ยามตะวันลับยอดเขาทางทิศตะวันตก ขบวนรับเ้าสาวหยุดพักการเดินทางเกี้ยวเ้าสาวของหลิ่วจิ้งจึงหยุดสั่นคลอนเสียที
ภายในเกี้ยวที่มีขนาดกว้างใหญ่และข้างในบุผ้าแพรเอาไว้หลิ่วจิ้งขยับบั้นท้ายและขาที่นั่งจนชาอย่างยากลำบาก เคลื่อนไหวร่างกายสักเล็กน้อย
พักใหญ่ผ่านไป มีเสียงชายหนุ่มดังมาจากข้างนอกเกี้ยว “ท่านแม่ทัพขอให้องค์หญิงประทับพักที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีหลิ่วจิ้งอยากกจะพูดอะไรสักคำ แต่พออ้าปากพูดจึงเพิ่งพบว่าเนื่องจากยาที่หงฉางให้นางกินเมื่อครู่นี้เพิ่งหมดฤทธิ์ไปตอนนี้ลำคอของนางจึงแห้งผาดไร้เรี่ยวแรง เสียงพูดกลับฟังดูแปล่งๆไม่เหมือนทั้งเสียงสตรีหรือบุรุษ
ในขณะที่กำลังเหม่อลอยอยู่ จู่ๆก็มีมือข้างหนึ่งโผล่เข้ามาในเกี้ยว
ศีรษะของหลิ่วจิ้งถูกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าเ้าสาวจึงมองไม่ชัดว่าเ้าของมือนี้เป็ของใครมองเห็นเพียงบนแขนผิวสีน้ำตาลอ่อนข้าวสาลีข้างนั้นมีขนสีแดงจางๆ หลายเส้นนางจึงเดาว่ามีความเป็ไปได้อย่างมากที่คนตรงหน้านี้จะเป็หั่วอี้ ก่อนจะเอื้อมมือกลับไปหาเขา
หั่วอี้จับมือเล็กๆ ที่เย็นเฉียบเอาไว้แน่น โค้งมุมปากขึ้นน้อยๆ“องค์หญิงทรงกล้าหาญนัก ไม่ทรงกลัวต้องพลั้งพลาดไปชั่วชีวิตหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หลิ่วจิ้งจะฟังความหมายลึกๆ ในคำพูดของเขาไม่ออกได้อย่างไร แต่นางกลับเพียงยิ้มบางๆ ตอบไปว่า “ในบรรดาผู้คนในชางอี้ผู้ที่เป็นักรบและมีผมสีแดง มีท่านเป็ที่หนึ่งก็เกรงว่าคงหาคนที่สองอีกไม่พบแล้ว”
หั่วอี้มองลำแขนของตนที่เผยออกจากชุดเกราะเพียงบางส่วนสายตาที่จ้องมองคนตรงหน้าพลันส่องประกายแห่งความสนอกสนใจ
เดิมทีเขาแค่จะเอื้อมมือเพื่อมาประคองหลิ่วจิ้งลงจากเกี้ยวแต่ในชั่วอึดใจที่ลงจากเกี้ยว มือข้างนั้นก็กลับเปลี่ยนไปโอบเอวนางเข้ามากอด
ปากอวบอิ่มดังผลอิงเถา [1] ของหลิ่วจิ้งเผยอออกน้อยๆ สองมือดันคอเขาเอาไว้ไอร้อนแผ่ซ่านจากผิวกายที่แนบชิดกัน ใบหน้าของนางร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด
“เหตุใดพระหัตถ์ถึงเย็นนัก? ในเกี้ยวไม่มีเครื่องให้ความอบอุ่นสักชิ้นเลยหรือ?” คำพูดนี้ของเขาย่อมเอ่ยกับนางแต่กลับจงใจมองไปยังหงฉางที่ยืนอยู่ข้างเกี้ยว
หงฉางเคยได้ยินคำร่ำลือมาั้แ่หลายปีก่อนแล้วว่าหั่วอี้ผู้นี้เป็คนมีอารมณ์แปรปรวนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายชื่นชอบการสังหารและตัดมือเท้าคนเอามาย่าง ซ้ำยังเป็คนมีนิสัยโอหังไม่กลัวใครเมื่อคิดได้ดังนี้ ลำพังแค่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา นางก็เกิดอาการหายใจขัดแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาแล้ว
นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ก่อนมาองค์หญิงทรงสั่งให้พวกบ่าวไพร่เอาเครื่องช่วยอบอุ่นร่างกายออกไปเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งลอดสายตาลงมาจากผ้าคลุมหน้าเ้าสาว พยายามมองออกไปเห็นเพียงขาใต้ชายกระโปรงสีชมพู่คู่นั้นกำลังสั่นเทิ้มนางได้แต่ยิ้มค่อนแคะไม่หยุด ต้องเป็องค์หญิงสั่งให้คนเก็บไปเป็แน่
แต่เมื่อหั่วอี้ได้ฟังกลับไม่รู้ว่าองค์หญิงที่เอ่ยถึงนั้นไม่ใช่องค์หญิงที่อยู่ที่นี่เขานึกเพียงว่าหลิ่วจิ้งจงใจทำเอง จึงไม่ได้ไปเอ่ยถามหรือหาเื่หาราวใดๆ อีกเพียงโอบเอวคนในอ้อมแขนให้ก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น
หนทางที่เดินไปครึกครื้นไม่เบาเลยนางเดินเข้าไปท่ามกลางเหล่าทหารที่เขาสั่งให้หาพื้นที่โล่งกว้างจุดกองไฟเอาไว้ย่างเนื้อ
หลิ่วจิ้งได้กลิ่นหอมของกระเทียมและเนื้อแกะท้องของนางเผลอส่งเสียง ‘โครกคราก’ ออกมาโดยไม่ทันตั้งตัว
คนข้างบนหัวนางยิ้มออกมาโดยไม่มีซุ่มเสียง “ทรงหิวแล้วหรือ? เช่นนั้นข้าจะเอาผ้าคลุมหน้าท่านออก พอท่านเสวยอิ่มแล้วพวกเราค่อยเอาคลุมกลับไปก็ยังไม่สาย” เขาต้องคำนึงถึงธรรมเนียมการแต่งงานของต้าเว่ยก่อนจะเข้าห้องหอห้ามเปิดผ้าคลุมหน้าออก หากไม่แล้วจะไม่เป็มงคลจึงได้เอ่ยถามหลิ่วจิ้งอย่างใส่ใจเช่นนี้
หลิ่วจิ้งเป็ใครกัน?
นางหาใช่คนที่งมงายกับขนบธรรมเนียม อีกประการก็เห็นชัดอยู่แล้วว่าเ้าหั่วอี้นี่มีเจตนาจะหัวเราะเยาะนางก็เท่านั้นบอกว่าให้เอาผ้าคลุมออกบ้างล่ะ กินอิ่นแล้วค่อยคลุมกลับไปบ้างล่ะถ้าเอาผ้าคลุมออกก็คือเอาออกแล้วต่อให้คลุมกลับไปใหม่แล้วจะทำเป็ว่าไม่เคยเปิดออกได้หรือ?
นางเอื้อมมือไปเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออก จ้องเขม็งไปยังตาหงส์ใสสว่างมีชีวิตชีวาคู่นั้น
ม่านตาของเขาเป็สีแดงดังไฟ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกระคายคอ
ทหารนายหนึ่งเดินเข้ามาหานำเนื้อแกะที่ย่างเสร็จแล้วและห่อด้วยใบไม้สีเขียวเป็อย่างดียื่นมาตรงหน้าหั่วอี้หลิ่วจิ้งรับมาโดยไม่รังเกียจแต่อย่างใด เอามันมาจ่อที่ริมฝีปากแดงด้วยสีชาดทาปากกัดเข้าไปอย่างแรงคำหนึ่ง
หั่วอี้มอง สนใจเสียจนตาลุกวาว
ต่อให้อยู่ในแคว้นชางอี้ของเขาก็ยังไม่เคยเห็นสตรีผึงผายไม่ถือกิริยาเช่นนี้มาก่อนยิ่งไม่ต้องพูดว่าคนผู้นี้ยังเป็ถึงองค์หญิงแห่งต้าเว่ยแล้ว
เขารู้สึกไม่เข้าใจและสงสัยขึ้นมาในใจ
“ท่านแม่ทัพขอรับ! มีคนลอบโจมตีขอรับ!”มีคนที่ขาข้างหนึ่งเต็มไปด้วยเืถูกประคองตัวเข้ามาพร้ะโกนเสียงดังมาแต่ไกล
‘พึบ’ หั่วอี้ลุกขึ้นทันใดก่อนจะมองลงมายังหลิ่วจิ้งผู้ร่างบางเล็กดังนกน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ ดูท่าว่าตอนนี้นางต้องไม่ได้ยินว่ามีคนลอบโจมตีสี่คำนี้แน่ๆเพราะนางเอาแต่จดจ่ออยู่กับเนื้อแกะของตนเองอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“ตามคนมา อารักขาองค์หญิงให้ดี คนอื่นตามข้าออกไปดู”
นภาย้อมด้วยสีหมึก รอบทิศล้วนเป็ความมืดมิด
หั่วอี้พานักรบเจ็ดแปดคนที่ในมือถือทวนยาวมีพู่แดงเดินออกไปหลิ่วจิ้งเพิ่งสังเกตเห็นในตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าคนรอบๆตัวเข้ามาล้อมตัวนางเอาไว้ั้แ่เมื่อใด คล้ายไม่้าให้นางออกไปเช่นนั้น
นางลุกขึ้นมาอยู่ในท่าย่อตัวพลางเงยหน้ามองประจวบกับหั่วอี้ที่กำลังตามหาศัตรูอยู่ข้างหน้าหันหลังกลับมา ทั้งสองสบตากันนางเขินอายจนร่วงลงมานั่งกับพื้น
“ผู้ที่มาเป็ผู้ใด!”
พลันปรากฏดวงไฟดังแสงดาวหลายดวงขึ้นเบื้องหน้าคบเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนขยับเข้ามารวมกันอย่างฉับไว มองเห็นเป็เงาคนเต็มไปหมด
“ถอย!” หั่วอี้ร้องสั่ง ทุกคนถอยหลังตามเขาไปสองสามก้าว
ฝ่ายหลิ่วจิ้งเองก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ที่สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบในมือถือมีดชูค้อนกำลังรุกคืบเข้ามาใกล้
หรือว่าเจอพวกโจรเข้าให้แล้ว!?
“เ้าเป็ใคร? รีบปลดเปลื้องของมีค่าในตัวลงเสีย!”ชายฉกรรจ์ในชุดสีน้ำเงินที่อยู่หน้าสุดเหวี่ยงดาบเล่มโตที่แบกไว้บนบ่าปักลงในพื้นดินปักมดตัวหนึ่งที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจนตาย
คิ้วยาวของหั่วอี้ย่นเข้ามา ถามกลับไปว่า “แล้วเ้าเป็ผู้ใด?”
“ข้ารึ? ข้าเป็ลูกพี่ใหญ่บนเขาลูกนี้!อย่ามาเล่นลิ้นหามารดาเ้ากับข้า รีบเอาเงินทองมุกหยกและผู้หญิงทิ้งไว้ที่นี่บางทีเห็นแก่ที่เ้าว่าง่าย ข้าจะไว้ชีวิตเ้าไว้สักคน!”เสียงของเขาหยาบหนักดังระฆังั์ ยามพูดจาทำเอาหูของหลิ่วจิ้งมีเสียงดังก้องสะท้อนจนปวดหูไปหมด
หั่วอี้มองเขาั้แ่หัวจรดเท้าคราวหนึ่ง เอ่ยอย่างเหยียดหยันว่า“ชาวบ้านป่าดง คู่ควรเป็เ้าแห่งหุบเขาด้วยรึ?”
เสียงหัวเราะฮ่าๆ ข้างหลังดังลั่นขึ้นสำทับในทันใดต้องเป็เพราะนักรบเหล่านี้ต้องฝึกฝนอยู่เป็นิจ ทั้งยังติดตามหั่วอี้สู้กรำศึกมานานปีส่วนใหญ่ล้วนเป็ลูกน้องที่ใกล้ชิดกับเขาเป็อย่างยิ่งเมื่อได้ยินเขาพูดจึงพากันเป็ลูกคู่ขานรับในทันใด
เดิมทีหงฉางยืนอยู่ข้างเกี้ยวเ้าสาวแต่เมื่อเห็นว่าเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น นางอดขลาดกลัวขึ้นมาไม่ได้จึงมุดตัวเข้าไปข้างในวงล้อมที่ป้องกันหลิ่วจิ้งอยู่
หลิ่วจิ้งเหลือบมองนางด้วยท่าทีราบเรียบหนหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
แต่นางกลับรีบอ้าปากถามว่า “คะ…คนพวกนี้เป็ใครกันเพคะ?”
“โจรป่า”
หงฉางตื่นตระหนก “ละ…แล้วเหตุใดพวกเราไม่รีบฉวยโอกาสหนีไปเล่าพวกมันจะสังหารพวกเราหรือไม่เพคะ?”
เห็นนางหวาดกลัวจนหดตัวเข้ามาเป็ก้อนกลม หลิ่วจิ้งแอบหัวเราะ“มีท่านแม่ทัพหั่วอี้อยู่ เ้ากลัวอันใด?”
เหล่านักรบเจ็ดแปดคนที่ห้อมล้อมอยู่ได้รับคำสั่งให้อยู่คอยคุ้มกันนางที่นี่เดิมทีพวกเขาไม่ยินยอมมาเพื่อปกป้องสตรีชาวต้าเว่ย กลับกันแล้ว แทบรอไม่ไหวที่จะให้พวกนางถูกโจรป่าเอาตัวไปเสียด้วยซ้ำเพราะแคว้นชางอี้ของพวกเขา้าจะแต่งงานสานสัมพันธ์กับสตรีชาวต้าเว่ยผู้นี้ั้แ่เมื่อใดกันแคว้นชางอี้มีแม่ทัพหั่วอี้ผู้ห้าวหาญองอาจอยู่แล้วถัดลงมาก็มีทหารกล้าเรือนหมื่นที่มีใจกลมเกลียว ย่อมไม่เชื่อว่าวันหนึ่งในอีกไม่ช้าก็เร็วจะไม่สามารถยึดครองแคว้นต้าเว่ยอันกระจ้อยร่อยนี่ได้
เมื่อได้ยินว่าสาวใช้ตัวน้อยขลาดกลัวถึงเพียงนี้ทุกคนอดขำไม่ได้แต่ก็คร้านจะเอ่ยสิ่งใด แต่เมื่อจู่ๆได้ยินองค์หญิงแห่งต้าเว่ยออกปากมาเช่นนี้พวกเขาก็เกิดความรู้สึกชื่นชมนางขึ้นมาหลายส่วนในทันใด หากไม่ใช่เพราะพวกเขามาได้ยินนางปลอบโยนสาวใช้ของตนด้วยท่าทีสงบเยือกเย็นพวกเขาก็จะต้องนึกว่าองค์หญิงพระองค์นี้เป็ของไร้ค่าแห่งต้าเว่ยเป็แน่
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ผลอิงเถา คือ ลูกเชอร์รี่