มู่หรงฉือได้รับาเ็ ตามเหตุผลแล้วควรพักผ่อนให้มาก
เสิ่นจือเหยียนรู้ว่าถึงเวลาที่ควรจะจากไปแล้ว จึงทูลลาองค์รัชทายาทกับอวี้หวาง อีกทั้งยังนัดเวลากันว่าพรุ่งนี้่สายจะไปดูที่พักของเสี่ยวยิน
หลังเขาจากไปแล้ว มู่หรงฉือก็มองไปทางมู่หรงอวี้ ดวงตาดำทั้งสองเขียนชัดเจนว่า : เ้ายังไม่ไปหรือ? จะอยู่ทานอาหารมื้อดึกหรืออย่างไร?
มู่หรงอวี้ทำท่าทางสบายๆ เหมือนไม่อยากอยู่ห่างจากเก้าอี้แกะสลักตัวนี้ ราวกับอยากจะนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนี้ไปชั่วชีวิต
ความจริงแล้วนางนับถือสมาธิกับจิตใจอันยากคาดเดาของเขา หลายวันมานี้ทั้งในวังหลวงและในเมืองมีแต่ข่าวลือเต็มไปหมด เพลงนั้นยิ่งแพร่กระจายไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตามโรงเตี๊ยมร้านน้ำชาเหล่าบัณฑิตสุภาพชนต่างพูดถึงเื่นี้กันโดยไม่ได้นัดหมาย เสนาบดีใหญ่ในราชสำนักต่างพากันคาดเดาไปมากมาย เขาผู้ซึ่งเป็ตัวเอกถูกคาดเดา เป็ที่ถกเถียง ทว่าเขากลับนิ่งเฉยเหมือนปกติ ยังคงสามารถตัดสินใจเป็ตายได้ในพริบตาเดียว ยังคงทำให้ข้าราชบริพารนับร้อยยอมจำนนได้เพียงอึดใจ ยังคงเป็ผู้สำเร็จราชการแทนที่มีชื่อเสียงเื่ความแข็งแกร่ง ยังเป็ผู้ที่ทำให้ประชาชนและขุนนางหวาดกลัวเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยคนเดิม
สายลับที่คอยจับตาดูเขารายงานว่า เขายังเข้าประชุมเหมือนเดิม อ่านฎีกาเหมือนเดิม กลับจวนตามปกติไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าไม่ว่าจะเป็เื่ใด หรือใครก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อเขาได้ เช่นเดียวกับูเาไท่ซานก่อนจะพินาศก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใด
ที่นางไม่เข้าใจก็คือ เื่เพลงนั้น การคาดเดา และการถกเถียงทั้งหลายเ่าั้เขาไม่ใส่ใจจริงๆ หรือ?
นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่แอบส่งคนไปตรวจสอบคดีที่น่าสงสัยกับคดีฆาตกรรมเ่าั้
“เปิ่นกงเหนื่อย อยากจะพักผ่อนแล้ว เชิญท่านอ๋องตามสบาย”
นางพูดเสียงเย็น เขาอยากจะนั่งนานเท่าไหร่ก็นั่งไปเถิด นางคร้านจะสนใจ
เขายืนขึ้น ร่างกายสูงใหญ่ทำให้ห้องตำราที่กว้างขวางเล็กลงทันที “เตี้ยนเซี่ย หากพรุ่งนี้ค่อยไปที่พักของเสี่ยวยิน ถึงแม้จะเป็เพียงคืนเดียว แต่ก็เพียงพอให้ผู้สมรู้ร่วมคิดกับเขาทำลายเบาะแสได้แล้ว”
“ท่านอ๋องอยากจะไปตอนนี้?” นางแอบบ่นอุบ เมื่อครู่ตอนที่เสิ่นจือเหยียนอยู่ เหตุใดเขาถึงไม่พูดออกมาเล่า?
“เปิ่นหวางจะไปตอนนี้ เตี้ยนเซี่ยจะไปหรือไม่ก็ตามใจ”
มู่หรงอวี้ก้าวออกไปด้านนอก ฝีเท้าว่องไวราวสายลม ราวกับมั่นใจเป็อย่างยิ่งว่านางจะต้องตามมา
นางลังเลอยู่เล็กน้อยจริงๆ ถึงแม้จะไม่อยากจะไปกับเขาเพียงลำพัง แต่ก็ไม่อยากสูญเสียความเป็ไปได้ที่จะพบเบาะแสไป
เขาจงใจ!
ตอนที่เสิ่นจือเหยียนอยู่ไม่พูด มาพูดเอาตอนนี้!
น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!
เมื่อทำอะไรไม่ได้ มู่หรงฉือก็เลือกที่จะคว้าโอกาสอันดีนี้ไว้ รีบดื่มยาที่หรูอี้เอามาก่อนจะรีบสาวเท้าตามไป
มู่หรงอวี้รออยู่ที่ด้านนอกประตูตำหนักบูรพา ร่างสูงใหญ่ยืนเป็สง่า แสงไฟสีแดงปกคลุมตัวเขา ชุดสีดำปักดิ้นทองเล่นไฟจนส่องประกายออกมาเล็กน้อย ยิ่งทำให้เขาดูลึกลับ
“ไปกันเถิด”
นางเหม่อไปชั่วขณะ รู้สึกเสียใจภายหลังกับการตัดสินใจของตนเอง แต่ก็ยังเดินไปด้านหน้า
ความจริงแล้วพวกเขาควรจะนั่งเกี้ยวไป อย่างไรจากตำหนักบูรพาไปถึงที่พักของข้าหลวงก็ไกลไม่น้อย แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรนางก็ชอบเดิน ถูกคนแบกให้ความรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยนัก ทั้งยังลดความรู้สึกระแวดระวังตื่นตัวลงไป
ทั่วทั้งวังหลวงจุดไฟส่องสว่าง แสงไฟสีทองเรืองรอง เส้นทางเชื่อมของตำหนักราวอาบอยู่ในทะเลเพลิง
เส้นทางในวังมีทั้งตรงและคดเคี้ยว แสงเงาทางซ้ายขวาขยายม้วนออกไป ที่เท้าเป็ประหนึ่งเส้นทางอันยาวไกลของชีวิตมนุษย์ เต็มไปด้วยแสงดาบ ฝนโลหิตและกลิ่นคาวเือันคละคลุ้ง
นางไม่ได้ตัวคนเดียว เขาเองก็เช่นกัน
นางคือหนามที่คอยทิ่มตาแทงใจของเขา เขาเองก็เป็อุปสรรคชิ้นใหญ่ที่สุด เป็ศัตรูของนาง แต่พวกเขากลับเดินอยู่ในเส้นทางเดียวกัน ทั้งต้องร่วมมือกันและเข่นฆ่ากันเอง
มู่หรงฉือจู่ๆ ก็รู้สึกว่านี่ช่างไร้เหตุผลเหลือเกิน ที่มีวันนี้คืนนี้ วันที่นางกับมู่หรงอวี้เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันในวัง โดยที่ข้าหลวงข้างกายสักคนก็ไม่มี
นางมองตรงไปข้างหน้า ส่วนเขาก็เดินอย่างมั่นคง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดินไปเดินมา แขนเสื้อที่ปักดิ้นทองของเขาก็แฉลบมาโดนแขนเสื้อที่ปักด้วยดิ้นเงินของนาง ภายใต้สายลมอ่อนๆ ในคืนฤดูร้อน แขนเสื้อสีดำกับสีทองขยับแตะเข้าด้วยกัน ถูกันไปถูกันมา พัวพันแยกจาก แล้วหวนเข้าใกล้กันอีกครั้ง หลอมรวมกันและกัน ห่างๆ ชิดๆ สุดท้ายก็แยกจากกันไป
ดั่งความรู้สึกเกี่ยวพันอันยากจะขจัดออกไปของบุรุษกับสตรี นับั้แ่ความรู้สึกเริ่มก่อร่างสร้างตัวจนร้อยพันรัดรึงกัน กลายเป็ช่วยเหลือกันและกันจนแก่เฒ่า ถึงยามนั้นชีวิตคนเราก็เดินไปจนถึงบั้นปลายแล้ว
มู่หรงอวี้มีความสามารถในการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา เขาย่อมััการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยได้ ที่แขนเสื้อของพวกเขาัักันย่อมต้องรู้สึกได้แน่นอน
มือใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกว้างขยับเล็กน้อยราวกับกำลังควานหาอะไรอยู่ โดยที่ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าตนเองจะทำเช่นนี้
มู่หรงฉือใที่พวกนางอยู่ใกล้กันมาก จึงขยับออกไปด้านข้างสองก้าว
มือของเขาจึงคว้าได้เพียงอากาศ
ในใจพลันเกิดความรู้สึกว่างเปล่าอยู่เล็กน้อย
เสี่ยวยินติดตามจิ้นเซิงดูแลตำหนักเฟิ่งเทียน ไม่ได้พักอยู่กับข้าหลวงคนอื่น แต่พักกับจิ้นเซิงในบ้านพักที่ค่อนข้างห่างไกลและคับแคบ
เพราะมีเพียงพวกเขาสองคน จิ้นเซิงจึงพักห้องหนึ่ง เสี่ยวยินก็พักอีกห้องหนึ่ง
พวกเขาสอบถามข้าหลวง ในที่สุดก็หาห้องพักเล็กๆ ห้องนั้นเจอ จิ้นเซิงไม่อยู่ พวกเขาจึงเข้าไปในห้องของเสี่ยวยินแล้วจุดตะเกียงน้ำมัน
ภายในห้องสะอาดสะอ้าน มีเตียงไม้หนึ่งหลัง ตู้เสื้อผ้าเตี้ยๆ หนึ่งหลัง หีบไม้หนึ่งหีบ โต๊ะเล็กหนึ่งตัวกับเก้าอี้สองตัว นอกจากนั้นก็ไม่มีอย่างอื่นแล้ว บนเตียงวางผ้าห่มผืนบางกับหมอนเอาไว้ ทุกอย่างพับไว้อย่างสะอาดเรียบร้อย โต๊ะเล็กเองก็ว่างเปล่า แม้แต่กาน้ำชาก็ไม่มี
“ที่พักของบุรุษคนหนึ่งไม่ควรจะสะอาดสะอ้านเพียงนี้ เหมือนมีคนทำความสะอาดไปแล้ว” มู่หรงฉือเปิดตู้เสื้อผ้า ด้านในมีเสื้อขันทีหลายตัวกับผ้าหนึ่งผืน แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก
“พวกเรามาช้าไป ผู้สมรู้ร่วมคิดของเสี่ยวยินลงมือรวดเร็วนัก” มู่หรงอวี้หยิบผ้าห่มผืนบางกับหมอนขึ้นมา ค้นหาความเป็ไปได้ที่เบาะแสจะหลงเหลืออยู่ “เสี่ยวยินหอบความคิดว่าจะต้องตายไปลอบสังหารเ้า บางทีก่อนที่จะลงมือก็ทำความสะอาดห้อง ทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปจนหมดแล้ว”
ไม่ได้อะไรมาเลย
พวกเขามองตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จากนั้นก็จากไป
ผืนฟ้ากว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ด้ายสีดำราวน้ำหมึกแห่งค่ำคืนถักทอจนเต็มแผ่นฟ้า ดวงดาวค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า
เหมือนกับตอนที่มา พวกเขาเดินเคียงกันไป ตลอดทางไม่มีการพูดจา มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านหูไป
จู่ๆ มู่หรงฉือก็พูดขึ้น “นี่ก็ดึกแล้ว ท่านอ๋องยังไม่กลับจวนหรือ?”
“หลังจากส่งเ้ากลับตำหนักบูรพา เปิ่นหวางค่อยออกจากวัง” ใบหน้าขาวของมู่หรงอวี้พลันเปล่งประกายขึ้นมาทันที “ใช่แล้ว เสิ่นเซ่าชิงได้ตรวจสอบว่าเสี่ยวยินชำระล้าง[1]แล้วหรือไม่?”
“เหตุใดท่านอ๋องถึงได้พูดเื่นี้ออกมาหรือ?” แก้มของนางแดงขึ้นมาเล็กน้อย เดิมทีทั้งตัวเย็นสบาย จู่ๆ ก็รู้สึกร้อนขึ้นมาทั้งตัว “จือเหยียนไม่ได้ตรวจสอบเื่นี้”
“ศพของเสี่ยวยินเก็บเอาไว้ที่ใด?”
“ที่ตำหนักบูรพา”
มู่หรงอวี้ก้าวเท้าจนแทบจะเรียกได้ว่าบินไป มู่หรงฉือก็รีบก้าวตามไปอย่างว่องไว
เื่ที่เสี่ยวยินลอบสังหารเป็เื่ใหญ่ ดังนั้นนางจึงสั่งให้ข้าหลวงเอาศพของเสี่ยวยินเก็บไว้ในห้องที่ห่างไกลที่สุดในตำหนักบูรพาก่อน อากาศร้อนเช่นนี้ศพจะเน่าเสียได้ง่ายมาก นางจึงทำตามคำสั่งของเสิ่นจือเหยียน โดยให้ข้าหลวงเอาศพใส่ลงไปในโลงไม้ ด้านในก็ใส่น้ำแข็งเข้าไปสักหน่อย
ครั้นเดินไปถึงห้องนั้น องครักษ์ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเห็นพวกเขาก็รีบทำความเคารพทันที
เมื่อรู้ว่าองค์รัชทายาทกับอวี้หวางจะตรวจสอบศพ พวกเขาก็รีบจุดไฟ จากนั้นก็เปิดฝาโลงไม้ออก
“เ้าตรวจสอบดูว่าเสี่ยวยินถูกตัดองคชาติ[2]ออกไปแล้วหรือไม่?” มู่หรงอวี้สั่งองครักษ์
“ขอรับ?”
องครักษ์คนหนึ่งเบิกตากว้าง องครักษ์อีกคนหนึ่งใตะลึงค้าง เห็นศพเน่าได้พอสมควรแล้ว ตอนนี้จะให้พวกเขามาแตะต้องศพ? เช่นนี้พวกเขาจะต้องโชคร้ายไปทั้งปีนะ!
มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น “หรือว่าพวกเ้าจะให้อวี้หวางลงมือด้วยตนเอง?”
องครักษ์ทั้งสองคนรีบเดินเข้ามา ไม่มีความลังเลอีก หากทำให้อวี้หวางโกรธจะต้องไม่มีเื่ดีตามมาแน่!
มู่หรงอวี้สีหน้าเ็า ไม่ได้พูดอะไรออกมา ท่าทางอันน่าเกรงขามแม้ไม่ได้โกรธทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกขนลุก
พวกเขายื่นสองมือสั่นเทาไปแกะเชือกมัดเอวของเสี่ยวยิน แล้วถอดกางเกงออก...
มู่หรงฉือค่อยๆ หันหน้าไป ไม่มองภาพนี้
มู่หรงอวี้ยกยิ้มน้อยๆ การคาดเดาในใจได้รับการยืนยันเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
“อ๊ะ!” องครักษ์สองคนใ “ท่านอ๋อง เตี้ยนเซี่ย เสี่ยวยินไม่ได้ตัดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงอวี้ยกตะเกียงน้ำมันเข้าไปใกล้โลงไม้ แล้วโยนตะเกียงลงไป “เสี่ยวยินไม่ได้ตัดจริงๆ”
จากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากห้อง แสงไฟสั่นไหวในความมืดทำให้เงาของพวกเขายืดยาว
มู่หรงฉือถามด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านอ๋องถึงเดาได้ว่าเสี่ยวยินไม่ได้ตัดองคชาตทิ้ง?”
เสิ่นจือเหยียนกับนางต่างคิดไม่ถึงจุดนี้ แต่มู่หรงอวี้กลับคิดได้ เหตุใดเขาถึงคิดถึงเื่นี้ขึ้นมาได้?
“แค่ลางสังหรณ์ เปิ่นหวางเองก็ไม่แน่ใจว่าเสี่ยวยินตัดไปแล้วหรือไม่” ภายใต้เงามืด ั์ตาสีดำของมู่หรงอวี้ทอประกายสีดำลึกล้ำ “ดูเหมือนว่าฉางชิงจะปกปิดเื่บางอย่าง”
“เื่ราวจะล่าช้าไม่ได้ สั่งให้คนไปเรียกตัวเขามา” นางรีบสั่งการทันที
“เปิ่นหวางจะสั่งคนให้ไปจับฉางชิงมา ยามนี้ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว พรุ่งนี้ค่อยสอบสวน” ตำหนักใหญ่อยู่ใกล้แค่คืบ เขาหยุดฝีเท้า “เตี้ยนเซี่ยรีบพักผ่อน”
“กลางคืนยังอีกยาวไกล สอบสวนตอนกลางคืนเลยจะดีกว่า”
แล้วมู่หรงฉือก็สั่งให้องครักษ์ไปจับฉางชิง
...
ในห้องตำราจุดไฟสว่างไสว หรูอี้ยกชามาสองถัวย จากนั้นก็ออกไป
ครั้งนี้ มู่หรงฉือเข้าไปยึดที่ประจำของตนก่อน โดยการนั่งลงหน้าโต๊ะ แล้วหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาอ่าน
แต่ว่า มีคนใหญ่โตขนาดนี้อยู่ที่นี่จะไปอ่านได้อย่างไร?
มู่หรงอวี้ดื่มน้ำชาจนหมดก่อนจะวางถัวยชาลง จากนั้นจึงเดินไปทางด้านหลังนาง ซึ่งด้านหลังโต๊ะหนังสือเป็ตู้หนังสือทั้งกำแพง บางทีเขาอาจจะอยากหาหนังสืออ่าน
การที่เปิดช่องว่างด้านหลังทั้งหมดให้กับอีกฝ่าย เป็สิ่งที่นางไม่อาจยอมรับได้ ทั้งยังทำให้นางใจนหัวใจแทบกระดอนออกมา
นางจึงเหมือนนั่งอยู่บนเข็ม นั่งอย่างไรก็นั่งไม่สุข ช่างยากลำบากเหลือเกิน
“ท่านอ๋อง ฉางชิงไม่ได้ทำการตัดให้เสี่ยวยินเป็เพราะไม่ได้ใส่ใจจนหมางเมินเื่นี้ไป หรือว่าจงใจให้เป็เช่นนี้? สถานะของเสี่ยวยินน่าสงสัยหรือไม่?” นางหาหัวข้อสนทนาเพื่อทำลายบรรยากาศ พยายามดึงดูดให้เขาย้ายมาทางด้านหน้า
“สถานะของเสี่ยวยินน่าสงสัยจริงๆ หรือบางทีอาจไม่ได้มีเื้ัเรียบง่ายอย่างฉางชิง” ในมือมู่หรงอวี้ถือหนังสือเล่มหนึ่ง เขานั่งลงบนขอบมุมโต๊ะ หันหน้าเข้าหานาง ขายาวพาดไปทางตู้หนังสือ
มู่หรงฉือหงุดหงิดจนแทบกระอัก ในที่สุดก็ทำให้เขาออกห่างจากตู้หนังสือได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนมาเป็สถานการณ์เช่นนี้
นางพูดอย่างครุ่นคิด “หากสถานะของเสี่ยวยินไม่ได้เป็เพียงขันทีธรรมดา เช่นนั้นฉางชิงก็จงใจปกปิด หรือฉางชิงเป็ผู้สมรู้ร่วมคิด? ฉางชิงจะเกี่ยวข้องกับคดีพวกนั้นหรือไม่?”
เขาก้มลงมองนาง “อีกไม่นานก็จะมีผลสรุปแล้ว”
แสงอบอุ่นในความมืดสลัว ขับให้ใบหน้าของนางราวถูกถักทอขึ้นมาจากหิมะ ดวงตาทั้งสองเหมือนใบบัวที่มีน้ำค้างอยู่้า สะท้อนสีแดงสดใส
เขาจมอยู่ในความหลงใหล จดจ้องดวงตาที่สามารถส่องิญญาของคนให้สว่างขึ้นมาได้ด้วยความสงสัย
นางพลันคิดถึงค่ำคืนนั้นที่ตำหนักชิงหยวน ภาพที่ตนเข้าไปจุมพิตเขาด้วยตนเองตรงหน้าเตียง คิดถึงความอุ่นร้อนที่แลกเปลี่ยนกัน ริมฝีปากและเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัด ลมหายใจที่แลกเปลี่ยนกัน คิดถึงเขาที่กอดนางแน่นราวจะกดให้นางจมเข้าไปในอ้อมกอด คิดถึงเืลมอันพลุ่งพล่าน หัวใจก็อดพองฟูขึ้นมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมกระดูกถึงได้อ่อนปวกเปียก ร้อนรุ่มไปทั้งร่าง มีไอร้อนพวยพุ่งขึ้นมา
แต่ว่า เพียงครู่เดียวนางก็ได้สติ แล้วถลึงตามองตัวหนังสือในหนังสือ
มู่หรงอวี้พบว่าใบหน้า ลำคอขาวผ่องและใบหูของนางขึ้นสีแดงแปลกๆ บางทีอาจจะถูกแสงสะท้อนของไฟย้อมจนแดง เหมือนกับไฟยามฤดูร้อน งดงามเหมือนดอกไม้ฤดูร้อน เป็เสน่ห์เย้ายวนอันไร้สุ้มเสียง
ในชั่วขณะนี้ หัวใจของเขาสั่นไหว ไม่เป็ตัวเอง
ในตอนนี้ องครักษ์ก็กลับเข้ามารายงาน “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาท ฉางชิงตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตายอยู่ในที่พักของเขา”
มู่หรงอวี้กับมู่หรงฉือสบตากัน บังเอิญขนาดนั้นเชียว!
“ไปดูกัน”
เขารีบลุกขึ้นเดินไปด้านนอกทันที นางก็รีบวิ่งออกไป
เขาเองก็ไม่ชินที่จะนั่งเกี้ยว อยู่ในวังก็ชอบเดินเท้าเอา ตอนนี้เขาเดินเร็วๆ ออกจากตำหนักบูรพา แล้วก็คิดได้ว่าด้านหลังยังมีเตี้ยนเซี่ยอยู่จึงหยุดฝีเท้าลง
มู่หรงฉือเป็สตรี บวกกับแขนยังได้รับาเ็ มีหรือจะตามทัน?
นางหายใจหอบตามเขามา ยังไม่ทันได้ผ่อนลมหายใจก็ถูกเขาคว้าเข้าที่มือเล็กแล้วสาวเท้าราวกับบินเดินไปด้านหน้า
เชิงอรรถ
[1] ชำระล้าง อีกความหมายคือ การตัดองคชาติสำหรับผู้ที่จะเป็ขันที ถือเป็การชำระร่างกายให้สะอาดก่อนเป็ขันที
[2] การตัดองคชาตทิ้งเป็ขั้นตอนของการเป็ขันทีของผู้ชาย ซึ่งโดยปกติคนที่อยากจะมาเป็ขันทีจะต้องตัดส่วนที่ใช้สืบพันธุ์ทิ้ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้