กู้เจิงนั่งยองๆ อยู่หน้าเตาคอยควบคุมอุณหภูมิไฟการทำอาหารส่วนที่เหลือชุนหงล้วนเป็คนทำ นางแต่งเข้าตระกูลเสิ่นมาหลายวันได้เรียนรู้หลักการมาไม่น้อย แต่ในทางปฏิบัติก็ต้องยกให้ชุนหง
ตอนกลางคืนมีคนมารวมกันที่บ้านเยอะมาก นายท่านเสิ่นจึงให้ยกโต๊ะแปดเซียน* ออกมาตั้งเพื่อรับประทานอาหารร่วมกันเมื่อได้เวลาทุกคนก็ตรงกันเข้าไปในห้องครัว บนโต๊ะมีอาหารตั้งพร้อมอยู่มากมายแล้ว
(*เป็โต๊ะที่นั่งได้มากสุดแปดคนโดยมีม้านั่งยาวทั้งสี่ด้านของโต๊ะ)
นอกจากนายหญิงเสิ่น กู้เจิง และชุนหงคนที่เหลือล้วนชอบดื่มเหล้าเหลืองกันความสามารถในการดื่มสุราของป้าใหญ่และป้ารองไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกลุงใหญ่เลยสักนิด
“ก่อนฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกเราจะไปตกปลากันอีกจะได้เอาไว้หมักวันที่อากุ้ยแต่งงานก็สามารถทำกับข้าวเพิ่มได้อีกหนึ่งจาน” นายท่านเสิ่นดื่มสุราพร้อมกับชวนคุย
“ไก่กับเป็ดในเพิงของพวกเรา ก็พอจะรวมเป็อาหารอีกจานได้พอดี” ป้าใหญ่ก็พูดสำทับยิ้มๆ
“ลำบากพวกเ้าแล้ว” ลุงรองกล่าวอย่างเกรงใจ
“มีอะไรต้องเกรงใจกัน อากุ้ยก็เป็เหมือนลูกชายของข้าพวกเราก็เห็นเขามาแต่เล็กแต่น้อย เขาได้แต่งงานทั้งที พวกเราย่อมต้องทำให้ดีที่สุด” ลุงใหญ่เสิ่นหัวเราะ ก่อนจะมองภรรยาแล้วเอ่ยว่า “ใช่ไหม ฮูหยิน?”
“เ้าค่ะ” ป้าใหญ่กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถึงข้าจะใจแคบกับคนอื่นได้แต่กับคนในครอบครัวต้องใจกว้างให้มากที่สุด”
ประโยคนี้ทำเอาทุกคนหัวเราะ
กู้เจิงกับชุนหงก็มองหน้ากันยิ้มๆ
“อาเจิง” นายหญิงเสิ่นยิ้มให้ลูกสะใภ้ “เ้าคงยังไม่รู้ฝีมือดีดลูกคิดของป้าใหญ่เ้าสินะนางใช้ลูกคิดได้เก่งที่สุดในหมู่บ้านเราของเราแล้วเ้าอยากเรียนรู้เื่การตรวจสอบบัญชีไม่ใช่หรือ เ้าควรไปเรียนรู้การดีดลูกคิดจากป้าใหญ่เอาไว้”
ลูกคิดหรือ? กู้เจิงไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลยแต่นางก็พร้อมจะเรียนรู้ “เ้าค่ะ”
ป้าใหญ่ยิ้มให้กู้เจิงพร้อมบอก “การเรียนดีดลูกคิดนั้นไม่ยาก เ้าอยากเรียนเมื่อไรก็มาหาข้าได้”
“ขอบคุณเ้าค่ะท่านป้าใหญ่” กู้เจิงกล่าวขอบคุณอย่างดีใจ
หลังจากส่งครอบครัวของลุงใหญ่กับลุงรองกลับบ้านกู้เจิงก็ได้ล้างหน้าเพื่อเตรียมเข้านอน แต่นอนอย่างไรก็ไม่หลับสักทีได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง
นางจึงลุกมาเปิดหน้าต่าง นั่งมองแสงดาวทอประกายอยู่บนฟากฟ้า
กู้เจิงนึกถึงเสิ่นเยี่ยน ตอนนี้เขาน่าจะนอนแล้วกระมังสองวันมานี้เขาจะเป็อย่างไรบ้างนะ? เมื่อตอนกลางวันนางเพิ่งจะบอกชุนหงว่าไม่ต้องกังวลไปแต่ในเวลานี้นางกลับรู้สึกกังวลอยู่บ้าง
การสอบเข้ารับราชการเป็เื่ที่เกี่ยวพันถึงความก้าวหน้าของเสิ่นเยี่ยนและตอนนี้นางกับเสิ่นเยี่ยนก็ถูกผูกติดไว้ด้วยกันแล้วนางหวังว่าเขาจะสอบผ่านในอันดับต้นๆ สามอันดับแรกนางไม่อยากหวังแต่อย่างน้อยขอสักห้าอันดับแรกหรือสิบอันดับแรกก็ยังดี หากทำได้หนทางข้างหน้าของนางก็คงจะดีขึ้น
แต่อย่างที่นางบอกกับชุนหง ว่าคงจะฝากความหวังไว้กับกับเสิ่นเยี่ยนเพียงคนเดียวไม่ได้นางต้องทำสิ่งที่ตัวเองทำได้ด้วย ผู้หญิงตัวคนเดียวแม้ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใหม่การจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็ยังยากลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในยุคนี้ตอนนี้นางมีเงินและยังมีร้านหนังสือรวมถึงหมู่บ้านที่ท่านพ่อมอบให้หากเก็บออมจนได้เงินก้อนใหญ่แล้วที่เหลือก็คงจะเป็การเข้าไปจัดการดูแลทรัพย์สินด้วยตัวของนางเอง
การทำการค้าจำเป็ต้องเรียนรู้กู้เจิงรู้ว่าเื่เช่นนี้ต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปนอกจากนี้แล้วนางยังจะทำอะไรได้อีกนะ?
กู้เจิงปิดหน้าต่าง ในเมื่อนอนไม่หลับ นางจึงถือโอกาสอ่านหนังสือเมื่อเสิ่นเยี่ยนเสร็จสิ้นการสอบแล้ว ตัวอักษรในหนังสือที่เขาสั่งให้นางท่องนางจะต้องจำได้ทั้งหมดแน่
สองวันต่อมา อุณหภูมิลดต่ำลงมาก มีหิมะตกลงมาอีกครั้งคาดว่าอีกไม่นานทั้งเมืองคงขาวโพลนไปหมด
“หิมะใหญ่ของปีนี้มาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ นี่ยังไม่เข้าฤดูหนาวเลยนะ อาเยี่ยนไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆ เข้าไปด้วย เขาจะหนาวไหมนะ?”
ตอนที่กู้เจิงเข้ามาในห้องครัว ก็ได้ยินนายหญิงเสิ่นพูดกับสามีด้วยความเป็ห่วง
“หน้าประตูห้องสอบมีประตูและหน้าต่างผ้าน้ำมันที่กันลมโดยเฉพาะอีกอย่างอาเยี่ยนก็เอาเตาเล็กๆ เข้าไปด้วย ถ้าหนาวจริงๆ ก็น่าจะไม่เป็ไรมาก” คำพูดของนายท่านเสิ่นทำให้ภรรยาลดความกังวลลงไปเล็กน้อย แต่ในใจนางก็ยังแอบกังวล การสอบที่สำคัญเช่นนี้จะปล่อยให้ไม่สบายไปไม่ได้เด็ดขาด
“ท่านแม่ ถ้าอย่างนั้นให้ข้าเอาเสื้อกันหนาวไปให้ท่านพี่ดีไหมเ้าคะ?” กู้เจิงกล่าว “วันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ต้องมีครอบครัวอื่นที่คิดเหมือนกับพวกเราแน่เ้าค่ะพวกตระกูลขุนนางก็คงให้คนส่งเสื้อผ้าเข้าไปเหมือนกันน่าจะพอยืดหยุ่นกันได้นะเ้าคะ”
นายหญิงเสิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นายท่านเสิ่นก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ดีๆ” ก่อนจะพูดกับภรรยาว่า “เ้ารีบไปเอาเสื้อกันหนาวตัวที่หนาที่สุดออกมาให้อาเจิง”
ฮูหยินเสิ่น “...” คนที่บอกว่าไม่เป็ไรคือเขาแต่คนที่เป็ห่วงที่สุดก็คือเขาอีกเช่นกัน
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ
ตอนที่กู้เจิงหิ้วถุงผ้าที่ยัดเสื้อกันหนาวตัวหนาออกมาแม่สามีก็หยิบร่มเตรียมไว้ให้นางแล้ว “ตอนเดินระวังอย่าให้ล้มล่ะ”
“ข้าจะระวังตัวให้ดีเ้าค่ะท่านแม่”
“คุณหนู เอาถุงผ้าให้บ่าวถือเถอะเ้าค่ะ” ชุนหงรับถุงผ้าในมือกู้เจิงมา
“รอจนหิมะหยุดแล้ว พวกเราจะไปซื้อรถม้าสักสองคันเวลาจะออกไปไหนจะได้สะดวกหน่อย” นายหญิงเสิ่นมองกองหิมะริมถนนเวลาแบบนี้หากมีรถม้าจะสะดวกกว่ามาก ถึงแม้ที่บ้านจะมีรถวัวแต่ก็ใช้บรรทุกของหนักเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจะให้ลูกสะใภ้นั่งรถวัวกลับจวนกู้ก็คงจะดูไม่ค่อยดีหรือให้จวนกู้มารับมาตลอดก็ดูค่อยไม่ดีนัก
“ท่านแม่ ให้ข้าซื้อรถม้าเองเถอะเ้าค่ะ” กู้เจิงคิดจะซื้อรถม้าอยู่แล้ว แต่แค่ยังไม่มีโอกาสได้ทำ
“ไม่ต้อง ให้อาเยี่ยนซื้อเถอะ” นายหญิงเสิ่นพูดยิ้มๆ
กู้เจิงอึ้งไป ก่อนจะยิ้มรับ “ได้เ้าค่ะ ทำตามที่ท่านแม่ว่า”
นายท่านเสิ่นนำมันเทศแห้งที่ตากแดดเมื่อวานใส่ในหม้อดินแล้วยกไปวางในห้องครัวพอออกมาก็เห็นภรรยาส่ายหน้ายิ้มๆ กลับมา จึงถามนางว่ายิ้มอะไร
“ลูกสะใภ้ท่านมีน้ำใจเหลือเกินข้าเห็นพวกนางสองคนต่างดูแลจัดการเงินทองกันเอง”จากที่นางบอกว่าจะเป็คนซื้อรถม้าเอง แค่ฟังก็รู้ถึงสถานะการเงินของพวกนางแล้ว
“อาเจิงต้องเป็แม่ศรีเรือนได้ดีแน่ รออาเยี่ยนกลับมาจากการสอบแล้วข้าจะคุยกับเขาว่า เื่ทรัพย์สินเงินทองย่อมต้องให้ภรรยาจัดการดูแลมีสามีภรรยาที่ไหนต่างคนต่างใช้เงินกัน” เงินของครอบครัวอื่นพ่อแม่จะเป็คนดูแล เว้นแต่แยกออกไปมีครอบครัวมิฉะนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เก็บไว้ส่วนตัว ทว่าครอบครัวของพวกเขาไม่เหมือนกันพ่อแม่ของพวกเขาจากไปไวดังนั้นพอฮูหยินได้แต่งงานเข้ามาจึงเป็คนจัดการดูแลเื่ภายในบ้านทั้งหมด“คืนแรกที่เราแต่งงานกัน ข้าก็เอาเงินที่ซ่อนอยู่มอบให้เ้าดูแลแล้ว”
เมื่อนึกถึงตอนที่พวกเขายังเด็ก นายหญิงเสิ่นก็ยกยิ้มบางๆ
เป็อย่างที่กู้เจิงพูดไว้ไม่มีผิด เมื่อมาถึงหน้าประตูสนามสอบก็มีรถม้าจอดอยู่หลายคันรอบด้านเต็มไปด้วยผู้คนที่นำเสื้อผ้ามาส่งให้บุตรชายที่กำลังสอบอยู่
ประตูสนามสอบเปิดออกมีขุนนางสองคนและทหารรักษาการณ์อีกสิบกว่าคนยืนอยู่หน้าประตูพวกทหารกำลังตรวจสอบเสื้อกันหนาวที่ส่งมาว่าไม่มีอะไรแปลกปลอมก็จะนำเข้าไปส่งให้ผู้เข้าสอบ
กู้เจิงกับชุนหงรีบตรงเข้าไปต่อแถว
“คุณหนู นี่ต้องเข้าแถวถึงกี่ชั่วยามกันเ้าคะ?” ชุนหงเห็นว่าขบวนแถวยาวมากจริงๆ แล้วพวกนางเพิ่งได้เข้าแถวด้านหลังของพวกนางยังมีผู้คนมาต่อเรียงรายอยู่อีกยาว
“นั่นสิ” กู้เจิงเองก็ไม่ชอบอยู่ในที่คนเบียดเสียดกัน “ชุนหง เ้าลองไปมองหาท่านพ่อที่ฝ่ายกรมการศึกษาที่อยู่ข้างๆน้องรองสอบอยู่ที่นั่น ท่านพ่อกับนายหญิงน่าจะมาเยี่ยมน้องรองเช่นกันถ้าหาเจอแล้วเ้าก็ถามท่านพ่อว่ามีวิธีที่จะช่วยให้ข้าส่งเสื้อผ้าเข้าไปได้เร็วๆไหม”
“ได้เ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้” ชุนหงเอาถุงผ้าและร่มยื่นให้กู้เจิง แล้วนางก็รีบวิ่งออกไป
เพียงไม่นาน ร่มของกู้เจิงก็ปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ
พอกู้เจิงเอียงร่ม หิมะเ่าั้ก็ร่วงลงบนพื้น
กู้เจิงยืนอยู่ในแถวได้สักพัก ก็รู้สึกว่านิ้วเท้าเย็นจนแทบทนไม่ไหวการตรวจสอบที่หน้าประตูสนามสอบช้ามากขบวนแถวที่ยืนต่ออยู่นี้ก็เขยื้อนทีละนิดราวกับกับหอยทากเดิน
ขณะที่กู้เจิงกำลังหวังว่าชุนหงจะกลับมาพร้อมข่าวดีก็เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเดินออกมาจากในสนามสอบ บุรุษสูงส่งผู้นั้นคือท่านอ๋องจ้าวหยวนเช่อ
ขุนนางสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูรีบคารวะเขาทันทีตวนอ๋องหยุดพูดกับพวกเขาไม่กี่คำ ก็เดินตรงไปยังรถม้าที่อยู่ไม่ไกลนัก
กู้เจิงพลันนึกขึ้นได้ว่าตวนอ๋องให้ความสำคัญกับเสิ่นเยี่ยนถึงเพียงนี้ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมาส่งเสื้อกันหนาวให้เสิ่นเยี่ยนแล้วก็ได้หากเขาส่งไปแล้วนางก็ไม่จำเป็ต้องส่งเข้าไปอีก นางจะเข้าไปถามเขาดีไหมนะ?
แต่เมื่อคิดถึงความรังเกียจของตวนอ๋องที่มีต่อนางกู้เจิงก็ไม่อยากเอาจมูกแตะฝุ่น* อีกนางจึงกัดฟัน ยืนทนความหนาวไปแล้วกัน กู้เจิงยังคงเข้าแถวเพื่อความสบายใจของนางเอง
(* เป็การอุปมาว่าโดนปฏิเสธแล้วทำตัวไม่ถูก)
“พี่สะใภ้” เสียงร่าเริงของปาเม่ยดังขึ้น
กู้เจิงเห็นปาเม่ยวิ่งมาหานางจากทางรถม้าของตวนอ๋องนางไม่ได้อยู่ในชุดกระโปรงผ้าเนื้อหยาบเหมือนเคยอีกแล้ววันนี้นางสวมชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีอ่อนปักลายดอกไม้ด้วยด้ายไหมสีชมพูที่คอเสื้อและปลายแขนบนเอวปักลวดลายงดงามที่เป็เอกลักษณ์ของจวนตวนอ๋องเมื่อเห็นอีกฝ่ายแต่งกายเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าปาเม่ยได้เป็สาวใช้ของจวนตวนอ๋องแล้ว