสามครั้งจากนั้นก็เอาหูไปแนบกับฝาครอบไว้ แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้คำตอบ เขาจึงเดินไปที่ของชิ้นสุดท้ายอย่างเชื่องช้าดีดนิ้วไปสองครั้งแล้วเดินกลับมาที่ของชิ้นที่ห้าอีกหน เขายกมือขึ้นเคาะฝาครอบติดต่อกันหลายครั้งแล้วฟังเสียงที่สะท้อนกลับมาอย่างตั้งใจ
เขาเดินส่ายหัวกลับมา ราวกับยังไม่มั่นใจคำตอบของสิ่งของชิ้นที่ห้าอยู่ดี
หลังจากกลับมานั่ง เกาซานตัวรับกระดาษจากสาวงามแล้วเขียนคำตอบลงในกระดาษ
“นับั้แ่วินาทีนี้เป็ต้นไป ทุกท่านจะคุยกันไม่ได้แล้วนะ”
จวงเฟยเฟยยิ้มพลางพูด “ถึงแม้จะเป็การแข่งขันเล็กๆ แต่เราก็ควรเล่นอย่างมีระเบียบ ข้าไม่มีพรรคไม่มีพวกส่วนพวกท่านก็ไม่สามารถปรึกษากันได้”
เกาซานตัวมองไปที่อันเจิงราวกับเป็ห่วงว่าเขาจะสามารถตอบถูกหรือไม่ อันเจิงยิ้มกลับมาแต่ไม่ได้พูดอะไร
ตู้โซ่วโซ่วตื่นเต้นจนมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาเหยียดเท้าและเอาหัวไปพิงที่ผนังเบาๆ สาวงามที่ยืนอยู่ด้านข้างหยิบผ้าเช็ดหน้ากลิ่นหอมออกมาเช็ดหน้าผากของตู้โซ่วโซ่วการกระทำที่อ่อนโยนแบบนี้ทำให้ตู้โซ่วโซ่วสะดุ้งขึ้นทันที จากนั้นก็หันไปยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวที่ยืนข้างตน เมื่อคิดถึงคำพูดของจวงเฟยเฟย เขาจึงไม่กล้าส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น
หญิงสาวที่ยืนให้บริการอยู่นั้นสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเิเและไม่ได้ผอมบางจนเกินไปเรียกได้ว่าสมส่วนเลยทีเดียว เรือนร่างของนางเป็ที่ดึงดูดสายตาอย่างมาก นางวางมือลงบนไหล่ของตู้โซ่วโซ่วแล้วขยับมือนวดเบาๆ ตู้โซ่วโซ่วทำตัวไม่ถูกจึงเปล่งเสียงกระแอมออกมาในทันที
ตอนนี้ทำให้เกาซานตัวนึกถึงเื่เสียงร้องคางคกตัวผู้และคางคกตัวเมียขึ้นมาเขาจึงกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
คนที่สองที่ขึ้นไปเป็ผู้าุโท่านหนึ่งอายุราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบปี เส้นผมของเขากลายเป็สีขาวทั้งหัวแล้วทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็ให้ความเคารพต่อผู้าุโท่านนี้และเรียกเขาว่าผู้าุโหลิวหญิงสาวคนหนึ่งประคองตัวเขาขึ้นไป จากนั้นเขาก็เคาะฝาครอบทีละชิ้นดูเหมือนจะใช้เวลาน้อยกว่าเกาซานตัวนิดหน่อยแต่หลังจากกลับมานั่งก็ทำสีหน้าสงสัยและไม่แน่ใจ
เจินจวงปี้เป็คนรองสุดท้ายที่ขึ้นไปเขาแสดงท่าทีมีความมั่นใจสูง หากพูดในภาษาของตู้โซ่วโซ่วก็คือขี้เก๊กชะมัดแต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็เป็ผู้ที่เชี่ยวชาญเื่สมบัติวิเศษอย่างลึกซึ้งอันเจิงสังเกตได้ว่าเขามีวิธีในการฟังเสียงสะท้อนที่ไม่เหมือนคนอื่น ๆเขาใช้ฝ่ามือลูบเป็วงกลมบนฝาครอบแล้วคอยฟังเสียงที่สะท้อนกลับมา
อันเจิงขึ้นไปเป็คนสุดท้ายเจินจวงปี้นั่งลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน “เด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมยังจะมาวางมาดที่นี่อีก ข้าจะคอยดูว่าเ้าจะทำอย่างไร เมื่อเฉลยคำตอบแล้วจะได้รู้กันไปเลย”
อันเจิงไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเขายิ่งไปกว่านั้น อันเจิงไม่แม้แต่จะมองไปเลยด้วยซ้ำ
เมื่อเห็นว่าอันเจิงไม่ได้โมโหกับคำพูดของตัวเอง เจินจวงปี้กลอกตาพลางพูดขึ้นอีกครั้ง“คนเราควรรู้ที่ต่ำที่สูง เด็กเมื่อวานซืนที่ยังไม่มีแม้แต่พลังในขอบเขตจุติ์แต่กลับปีนขึ้นมาอยู่เหนือความสามารถตัวเอง ไม่กลัวจะตายเร็วหรืออย่างไร อายุแค่นี้ก็หวังพึ่งอำนาจคนอื่นแล้วเกรงว่าคนแบบนี้จะมีจิตใจที่ต่ำช้าซะมากกว่า”
ตู้โซ่วโซ่วยืนขึ้นทันที “หุบปากเสียทีเถอะ!”
เจินจวงปี้เบะปาก “ข้าพูดของข้าเกี่ยวอะไรกับเ้ากติกาคือห้ามปรึกษากันแต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้พูดกับตัวเองสักหน่อย”
เขามีเจตนาก่อกวนสมาธิของอันเจิงด้วยการพูดเสียงดังแล้วใช้นิ้วเคาะไปที่พนักแขนของเก้าอี้ตลอดเวลาอีกด้วย
“หึ!” เกาซานตัวเปล่งเสียงออกมา “ดูถูกแม้กระทั่งตัวเองคนแบบนี้คงหมดทางเยียวยาแล้วล่ะ”
เจินจวงปี้รู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้ของเกาซานตัวออกจะเกินไปสักหน่อยเขาหันไปมองเกาซานตัวตาขวางแล้วไม่พูดอะไรอีก ทว่ามือเขาก็ยังเคาะอยู่เรื่อย ๆการกระทำเช่นนี้ทำให้ผู้คนที่สนิทสนมกับเจินจวงปี้ต่างคิดว่าเขาใจแคบเกินไป
จวงเฟยเฟยกลับไม่ได้ห้ามปรามอะไรหรืออาจเป็เพราะนางอยากทดสอบอันเจิงก็เป็ได้ ดวงตาสวยงามคู่นั้นจับจ้องไปที่อันเจิงตลอดเวลาในแววตาราวกับรอคอยอะไรบางอย่าง
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างอันเจิงก็ดูประหลาดไม่น้อยนางทนไม่ไหวโน้มตัวไปข้างหน้า ราวกับอยากเข้าใกล้เพื่อให้อันเจิงไม่รู้สึกเสียหน้า
แต่ในความเป็จริงอันเจิงไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย
อันเจิงมีวิธีการฟังเสียงสะท้อนที่ต่างจากคนอื่น ๆ เขาใช้นิ้วลูบผ่านฝาครอบเบาๆ เสียงที่ดังออกมาไม่ได้เป็เสียงที่ชัดเจนมาก กลับเหมือนเสียงดนตรีเสียมากกว่าแต่เื่ที่น่าแปลกกว่านั้นคือ เมื่อนิ้วลูบผ่านจุดจุดหนึ่งเสียงที่ดังออกมากลับมีความแตกต่างจากจุดก่อนหน้า อันเจิงใช้เวลาในการฟังน้อยมากเวลาทั้งหมดที่เขาใช้สั้นกว่าเจินจวงปี้อย่างน้อยหนึ่งเท่าตัวเลยทีเดียวหลังจากนั้นอันเจิงก็กลับมานั่งที่เดิมด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
หญิงสาวที่บริการอันเจิงรีบนำกระดาษกับพู่กันออกมานางนั่งยอง ๆ ลงข้างอันเจิง มือถือถาดที่มีกระดาษกับพู่กันอยู่ ดวงตากลมโตสวยงามจับจ้องมาที่ใบหน้าของอันเจิงแล้วค่อยมองไปที่กระดาษคำตอบ
อันเจิงเขียนอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยตู้โซ่วโซ่วมองไม่เห็นว่าอันเจิงเขียนอะไรลงไปบ้าง แต่เขาเห็นสีหน้าของหญิงสาวที่ยืนข้างอันเจิงอย่างชัดเจนดูเหมือนนางจะตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นและเปลี่ยนสีหน้าราวกับคาดไม่ถึงทันที
“เสร็จครบทุกคนแล้ว”
จวงเฟยเฟยเดินมาด้านหน้า “ตอนนี้คิดว่าทุกท่านต่างได้คำตอบกันหมดแล้วก่อนที่ทุกท่านจะทราบผล ข้าจะบอกก่อนก็แล้วกันว่ารางวัลของผู้ชนะคืออะไร”
นางหมุนตัวแล้วหยิบของมาจากหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง
“นี่เป็ของชิ้นเล็ก ๆ และไม่ได้เป็ของราคาสูงอะไรแต่ความพิเศษของมันคือสามารถไล่แมลงออกห่างตัวได้”
อันเจิงเงยหน้าขึ้นในมือของจวงเฟยเฟยคือปิ่นปักผมลายดอกกุหลาบงดงาม โดยเฉพาะดอกกุหลาบนั่นดูสวยงามอย่างไม่มีที่ติ มันมีขนาดเท่ากับครึ่งหนึ่งของดอกกุหลาบจริงถือเป็งานฝีมือที่สุดยอดมาก ๆ ถึงแม้จะไม่ได้เห็นในระยะใกล้แต่ทุกคนต่างเห็นได้ชัดว่ากลีบดอกกุหลาบมีความละเอียดงดงามเพียงใด
“มีเพียงชายที่รักและใส่ใจผู้หญิงของตัวเองเท่านั้นที่จะซื้อของแบบนี้ให้นางได้เพราะของชิ้นนี้ไม่ได้ช่วยอะไรในด้านพลังวัตรเลยแม้แต่น้อยแต่ก็เป็ของขวัญที่จะทำให้นางมีความสุขได้ กลีบดอกกุหลาบทำมาจากวัตถุที่มีพลังอยู่ในระดับสีเขียวดูแล้วต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสองร้อยปีอย่างแน่นอน ก้านของปิ่นทำมาจากหยกเขียว แม้จะถือว่าเป็ของที่มีพลังไม่มากแต่ตอนนี้เป็่หน้าร้อนพอดี หากปักปิ่นนี้ออกไปข้างนอก นอกจากจะไม่ถูกแดดเผาจนผิวไหม้แล้วยังสามารถไล่แมลงทั้งหลายได้อีกด้วย”
“หากทุกท่านมีหญิงในใจแล้วมอบสิ่งนี้ให้กับนางข้าเชื่อว่าต้องได้รับจุมพิตที่หอมหวานกลับมาอย่างแน่นอน”
“จะได้รับจุมพิตที่หอมหวานกลับมาจริงหรือ?” อันเจิงถาม
จวงเฟยเฟยยิ้ม “ก็คงต้องดูว่าเ้ามีคนที่อยากมอบให้แล้วหรือยัง”
นางมองไปรอบด้าน “ทีนี้ก็เปิดคำตอบของทุกท่านออกมาได้แล้ว”
หลังจากพูดจบ จวงเฟยเฟยก็หันกลับไปสั่งหญิงสาวด้านหลังพวกนางจึงเปิดฝาครอบทั้งหมดออกทันที
จวงเฟยเฟยพูดแนะนำ “ของล้ำค่าทั้งหกชิ้นนี้เป็เตาหลอมโอสถระดับสีเขียวทั้งหมดแต่มีโครงสร้างที่แตกต่างกันไป ชิ้นแรกคืออักษรเหล็กิญญา”
นางมองดูคำตอบของทุกคน หญิงสาวเ่าั้ชูกระดาษขึ้นเพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน
“ตอบถูกกันทุกคน”
“ชิ้นที่สองคือหินดำแห่งเทือกเขาตงถิ๋ง...ก็ตอบถูกกันทุกคนชิ้นที่สามคือการรวมกันระหว่างเหล็กกิเลนและเหล็กโจวซาน ชิ้นที่สี่อาจเรียกได้ว่าเป็สมบัติวิเศษระดับสีขาวแล้วก็ว่าได้เพียงแค่มีข้อบกพร่องเล็กน้อย มันทำมาจากเหล็กเงา ชิ้นนี้ส่วนใหญ่ก็ตอบถูกกันหมดมีเพียงสี่ท่านเท่านั้นที่ตอบผิด แต่ถึงอย่างไร ข้อนี้ก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว”
จวงเฟยเฟยมองของชิ้นที่ห้า “สำหรับของชิ้นนี้ทุกท่านมีคำตอบไม่เหมือนกัน แต่มีเพียงรองอาจารย์ใหญ่เจินท่านเดียวที่ตอบถูกนี่คือไม้เรืองฤทธิ์แห่งทะเลใต้ต่อให้เป็ไฟจากผู้มีพลังวัตรก็ไม่สามารถเผาไหม้มันได้ แต่น่าเสียดายของชิ้นนี้ทนต่อไฟไม่ทนต่อน้ำ ดังนั้นจึงเป็เพียงสมบัติวิเศษระดับสีเขียว”
เจินจวงปี้รู้สึกได้ใจ “ที่ข้าตอบถูกก็เป็เพราะโชคช่วยข้าเกิดและโตในทะเลใต้ จึงรู้จักไม้เรืองฤทธิ์แห่งทะเลใต้เป็อย่างดีทุกท่านอยู่ทางเหนือ หากไม่รู้จักของพวกนี้ก็ไม่ใช่เื่แปลก”
แต่อันเจิงกลับส่ายหัว “ผิดแล้ว”
จวงเฟยเฟยมองไปยังคำตอบของอันเจิง เขาตอบว่า‘ไม้ทองที่มีอายุห้าร้อยปีในทะเลสาบต้งถิ๋ง’
เจินจวงปี้โมโหขึ้นมาทันที “คำตอบของเ้าช่างเหลวไหลสิ้นดีทุกคนรู้กันดีว่าไม้เรืองฤทธิ์กับไม้ทองต่างกันอย่างไรไม้เรืองฤทธิ์มีลวดลายเป็ดาวสีดำแต่ไม้ทองไม่มี”
อันเจิงชี้ไปที่เตาหลอมโอสถแล้วพูดกับจวงเฟยเฟย“นักตรวจสอบสมบัติวิเศษของพวกเ้าดูผิดแล้ว ของชิ้นนี้ไม่ใช่สมบัติวิเศษระดับสีเขียวแต่คือระดับสีขาวสมบัติวิเศษก่อนหน้านี้รวมกันสี่ชิ้น ยังสู้ราคาของชิ้นนี้ชิ้นเดียวไม่ได้เลยไม้เรืองฤทธิ์แห่งทะเลใต้ทนต่อไฟไม่ทนต่อน้ำ ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้หลอมสมุนไพรบางตัวได้ทำให้ถูกจัดอยู่ในระดับสีเขียว แต่ไม้ทองในทะเลสาบต้งถิ๋งไม่เหมือนกันโดยเฉพาะไม้ทองที่มีอายุห้าร้อยปีขึ้นไป มันมีรากอยู่ในน้ำต้นไม้ที่งอกออกมาจะมีรูปร่างเป็ไปตามช่องและสถานที่นั้น ๆ ถือเป็ของที่หายากมากของชิ้นนี้มีลวดลายคล้ายคลึงกับดาว แต่หากดูอย่างละเอียดแล้ว นั่นคือลายจุดกลม ๆ สีดำต่างหากไม้ทั้งสองชนิดแตกต่างกันแค่ความละเอียดเล็กน้อย แต่มีพลังที่แตกต่างกันมหาศาล”
“ในทะเลสาบต้งถิ๋งมีกระจกสะท้อนอยู่ พลังความร้อนที่สะท้อนมาจากดวงอาทิตย์รุนแรงกว่าความร้อนจากไฟโดยตรงเสียอีกไม้ทองจะทนต่อไฟและน้ำ โดยเฉพาะไม้ทองที่มีอายุมากกว่าห้าร้อยปีขึ้นไปจะมีพลังจากธาตุไม้ฉะนั้นความแข็งแรงเหนียวแน่นจึงมากกว่า หากเตาหลอมโอสถนี้ทำจากไม้เรืองฤทธิ์ อย่างมากก็มีน้ำหนักเพียงสามร้อยแปดสิบกรัมเท่านั้นแต่หากเป็ไม้ทองอย่างน้อยต้องมีน้ำหนักสี่ร้อยเก้าสิบห้ากรัม”
จวงเฟยเฟยสั่งให้รีบชั่งน้ำหนักในทันทีผลที่ออกมาทำให้ทุกคนต่างอึ้งไปตาม ๆ กัน น้ำหนักที่ชั่งออกมาสี่ร้อยเก้าสิบห้ากรัมพอดีไม่ผิดไปจากที่อันเจิงพูดเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของเจินจวงปี้เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่องเขามองอันเจิงปานจะกินเืกินเนื้อ
จวงเฟยเฟยเอ่ยชม “นายตัวเล็กมีการแยกแยะเสียงที่เป็เลิศเก่งยิ่งกว่าปรมาจารย์เสียอีก”
อันเจิงส่ายหัวแล้วไม่พูดอะไรต่อเขาไม่ใช่นักหลอมสมบัติวิเศษ และไม่ได้คุ้นเคยกับโครงสร้างสมบัติวิเศษมากนักแต่สำหรับการแบ่งแยกระดับของสมบัติวิเศษไม่มีใครเทียบเขาได้ ตอนที่เขาเพิ่งเข้าทำงานในกรมตุลาการเนื่องจากอายุยังน้อยจึงถูกจัดให้ทำงานด้านการคลัง ของจำนวนมากที่ส่งเข้ามาในกรมตุลาการอันเจิงต้องเป็ผู้ลงบันทึกเองทั้งหมด มีของผ่านมือเขาเป็จำนวนมาก และความรู้พวกนั้นก็ไม่จางหายไปอันเจิงใช้เวลาทำงานด้านการคลังถึงแปดปี จากอายุสิบสี่ถึงยี่สิบสองปี่เวลาเหล่านี้เขาได้เจอสมบัติวิเศษที่หลากหลายเป็จำนวนมาก
หลังจากที่เขาคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษจำนวนมากแล้วจึงถูกเปลี่ยนไปอยู่ในฝ่ายสร้างอาวุธทหาร งานด้านนี้มีกฎที่เข้มงวดมากอันเจิงจึงได้รับผิดชอบตรวจสอบความเหมาะสมของวัสดุต่าง ๆ เท่านั้น
เขาทำงานด้านตรวจสอบอาวุธอยู่อีกสองปีทั้งหมดเป็เวลาสิบปีโดยประมาณที่เขาทำงานอย่างจริงจังและตั้งใจผ่าน่เวลาสามพันกว่าวัน ความรู้ในสมองของอันเจิงยังมากกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เสียด้วยซ้ำ
จวงเฟยเฟยไม่กล้าพูดไปเรื่อยอีกเมื่อครู่นางบอกว่าเจินจวงปี้ตอบถูก แต่ผลสุดท้ายกลับทำให้นางหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย
“ของชิ้นสุดท้ายนี้ คำตอบของรองอาจารย์ใหญ่เจินเหมือนกับนักตรวจสอบสมบัติวิเศษในโรงจวี้ฉ่าง”
จวงเฟยเฟยมองไปที่อันเจิงในแววตาแฝงไปด้วยคำถาม ความหมายในแววตานั้นราวกับกำลังถามว่า นางควรพูดว่าอันเจิงตอบผิดหรือไม่?
แต่อันเจิงกลับยืนขึ้นแล้วเดินอย่างเชื่องช้าไปหยิบปิ่นกุหลาบจากนั้นก็ลากเก้าอี้เข้าไปแล้วเหยียบขึ้นไปบนเก้าอี้นั้น เขานำปิ่นกุหลาบนี้ปักลงบนผมของจวงเฟยเฟย“ทุกท่านตอบผิดแล้ว มีเพียงข้าเท่านั้นที่ตอบถูก ดังนั้นปิ่นนี้เป็ของข้า นายตัวใหญ่...ปิ่นนี้แม้ไม่คู่ควรสำหรับเ้าแต่หากคนอื่นเอาไป ผู้คนเ่าั้กลับไม่คู่ควรกับมัน ฉะนั้นคงต้องลำบากเ้าแล้วเมื่ออยู่กับเ้าจึงจะเป็การเพิ่มมูลค่าของมันได้”
จากนั้นอันเจิงก็ชี้ที่หน้าของตัวเอง “เมื่อครู่คุยกันไว้ว่าอย่างไร?”
เกาซานตัวมองสบตากับตู้โซ่วโซ่วแล้วพูดขึ้นอย่างนับถือ“นี่...ยอดฝีมือชัด ๆ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้