เล่มที่ 8 บทที่ 226 ผิดตรงไหน
“ออกมาได้แล้ว!”
เมื่อพูดจบ หลินเฟยก็โคจรพลังใส่สัจจะเก้าอักขระทันที ไม่นานก็มีมือั์สีทองปรากฏออกมา ก่อนที่มือนั้นจะเอื้อมไปคว้าหมอกควันดำสายหนึ่งออกมาจากคัมภีร์...
“คิดจะทำอะไร ปล่อยข้านะ!” แม้หมอกควันดำจะถูกจับอยู่ แต่มันก็ยังพยายามดิ้นรนขัดขืนและโวยวายไม่หยุด
ทว่าหลินเฟยกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย หลังจากโคจรสัจจะเก้าอักขระอีกครั้ง เ้าควันดำก็ถูกสูบออกมาทันที...
กระทั่งเสียงโหยหวนดังเป็ครั้งสุดท้าย ในที่สุดกลุ่มควันดำก็ถูกสูบออกมาจนหมด หลังจากไม่มีหยวนหลิงแล้ว คัมภีร์ก็มีสภาพแตกต่างจากเดิม บัดนี้หมอกควันดำที่รายล้อมก็พลันสลายหายไป พื้นดินสีดำอันกว้างใหญ่ที่เกิดขึ้นจากพลังคัมภีร์ก็ค่อยๆหดแคบลง เพียงครู่เดียวก็กลับกลายเป็บึงโคลนเช่นเดิม...
จากนั้นหมอกควันดำที่แพร่กระจายเต็มท้องฟ้าก็เกิดสั่นไหว จากนั้นเขตแดนนรกก็หายวับไปทันที ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสลายกลายเป็คัมภีร์โครงกระดูก ค่อยๆลองลงบนมือของหลินเฟย...
“หยุดเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะ...”
เ้าอสุรกายร้ายที่ถูกกักขังในกรงอักขระกำลังคำรามอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะตอนที่เห็นหลินเฟยได้คัมภีร์ไปอย่างง่ายดาย ก็ยิ่งโกรธจัดขึ้นไปอีก...
“หึหึ...”
หลินเฟยส่ายหัวพร้อมกับยกยิ้มน้อยๆ โดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ จากนั้นก็โยนมันเข้าไปในห้วงมิติดินิถู่ทันที เป็เพียงหยวนหลิงเล็กๆ เมื่อเข้าสู่ห้วงมิติดินิถู่แล้ว ก็ไร้ซึ่งพิษสง ไม่แผลงฤทธิ์อะไรได้อีก
หลังจากโยนอสุรกายร้ายเข้าห้วงมิติไปแล้ว หลินเฟยก็ก้มหน้าสำรวจคัมภีร์ในมือ จากนั้นก็ถอดจิติญญาเข้าไปสำรวจทันที และก็เป็อย่างที่เขาคิดไว้ เพราะจิติญญาสามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย โดยไม่มีอะไรขัดขวางแม้แต่น้อย เพราะคัมภีร์ที่สูญเสียหยวนหลิงนั้น ก็เหมือนอาวุธที่ไร้เ้าของ ไม่ว่าใครก็สามารถทำอะไรกับมันก็ได้
“หืม?”
ทั้งที่ถอดจิตเข้าไปสำรวจได้ไม่นาน ประกายแห่งความสงสัยก็ปรากฏชัดขึ้นผ่านั์เนตรทั้งคู่ของหลินเฟย
แม้จะมีมนต์สะกดสามสิบหกสายตามที่คิดไว้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรมนต์สะกดทั้งสามสิบหกสายนี้ถึงไม่อาจรวมกันเป็มนต์สะกดเทียนกังได้ และถ้าไม่มีมนต์สะกดเทียนกัง ก็แปลว่าคัมภีร์เล่มนี้ยังไม่ได้พัฒนาถึงขั้นศาสตราวุธ
ถือว่าดูแปลกประหลาดมากทีเดียว เพราะศาสตราวุธทุกชิ้นจะต้องมีมนต์สะกดสามสิบหกสายและมนต์สะกดเทียนกังกระทั่งบรรลุขั้นศาสตราวุธก่อนเท่านั้น ถึงจะบังเกิดหยวนหลิงได้
‘ทว่าคัมภีร์เล่มนี้กลับมีหยวนหลิง แถมสติสัมปชัญญะของเ้าอสุรกายร้ายก็ดูสมบูรณ์ดี แถมดูท่าจะเกิดมานานแล้วด้วย เช่นนั้นแล้วทำไมถึงยังไม่บรรลุขั้นศาสตราวุธอีกล่ะ?’
‘นี่มันผิดปกติ...’
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลินเฟยก็เริ่มลงมือหลอมละลายคัมภีร์ทันที ในเมื่อไม่ใช่ศาสตราวุธ ด้วยพลังที่มีในตอนนี้ จึงหลอมได้ไม่ยาก
จากนั้นหลินเฟยก็ส่งพลังปราณหลอมมนต์สะกดทันที เพียงครู่เดียวก็มีมนต์สะกดสายหนึ่งถูกหลอมออกมา หลินเฟยจึงถอดจิตเข้าไปสำรวจอีกครั้ง ทันใดนั้นภาพภายในคัมภีร์ก็ฉายขึ้นมา
ทว่าหลินเฟยกลับต้องประหลาดใจอีกครั้ง เพราะเขตแดนนรกยังคงอยู่…
‘ก่อนหน้านี้เหล่าิญญาร้ายและมารปีศาจ รวมทั้งดวงไฟปีศาจและไออสูรล้วนถูกห้วงมิติดินิถู่กลืนกินไปจนหมดแล้ว ฉะนั้นรากฐานของเขตแดนอสูรจึงเรียกได้ว่าถูกทำลายจนราบคาบ แล้วเช่นนั้นทำไมเขตแดนนรกถึงยังอยู่?…’
เพียงถอดจิตเข้าสำรวจได้ไม่นาน หลินเฟยก็พบว่าเขตแดนอสูรได้แปรเปลี่ยนเป็เจดีย์แปดเหลี่ยมซึ่งเกิดจากการทับซ้อนของโครงกระดูกไปเสียแล้ว
บัดนี้เจดีย์โครงกระดูกกำลังแผ่กลิ่นอายแห่งความวังเวงออกมา รอบด้านก็มีกระแสลมเย็นพัดมาเป็ระยะจนเกิดเป็เสียงหวีดแว่วดัง หัวกะโหลกมากมายที่แขวนอยู่ตามเจดีย์ก็ถูกพัดจนหมุนวนไปรอบๆราวกับมีชีวิต
หลินเฟยเห็นดังนั้นก็รู้สึกแคลงใจเป็อย่างมาก เพราะเจดีย์โครงกระดูกนี้มีกลิ่นอายแตกต่างจากเ้าอสุรกายร้ายโดยสิ้นเชิง…
“อย่างนี้นี่เอง…” พอหลินเฟยถอดจิตสำรวจอีกครั้ง ก็เข้าใจขึ้นทันที
ในเมื่อกลิ่นอายของเจดีย์นี้ไม่เหมือนกับเ้าอสุรกายร้าย มนต์สะกดภายในจึงแตกต่างกันด้วย และที่เป็เช่นนี้ก็เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น
‘นั่นก็คือ คัมภีร์นี้ถูกเ้าอสุรกาย่ชิงมาอีกทียังไงล่ะ…’
หากเป็เช่นนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้วว่าเพราะเหตุใดถึงยังไม่บรรลุขั้นศาสตราวุธเสียที ทั้งที่มีหยวนหลิงร้ายกาจขนาดนี้
หลังจากถอดจิตสำรวจเจดีย์ไปหนึ่งรอบ หลินเฟยก็เกิดประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนที่หลินเฟยเห็นเจดีย์นี้ ก็รู้สึกแปลกๆั้แ่ครั้งแรก บัดนี้เมื่อพินิจดูดีๆ จึงพบว่าที่รู้สึกเช่นนั้น ก็เพราะเจดีย์นี้มีเพียงสามชั้น
ซึ่งโดยปกติแล้วเจดีย์มักจะมีเก้าชั้น และต่อให้ไม่ใช่เก้าชั้น ก็จะต้องมีความเกี่ยวพันกับเลขเก้าอยู่ดี
โดยปกติเวลาหลอมอาวุธ ไม่ว่าจะมีมนต์สะกดเท่าใด ช่างหลอมทุกคนล้วนจะแสวงหาความสมบูรณ์เสมอ ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดได้
‘เจดีย์เก้าชั้นจึงถือว่าสมบูรณ์ที่สุด แล้วเจดีย์สามชั้นเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันล่ะ?’
“หรือว่า…”
ทันใดนั้นหลินเฟยก็ใจกระตุกขึ้นมา เขาลอบคิดในใจว่าหากเจดีย์โครงกระดูกนี้เกิดจากมนต์สะกดภายในคัมภีร์ขึ้นมาจริงๆ หมายความว่าคัมภีร์นี้ไม่สมบูรณ์อย่างนั้นหรือ?
‘หากคัมภีร์ไม่สมบูรณ์ละก็…เจดีย์เพียงสามชั้นก็มีมนต์สะกดถึงสามสิบหกสายแล้ว ถ้าเกิดเจดีย์มีเก้าชั้นขึ้นมา พลังจะไม่ทะลุขีดจำกัดของศาสตราวุธเชียวหรือ?’
ความสงสัยมากมายอัดแน่นอยู่ภายในใจของหลินเฟย ทว่าพอคิดอีกทีก็จำได้ว่าตนเองได้โยนเ้าอสุรกายเข้าไปในห้วงมิติดินิถู่แล้ว ถ้าอยากรู้อะไร ก็ไปถามเอาก็ได้…
บัดนี้เองเ้าอสุรกายร้ายที่ถูกขังอยู่ในห้วงมิติดินิถู่ กำลังเดินเชิดหน้าชมบรรยากาศรอบๆอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
หลังจากเข้ามาในห้วงมิติ สัจจะเก้าอักขระก็พลันสลายไป เ้าอสุรกายเห็นดังนั้นก็ถ่มไออสูรลงพื้นทันที
“เป็แค่อาวุธชิ้นหนึ่งก็ริอ่านกักขังข้าหรือ ช่างรนหาที่ตายแท้ๆ…”
ในอดีตเ้าอสุรกายร้ายเป็หยวนหลิงซึ่งเกิดจากสิ่งชั่วร้ายะเืฟ้าะเืดิน และหลังจากถือกำเนิดขึ้นมา มันก็สังหารทำลายชีวิตผู้คนไปนับหมื่นนับพัน หลังจากนั้นยังได้ผู้บำเพ็ญที่แข็งแกร่งหล่อเลี้ยงไว้อีกด้วย มันจึงมีความร้ายกาจชนิดที่ไม่มีใครต้านทานได้
ต่อให้ตอนนี้เหลือเพียงหยวนหลิง ไม่มีแม้แต่กายเนื้อ ก็ยังยากที่จะพันธนาการมันเอาไว้ได้…
เ้าอสุรกายลอบมองซ้ายขวา เมื่อไม่เห็นหลินเฟยมันก็คลี่ยิ้มชั่วร้ายออกมาทันที ‘ดูท่าเ้านั่นคงกำลังวุ่นอยู่กับการหลอมคัมภีร์สินะ…’
เ้าอสุรกายยังคงชมนกชมไม้อยู่ภายในห้วงมิติดินิถู่ มันทำตัวไม่เหมือนกับผู้ถูกกักขังเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำกลับเหมือนผู้ที่กินอิ่มแล้วกำลังเอามือไขว้หลังเดินย่อยอาหารเสียมากกว่า ไม่ว่าจะพบเจออะไรมันก็ทำหน้าดูแคลน ไม่ยี่หระอะไรสักอย่าง
หลังจากเดินเล่นได้ชั่วครู่ เ้าอสุรกายร้ายก็พบกับอสรพิษเกล็ดหินที่กำลังขดตัวคล้ายหุบเขา แถมยังมีไออสูรเข้มข้นแพร่กระจายออกมา มองเพียงผิวเผินดูคล้ายกับัร้ายที่กำลังกบดานอยู่ จนเ้าอสุรกายอดที่จะใไม่ได้
“เอ๋?”
คิดไม่ถึงว่าหุบเขานี้จะเกิดจากอสุรกายกุ่ยเจี้ยง ดูแล้วน่าจะเป็อสุรกายกุ่ยเจี้ยงขั้นสี่ถึงขั้นห้าเห็นจะได้ ‘โถเอ๊ย ถึงกับทำตัวตกต่ำ ยอมแปลงกายเป็หุบเขาในอาวุธเช่นนี้เสียได้’
‘เอ๋ ไม่สิ เ้าโง่นี่นับว่าโชคดีไม่เบา ถึงกับเริ่มมีแววบรรลุเป็เซียนูเาแล้วด้วย ดูไม่ออกเลยจริงๆว่าเ้าอาวุธนี่จะมีพลังล้ำลึกเยี่ยงนี้…’
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------