“โอ้...”
หลิวเป่าสวมชุดขุนนางผ้าแพรต่วนสีดำ บนชุดปักลายเหยี่ยวบินแววตาดุดัน ส่วนชายล่างของชุดปักลายสุนัขป่าแยกเขี้ยวขู่คำราม สัญลักษณ์ของเหยี่ยวและสุนัข สื่อความหมายถึงข้ารับใช้ของฮ่องเต้
“ข้าน้อยตรวจสอบแล้ว อวิ๋นฉี่เยว่ผู้นี้เดิมเป็ชาวเมืองหลวง ต่อมาได้ติดตามบิดามารดากลับบ้านเกิด จากนั้นก็ได้ช่วยชีวิตฉู่อี้ เจิ้นหย่วนโหว ฉู่อี้จึงทุ่มเงินจ้างตั่งคั่วกับหม่าจื้อหลินไปช่วยครอบครัวของเขาก่อสร้างบ้านเรือน ต่อมาตั่งคั่วกับหม่าจื้อหลินก็รับตัวเขาและน้องชายเป็ศิษย์ ครั้งนี้อวิ๋นฉี่เยว่ติดตามหม่าจื้อหลินเข้าเมืองหลวงเพื่อคอยดูแล และคนที่เขาซื้อไว้ เป็สหายเก่าของเขาขอรับ”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็นของหลิวเป่าเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน เขากำลังเขียนบางอย่างอยู่พอดี เมื่อฟังลูกน้องรายงานจบก็เขียนเสร็จพอดี เขาโยนพู่กันลงในกระบอกล้างพู่กัน พลางเอามือไพล่หลังเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปข้างนอก ดวงตาคมกล้าดุจเหยี่ยวหรี่ลงเล็กน้อยเพื่อจ้องมองไปยังที่ไกล
“เพื่อทดแทนบุญคุณ ฉู่อี้ลงทุนมากจริงๆ! ไม่ต้องเสียเวลาไปกับคนแซ่หม่าแล้ว เรียกคนกลับมาเถอะ”
“ใต้เท้าช่างหลักแหลมยิ่งนัก คนแก่กับเด็กสองคนนั้นไม่รู้จักคิด รอบนี้ใครๆ ก็ไม่กล้าโผล่มา แต่พวกเขากลับกล้าออกมา แท้จริงก็เป็เพียงคนโง่เขลาเบาปัญญาสองคน” หลิวเป่าโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ องครักษ์อินทรีดำรีบถอยออกไป
ภายในโรงเตี๊ยม อวิ๋นฉี่เยว่กำลังรายงานเื่นี้กับอาจารย์หม่า “...ท่านอาจารย์ เื่คนตระกูลโหลวสายตรง ศิษย์ไร้ความสามารถ ไม่กล้าต่อกรกับผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวง จึงได้แต่ซื้อตัวครอบครัวโหลวจวิ้นชิงที่เป็ญาติห่างๆ ของตระกูลโหลว และเป็สหายของศิษย์กลับมาเท่านั้นขอรับ”
อาจารย์หม่าทานยาแล้ว ร่างกายจึงดีขึ้นมาก เขาถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ลำบากเ้าแล้ว เ้าทำได้ดีมาก เื่ที่เกิดขึ้นในตลาด ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จับตามองอยู่ เ้ามีบิดามารดาและพี่น้อง ไม่ควรเอาครอบครัวมาเสี่ยงอันตรายเพราะคนไม่เกี่ยวข้องเช่นนี้ การกระทำเช่นนี้ถือว่ารอบคอบแล้ว อีกสองวัน รอให้ข้าหายดีแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางกลับหมู่บ้านไหวซู่กันเถิด”
อวิ๋นฉี่เยว่รับคำทันที “ขอรับ ท่านอาจารย์ ศิษย์จะรีบไปเตรียมตัว”
สองวันต่อมา อวิ๋นฉี่เยว่และอาจารย์หม่าก็ออกเดินทางกลับบ้านเกิด เนื่องจากมีคนรับใช้เพิ่มขึ้นมา บวกกับคนตระกูลโหลวจึงต้องจ้างรถม้าเพิ่มอีกสองคัน
ระหว่างทางผ่านเมืองเฟิ่งเสียง อวิ๋นฉี่เยว่จึงแวะพักอยู่หลายวันเพื่อจัดการเื่ซื้อร้านค้า ส่วนอาจารย์หม่าก็ถือโอกาสไปเยี่ยมสหายเก่า หลังจากนั้นอาจารย์และศิษย์ก็ออกเดินทางกลับบ้าน
หมู่บ้านไหวซู่ อากาศแจ่มใส แสงแดดรำไร ครอบครัวของอวิ๋นเจียวก็ออกเดินทางไปเมืองจิ่วเจียงเช่นกัน ทิ้งหมู่บ้านไหวซู่ไว้เื้ั
รถม้าที่ได้รับการดัดแปลงมีความมั่นคงและรวดเร็วกว่าเดิม แถมยังช่วยลดแรงของม้าที่ลากไปได้ด้วย อวิ๋นโส่วจงเป็สารถีด้วยตัวเอง ส่วนฟางซื่อกับอวิ๋นเจียวนั่งคุยกันอยู่ในรถม้า บางครั้งก็จะเปิดม่านรถม้าขึ้นมาชมทิวทัศน์ข้างทาง
“รถม้าที่ถูกดัดแปลงแล้วช่างแตกต่างจริงๆ ไม่เพียงแต่เร็วขึ้นเท่านั้น ยังนั่งสบายอีกด้วย”
อวิ๋นเจียวยิ้มแล้วพูดว่า “พี่รองของข้าเก่งที่สุด สิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาไม่มีทางแย่แน่นอนเ้าค่ะ”
ฟางซื่อโอบกอดนางพลางกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะความคิดของเ้ากับหนังสือที่เ้าให้เขา พี่รองของเ้าจะไปคิดเื่พวกนี้ได้อย่างไรกัน?”
อวิ๋นเจียวซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของฟางซื่อ ดื่มด่ำกับความรักใคร่ที่แสนอบอุ่น “ข้าี้เีนัก แค่อยากนั่งรถม้าให้สบายขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น ส่วนหนังสือพวกนั้นข้าบังเอิญไปเห็นคนอื่นกำลังจะเผาทิ้ง รู้สึกเสียดายจึงซื้อมา ไม่คิดเลยว่าพี่รองจะนำไปใช้ได้ สำหรับข้าหนังสือพวกนั้นเป็ดั่งตำราจากสรวง์ แม้แต่พี่ใหญ่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจ เพียงแต่พี่รองมีพร์ด้านนี้จริงๆ นะเ้าคะ”
“ฮ่าๆๆ ในบ้านเราก็มีแต่เ้าที่ชอบพูดจาหวานหู ต่อไปนี้รถม้าก็จะเป็รายได้อีกทางหนึ่งของครอบครัวเรา ไม่นึกเลยว่าหลังจากกลับมาที่หมู่บ้านไหวซู่ชีวิตของพวกเราจะดีขึ้นทุกวันๆ ตอนที่อยู่ในเมืองหลวงเทียบไม่ได้เลยจริงๆ”
กล่าวจบก็เห็นว่าอวิ๋นเจียวมีท่าทางง่วงนอน ฟางซื่อจึงรีบเก็บโต๊ะน้ำชา จากนั้นก็ดึงโต๊ะเก้าอี้มาต่อกันเป็เตียง “พวกเราแม่ลูกนอนพักกันสักหน่อยเถิด ยังอีกนานกว่าจะถึง”
อวิ๋นเจียวพยักหน้า แม้ในร่างนี้จะเป็จิติญญาของผู้ใหญ่ แต่ร่างกายยังคงเป็เด็กจึงเหนื่อยง่าย ไม่นานอวิ๋นเจียวก็ผล็อยหลับไป ทว่านางหารู้ไม่ว่ามีรถม้าอีกคันหนึ่งกำลังตามมาอยู่ห่างๆ
จางหลิงควบม้าคุ้มกันอยู่ด้านนอก สารถีที่ขับรถม้าก็เป็มือฉมัง ทุ่มเททักษะทั้งหมดเพื่อเร่งความเร็ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังไล่ตามรถม้าของอวิ๋นเจียวไม่ทัน ทั้งยังทิ้งห่างไปเรื่อยๆ
สีหน้าของฉู่อี้ที่นั่งอยู่ในรถม้าก็ไม่สู้ดีนัก แม้ว่าภายในรถม้าจะตกแต่งอย่างสะดวกสบาย แต่ก็ทนแรงสั่นะเืจากรถม้าไม่ไหว ยิ่งเร็วก็ยิ่งสั่นะเืมากขึ้นเท่านั้น
“ยังตามไม่ทันอีกหรือ?”
สารถีทำหน้าขมขื่น “ท่านโหว มองไม่เห็นรถม้าของพวกเขาแล้วขอรับ”
ฉู่อี้: ...
เขารู้ดีว่าฝีมือขององครักษ์ใต้บังคับบัญชาของเขานั้นไม่ธรรมดา และเขาก็รู้ดีว่าตอนนี้รถม้าของเขานั้นเร็วแค่ไหน แต่ก็ยังไล่ตามรถม้าของอวิ๋นเจียวไม่ทัน หรือว่ารถม้าของพวกเขาจะบินได้หรืออย่างไร?
“จางหลิง ส่งคนไปตามพวกเขา อย่าให้พวกคนที่ไม่รู้อะไรบังอาจไปรบกวนพวกเขาได้”
“ขอรับ ท่านโหว!” เมื่อได้รับคำสั่งจางหลิงก็ทำสัญญาณมือ ทันใดนั้นก็มีองครักษ์สี่คนปรากฏตัวขึ้นจากป่าข้างทางแล้วควบม้าจากไปอย่างรวดเร็ว
ต่อให้รถม้าจะเร็วแค่ไหนก็เร็วไม่เท่ากับม้าที่ไม่ได้บรรทุกสัมภาระมากมาย ประมาณสองเค่อ [1] ต่อมา องครักษ์ชุดธรรมดาคนหนึ่งก็รีบกลับมาจากทางเบื้องหน้า
สารถีรีบหยุดรถม้า องครักษ์คนนั้นะโลงจากหลังม้า คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ประสานมือพลางเอ่ยรายงาน “เรียนท่านโหว หมู่บ้านข้างหน้าเกิดโรคระบาด เส้นทางเข้าเมืองจิ่วเจียงถูกปิดตาย รถม้าของตระกูลอวิ๋นเพิ่งเข้าไปในเขตนั้น และถูกปิดล้อมอยู่ข้างในขอรับ!”
“อะไรนะ? รถม้าของตระกูลอวิ๋นถูกปิดล้อมอยู่ในเขตโรคระบาดงั้นหรือ?” ฉู่อี้รีบเปิดม่านรถม้าออก ใบหน้าเ็าเอ่ยถาม
“ขอรับ ท่านโหว พวกเขาเพิ่งเข้าไปในเส้นทางนั้นก็ถูกปิดล้อม ข้าน้อยไร้ความสามารถ ไล่ตามไม่ทัน ขอท่านโหวลงโทษ!” เห็นรถม้าอยู่รำไรแล้วแท้ๆ แต่กลับ...
องครักษ์คนนั้นใจคอไม่สงบ ไม่รู้ว่าท่านโหวจะลงโทษเขาอย่างไร
“ท่านโหว ข้างหน้าเกิดโรคระบาด พวกเรากลับ...”
“ไปต่อ! รีบไป!” จางหลิงยังพูดไม่ทันจบ ฉู่อี้ก็สั่งตัดหน้า
ทุกคนที่ได้ยินต่างใจนคุกเข่าลง “ขอท่านโหวโปรดไตร่ตรอง!” ข้างหน้านั่นเกิดโรคระบาด ผู้คนต่างก็หลบเลี่ยง แต่ท่านโหวของพวกเขากลับอยากจะเข้าไปหากติดโรคระบาดขึ้นมาจะทำเช่นไร
“พวกเ้าคิดจะขัดคำสั่งข้าหรือ?” น้ำเสียงเย็นเยียบของฉู่อี้ดังขึ้น ทุกคนต่างตัวสั่น รีบกล่าวว่า “ไม่กล้าขอรับ!”
“ออกเดินทาง!”
“ขอรับ ท่านโหว!”
ทันทีที่รถม้าหยุดลง อวิ๋นเจียวก็ตื่นขึ้น นางขยี้ตาพลางถามว่า “ท่านพ่อ เกิดเื่อะไรขึ้นหรือเ้าคะ?”
อวิ๋นโส่วจงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ไม่รู้เหมือนกัน ทางการปิดเส้นทางแล้ว”
ปิดเส้นทาง? อวิ๋นเจียวรีบเปิดม่านรถม้าออกไปมอง เห็นธงสีขาวปักเรียงรายอยู่ริมทาง มีเศษเงินกระดาษปลิวว่อนอยู่เต็มไปหมด ไกลออกไปนางถึงกับเห็นศพอยู่หนึ่งหรือสองศพ อวิ๋นเจียวพลันใ!
“ท่านพ่อ เกิดโรคระบาดหรือเ้าคะ?”
“ไม่รู้สิ พวกเรากลับรถ!”
รถม้าหันกลับทันที แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวก็ไปต่อไม่ได้ เส้นทางด้านหลังถูกปิดตายแล้ว ทหารกลุ่มหนึ่งใช้วัสดุจากรอบๆ ตัดต้นไม้จำนวนมากมากั้นเป็กำแพงขวางถนนไว้ ทั้งหมู่บ้านถูกปิดล้อมอย่างแ่า ไม่มีทางเข้าออก
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยถาม “ขออภัยนายท่าน ที่นี่เกิดเื่อะไรขึ้นหรือขอรับ?”
“หลีกไปๆ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าดาบในมือข้าไม่ปรานี!”
เชิงอรรถ
[1] เค่อ (刻) หนึ่งเค่อเท่ากับเวลาประมาณ 15 นาที