หอเยวี่ยอวี่
มู่จื่อหลิงเผชิญหน้ากับเย่จื่อมู่ นั่งคนละฝั่งโต๊ะ
เย่จื่อมู่สองมือกอดอก มองหน้ามู่จื่อหลิงด้วยความขุ่นเคือง จมูกมิใช่จมูก ใบหน้ามิใช่ใบหน้า
เพราะตราบจนบัดนี้เขาก็ยังกรุ่นโกรธกับคำพูดของมู่จื่อหลิง สีหน้ายังคงมืดครึ้ม ในใจไม่ต้องพูดถึงว่าอัดอั้นตันใจเพียงใด
จนตอนนี้เขาก็ทำอันใดยายหนูที่ทำให้ผู้อื่นปวดศีรษะไม่ได้
ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือยายหนูน้อยผู้นี้ร้องไห้งอแงต่อหน้าเขา ต่อให้เป็การแสร้งเขาก็กลัว
ถ้าทำให้นางไม่พอใจ เดี๋ยวก็มาทำหน้าขื่นขมบีบน้ำตาใส่เขาอีก เช่นนั้นเขาคงรับไม่ไหว
แต่ในใจมู่จื่อหลิงกลับอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ก้มหน้าก้มตากิน นางเมินเฉยต่อเย่จื่อมู่ที่โมโหจนคิ้วเป็เส้นตรง
ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีอะไรที่น่าชื่นใจไปกว่าการทำให้เย่จื่อมู่หน้าดำคร่ำเคร่ง ถูกบีบให้ยอมจำนนทุกวิธีการแล้ว
หลังจากถูกกดขี่ข่มเหงมานานในที่สุดก็มีวันที่นางลืมตาอ้าปากได้ อารมณ์จะไม่ดีได้หรือ
ยากนักที่เย่จื่อมู่จะมีวันที่อัดอั้นตันใจ
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสอันดีเช่นนี้ มู่จื่อหลิงไม่มีทางปล่อยไปโดยเปล่าประโยชน์เด็ดขาด
นางวางตะเกียบในมือลง ดวงตาวาวน้ำเคลื่อนไหว มองเย่จื่อมู่อย่างละเอียดด้วยความประหลาดใจ ในใจราวกับกำลังวางแผนเล็กๆ น้อยๆ อันใดอยู่
เย่จื่อมู่ถูกนางมองจนขนลุกในใจ สาวน้อยผู้นี้กำลังเตรียมจะวางอุบายอันใดเขาอีก?
มู่จื่อหลิงลูบคาง ถามอย่างแปลกใจ “พ่อค้าหน้าเื เ้าพูดสิเ้าหน้าตาดีเพียงนี้ เหตุใดต้องสวมหน้ากากด้วยเล่า?”
ที่แท้มู่จื่อหลิงไม่ได้วางอุบาย! ในใจเย่จื่อมู่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ทว่า...
ยายเด็กผู้นี้กินมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็พูด ‘ภาษาคน’ ที่เขาชอบฟัง จิตใจที่หดหู่ของเขาดีขึ้นมาโดยพลัน
เย่จื่อมู่จงใจส่งเสียงหึ คลี่พัดดังฉับ พัดอย่างเอื่อยเฉื่อย เชิดคางด้วยความถือดี “เถ้าแก่มู่สายตาช่างดีเสียจริง ก็เป็เพราะข้าหน้าตาดีเกินไป ข้าเกรงว่าจะทำร้ายสตรีทั้งใต้หล้า ดังนั้นจึงได้สวมหน้ากากเอาไว้”
มู่จื่อหลิงลอบค้อนปะหลับปะเหลือกในใจ ‘ให้แสงอาทิตย์แก่เ้าเพียงนิดเดียวเ้าก็เจิดจ้าไปเอง ถ้าเ้าเป็ผู้ที่ทำร้ายสตรีทั้งโลก ข้าก็มิเป็ผู้ที่สามารถช่วยชีวิตคนทั้งโลกได้หรือ’
“จริงหรือ? อืม ข้าว่าเ้าต้องมีเหตุผลอื่นอีกเป็แน่” มู่จื่อหลิงลากเสียงยาว ส่ายศีรษะและนิ้วมือไปพร้อมกัน ปฏิเสธคำพูดของเขา
“จะเป็ไปได้อย่างไร เป็เพราะข้า...” เย่จื่อมู่ยังพูดไม่จบก็ถูกขัดจังหวะ
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็ตบโต๊ะอย่างแรง “นี่! ท่านคงมิใช่เพราะมีความชอบอะไรเป็พิเศษ ดังเช่นชอบแต่งหญิงเป็พิเศษ นี่ก็เป็เพราะท่านกลัวคนจะดูออกกระมัง”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา สีหน้าเย่จื่อมู่ก็ดำจนมิอาจดำได้อีกแล้ว ราวกับว่าวินาทีถัดไปจะบีบน้ำหมึกดำออกมาได้
เด็กสาวผู้นี้หักมุมด้วยการบอกว่าเขามิใช่บุรุษ? ช่างน่าโมโหนัก!
เขาก็ว่าแล้ว เมื่อครู่แค่เห็นยายหนูนี่สองตากลิ้งไปมา ต้องมิใช่เจตนาดีแน่
เป็เช่นนี้ดังคาด!
มู่จื่อหลิง ราวกับเกรงว่าจะยังซ้ำเติมไม่พอ จึงผงกศีรษะอย่างมั่นอกมั่นใจอีกครั้ง “ใช่ ท่านต้องเป็สตรีแน่ๆ ใช่แน่ๆ มิน่าเล่าครั้งแรกที่ข้าเห็นท่าน ก็รู้สึกคุ้นกับท่านเป็พิเศษ ที่แท้ก็เป็ความรู้สึกที่ได้เห็นคนเช่นเดียวกัน”
เย่จื่อมู่โมโหจนอยากกระทืบเท้า สมองของยายเด็กนี่กำลังคิดอะไรอยู่ เื่เพศเดียวกันยังคิดออกมาได้
เขาหุบพัดอย่างฟึดฟัด เตรียมใช้พัดเคาะลงที่ศีรษะของมู่จื่อหลิง
“นี่ สุภาพบุรุษขยับเพียงปากมิขยับมือนะ!” มู่จื่อหลิงแย่งพัดไปจากมือเย่จื่อมู่ด้วยความตาไวมือไว เสริมเข้าไปอีกประโยคอย่างไม่มีใครคาดคิด
“อ้อ ข้าลืมไป ท่านมิใช่สุภาพบุรุษ”
นางพูดพลางโยนพัดคืนให้เขา
เพลิงโทสะในใจเย่จื่อมู่ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก มองยายเด็กปากร้ายตรงหน้าด้วยความอัดอั้นจากการทำอันใดไม่ได้
เหตุใดวันนี้ยายหนูนี่จึงได้เปลี่ยนเป็ปากคอเราะร้ายเช่นนี้ได้ แม้แต่เขาที่ปกติเ้าคารมยังมีวันที่โดนข่มเหง
นี่มันไร้กฎเกณฑ์เกินไปแล้ว
ถ้ามู่จื่อหลิงรู้ความคิดในใจของเย่จื่อมู่ จะต้องตอบกลับเขาด้วยความซาบซึ้งใจว่า ‘ล้วนเรียนมาจากท่าน’
ดังนั้นที่พูดว่า อยู่ใกล้หมึกติดสีดำ คนโบราณไม่เคยหลอกลวง
เห็นเย่จื่อมู่มีโทสะ มู่จื่อหลิงก็ไม่เลิกรา ตัดเข้าประเด็น “พ่อค้าหน้าเื ถ้าอยากพิสูจน์ว่าท่านไม่เหมือนข้า มิสู้ถอดหน้ากากออก ท่านเคยพูดว่าข้าเป็สตรีที่มีสามีแล้ว จะอย่างไรท่านก็ทำร้ายสตรีที่แต่งงานแล้วมิได้กระมัง?”
สำหรับฐานะของเย่จื่อมู่นั้น ตอนนี้นางสงสัยอย่างยิ่ง
ห่วงใยนางเพียงนั้นอย่างไม่มีเหตุผล ทุกครั้งล้วนปรากฏตัวได้ถูกจังหวะ ราวกับเขาล่วงรู้ทุกอย่าง
และที่นางเพิ่งพูดว่ารู้สึกคุ้นเคยกับเย่จื่อมู่ั้แ่ครั้งแรกที่พบ คำพูดนั้นมิได้หลอกลวง
ครั้งแรกที่พบหน้านางก็รู้สึกเหมือนว่าพวกนางรู้จักกันมานานอย่างไรอย่างนั้น
เดิมนางก็คิดว่าเ้าของร่างคนเก่าคงรู้จักกับเย่จื่อมู่
แต่ เมื่อก่อนเ้าของร่างเดิมนี้ประตูใหญ่ไม่ออกประตูรองไม่ข้าม เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางรู้จักเย่จื่อมู่
และนางเคยถามเสี่ยวหานว่า นอกจากเวลานอนแล้ว พวกนางก็ไม่เคยแยกกัน เสี่ยวหานเองก็มิเคยพบคนพรรค์นี้
ดังนั้น สิ่งนี้จึงทำให้นางยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีก
เย่จื่อมู่ผู้นี้ช่วยนางมาหลายครั้งหลายครา ถึงขั้นสามารถสละชีวิตเข้าช่วยนางได้ ดูแล้วไม่เหมือนการช่วยนางอย่างมีจุดประสงค์แอบแฝง
แต่...เขาทำไปเพราะเหตุใดกันแน่
เย่จื่อมู่ซุกซ่อนตัวไว้ลึกเพียงนั้น อยากจะรู้ฐานะของเขาคงยากเสียยิ่งกว่าขึ้น์ ยามนี้สิ่งเดียวที่นางคิดออกก็คือใช้ทุกวิถีทางให้เกิดประโยชน์ ใช้วิธีการยั่วยุ
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าเย่จื่อมู่ไม่หลงกลแม้แต่น้อย ประโยคนี้ของนางดับมอดโทสะในใจของเขาจนหมดสิ้น
เห็นเพียงเย่จื่อมู่โบกมือ ภายนอกแสร้งทำเป็ผู้ใหญ่ไม่ถือสาผู้น้อย “เถ้าแก่มู่ มีอันใดพูดมาเถิด ข้าไม่ทะเลาะกับผู้เยาว์”
ในตอนท้ายยังเพิ่มความน่าหมั่นไส้อีกประโยค “อีกอย่างข้าก็ทำร้ายได้ทั้งบุรุษและสตรี ต่อให้เป็สตรีที่แต่งงานแล้วก็ไม่มีข้อยกเว้น”
มู่จื่อหลิงพลันหมดคำพูดขึ้นมา หมอนี่เริ่มอวดดีจนขึ้นฟ้าไปอีกแล้ว
“เชอะ! ไม่ถอดก็ไม่ถอด ใจแคบนัก” มู่จื่อหลิงค้อนใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “แต่ว่าพ่อค้าหน้าเื ในเมื่อเ้ามากความสามารถเช่นนี้ สามารถช่วยข้าอีกสักเื่ได้หรือไม่?”
“จะให้ช่วยเหลือก็มิใช่ว่าไม่ได้ แต่ต้องมีเ้าสิ่งนี้” เย่จื่อมู่เชิดคางอย่างถือดี ยื่นนิ้วมือเรียวยาวออกไปทำท่าที้าเงิน
เมื่อมู่จื่อหลิงเห็นท่าทางเรียกเงินอันแสนคุ้นตาก็เกือบสบถด่าออกมา
หมอนี่เสพติดการขูดรีดไปแล้ว เพียงแค่มองก็รู้ว่าเป็คนทำเื่ราวเช่นนี้บ่อย
เนื้อแท้ของพ่อค้าหน้าเืถูกเขาแสดงออกมาได้อย่างถึงพริกถึงขิง ช่างเกินจะบรรยายจริงๆ
ราวกับว่าเย่จื่อมู่ไม่เห็นท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของมู่จื่อหลิง แสดงท่าทีเจรจาออกมา ถามด้วยความหวังดี “พูดมาเถิดว่าเป็ธุระอันใด? ขอเพียงเงินเพียงพอ ข้าย่อมช่วยท่านแน่”
มู่จื่อหลิงเมินคำพูดในตอนท้ายไปทันที นางหรี่ดวงตาลงน้อยๆ ถามอย่างสงสัย “ท่านไม่มีคนที่ไม่รู้จัก ไร้เื่ที่ไม่ล่วงรู้จริงหรือ?”
เย่จื่อมู่พยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ “นั่นมิใช่เื่เท็จ”
มู่จื่อหลิงแทบทนไม่ไหวตบศีรษะอันถือดีนั่นของเขาให้แบนติดโต๊ะ
ทว่า เื่ที่นางจะพูดนี้เย่จื่อมู่อาจจะรู้มาบ้างแล้ว นางในยามนี้ก็ไม่ได้รอบรู้ในระดับเดียวกับเขา
นางสูดลมหายใจเข้าลึก สำรวมขึ้นเล็กน้อย อธิบายอย่างเชื่องช้า “ดูท่ายามนี้ท่านคงรู้จักข้าดีแล้ว เช่นนั้นคงรู้สถานการณ์ในสกุลข้าดี ข้าอยากจะขอให้ท่านช่วยข้าสืบว่าสิบสี่ปีก่อนหน้านี้สกุลมู่เกิดเหตุอันใดขึ้น แล้ว...ข้ายังมีพี่ชายที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยในยามนั้น ข้าอยากหาเขาให้เจอ”
แม้นางจะทะลุมิติมา ทว่าในเมื่อ์ให้นางกลายเป็ส่วนหนึ่งของสกุลมู่ นางก็เต็มใจทำความเข้าใจ และจำต้องสืบหา
ั้แ่ที่รู้ว่านางมีพี่ชายที่หายสาบสูญ และมารดาที่ถูกพิษในพิษไม่ได้สติ นางก็เต็มไปด้วยความสงสัยมาตลอดและประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
แม้นางจะไม่เชื่อว่าพ่อค้าหน้าเืจะไม่มีคนที่ไม่รู้จัก ไร้เื่ที่ไม่ล่วงรู้จริงๆ แต่จากฝีมือของเขาแล้วคงจะมีความสามารถสืบได้อะไรอยู่บ้าง
ในระหว่างที่มู่จื่อหลิงพูดอยู่นั้น ในมุมที่นางมองไม่เห็น เย่จื่อมู่ก็ปรากฏสีหน้าซับซ้อน และกลับไปสู่สภาพเดิมในเวลาอันรวดเร็ว
“ไอ้หยา ปริมาณข้อมูลที่เถ้าแก่้ารู้นั้นมากนัก ปัจจุบันข้าเพิ่งอายุเท่าใดเอง สิบสี่ปีก่อนข้าตัวเล็กเท่านี้ จะไปรู้เื่ราวในสิบสี่ปีก่อนได้อย่างไรกัน” เย่จื่อมู่พูดอย่างไม่เกินจริงสักนิด มือทำท่าทางประกอบไปด้วย
“ข้าก็มิได้ถามท่านทันทีว่าสิบสี่ปีก่อนสกุลมู่เกิดเื่อะไรขึ้น เพียงให้ท่านช่วยข้าสืบ!” มู่จื่อหลิงกลอกตาใส่เขาอย่างอารมณ์เสีย
นางว่าแล้วว่าพ่อค้าหน้าเืผู้นี้เชื่อถือไม่ได้
เขาพูดเช่นนี้ ทำให้ท่าทีถือดีของเขาจึงได้มอดดับไปในชั่วพริบตา
รอบรู้ถึงเพียงนี้ พูดให้ผีฟังผียังไม่เชื่อ
“ที่แท้เป็ช่วยสืบหานี่เอง! เช่นนั้นก็ได้ แต่ว่า...” เย่จื่อมู่เหมือนกระจ่างแจ้งขึ้นมาโดยพลัน ดวงตาของเขาเคลื่อนไหว ยกมือไปทางมู่จื่อหลิงแล้วกระดิกนิ้ว
ท่าทางเช่นนี้ของเขาในยามแรกมู่จื่อหลิงยังตอบสนองไม่ทัน นางถามด้วยความไม่เข้าใจ “อะไร?”
“ให้เงินมัดจำมาก่อน” เย่จื่อมู่พูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย กระดิกนิ้วมือไม่หยุด
“นี่ ข้าว่าเ้าพอเสียทีจะได้หรือไม่ อ้าปากหุบปากล้วนเป็เงินเงินเงิน เ้าคนโง่งมเงินตกเข้าไปในตาเ้าหรือ?” มู่จื่อหลิงโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ปัดมือนั้นออกอย่างแรง ทนจนทนไม่ไหว นางจึงสบถด่าออกมา
เห็นเขาแสดงท่าทางขูดรีดเงินออกมาเช่นนี้ นางก็สงสัยแล้วว่าที่มาหาพ่อค้าหน้าเืให้ช่วยเหลือเป็เื่ผิดหรือถูกกันแน่
ต่อให้นางมีูเาเงินูเาทองก็คงถูกรีดไถจนเกลี้ยง ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนทั้งหมดของนางมีเพียงแค่หลิงซั่นถัง ทั้งยังหายไปอีก ‘ครึ่งหนึ่ง’
พ่อค้าหน้าขี้เหนียวผู้นี้จะมากเกินไปแล้ว ดูเช่นนี้ก็รู้ว่า้าฮุบรายได้ทั้งหมดของหลิงซั่นถังนี่!
“ละโมบหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่เถ้าแก่มู่อย่าได้ปรักปรำข้า ท่านไม่ได้เรียกข้าว่าพ่อค้าหน้าเืมาโดยตลอดหรือ? เรียกว่าหน้าเื ย่อมต้องหน้าเื ถ้าข้าไม่ทำเช่นนี้ จะสู้หน้ากับคำที่เถ้าแก่มู่ตั้งใจเรียกขานข้าได้อย่างไร” เย่จื่อมู่แบมือออก ตอนท้ายยังยักไหล่อย่างบริสุทธิ์
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือ เป็เ้าที่ขนานนามข้า ข้าเพียงแสดงเนื้อแท้ของสรรพนามนี้ออกมา ดังนั้นถ้าจะโทษก็โทษตัวเ้าเอง อย่าได้มาโทษข้า
มู่จื่อหลิงลูบหน้าผากอย่างปวดศีรษะ ยืนอยู่กับที่และหมุนเป็วงกลมไม่หยุด
์รู้ว่ายามนี้นางโมโหจนอยากฆ่าคนมากเพียงใด
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเย่จื่อมู่้ายั่วโทสะนาง นางก็ยังถูกยั่วโทสะเข้าจริงๆ
ทว่า จากท่าทางเ้าเล่ห์ของเ้าพ่อค้าหน้าเืนี่แล้วต้องไม่ง่ายดายเพียงนั้นแน่ เขาทำเช่นนี้เพื่อจุดประสงค์ใดกัน
ในใจมู่จื่อหลิงสับสน นางลากเก้าอี้ออกห่างจากเย่จื่อมู่ด้วยความขุ่นเคือง นั่งเงียบๆ ตามลำพังด้านข้าง ก้มหน้าใคร่ครวญ
ยามนี้นางเดาได้สามประการ ไม่เพราะพ่อค้าไร้ความสามารถช่วยสืบ ก็เป็เพราะคิดใช้โอกาสนี้ขูดรีดนางขนานใหญ่ หรือไม่ก็ไม่อยากช่วยนางสืบ รู้ว่าสิ่งที่ทำให้นางโมโหที่สุดคือเื่เงิน จึงจงใจใช้เงินมายั่วโทสะนาง ทำให้นางลำบากแล้วถอยไปเอง
แต่ว่า......
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้