หลังจากกลับถึงโรงกระบี่และให้อาหารลูกเจี๊ยบเรียบร้อยข้าจึงรีบเข้านอนทันที เพราะ้าให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
...
รุ่งสางของอีกวัน
อาจารย์ผู้ช่วยท่านหนึ่งนำชุดศิษย์สำรองตัวใหม่ถึงสามชุดมาให้ตามคำสั่งของสวี่ลู่นางคงจะรู้ว่าเชิ้ตตัวเดิมนั้นขาดรุ่ยไม่มีชิ้นดีหลังจากการประลองกับเฉิ่นปู้หยุนที่ผ่านมาไม่อย่างนั้นข้าคงต้องใส่เสื้อที่นำมาจากเมืองหยินเย่เฉิงซึ่งดูอย่างไรก็ช่างไม่เข้ากับชุดตัวอื่นๆ เลยสักนิด
“พี่เชวียน!”
เสียงของซ้งเชียนดังขึ้นทั้งที่เ้าตัวยังมาไม่ถึงไม่นานเขาก็พุ่งเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับกระดาษแผ่นใหญ่ในมือ “ดูนี่สิท่านขึ้นหนังสือพิมพ์ของสำนักอีกแล้ว ฮ่าๆๆตอนนี้ท่านเป็ที่จับตาของคนในสำนักยิ่งกว่าพวกศิษย์มีฝีมือในสำนักหยุนต้งอีกแน่ะ”
พอวางหนังสือพิมพ์ลงจึงได้เห็นพาดหัวข่าวใหญ่ที่กำลังเป็ที่สนใจขณะนี้
‘อาจารย์ฝีมือดีอย่างเฉิ่นปู้หยุนเลือกศิษย์ตัวสำรองเป็ผู้สืบทอดวิชาครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผ่านมา!’
ตามด้วยรูปภาพประกอบเล็กๆอีกมากมายคล้าย้าขุดเื่เก่าๆ ของข้าระหว่างที่อยู่ในสำนักมาป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ข้าดูเนื้อหาแล้วพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ใครเป็คนเขียนเื่พวกนี้ข้า้าขอร้องให้หยุดเขียนเื่ของข้าสักที”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันดูเหมือนว่าสำนักสีเลี้ยนจะรับผิดชอบเื่นี้อยู่แต่พวกนั้นเป็ถึงคนในสามสำนักใหญ่ พวกเราอย่าหาเื่ใส่ตัวดีกว่า”ซ้งเชียนตอบก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าไม่พอใจสักเท่าไรและพูดต่อ“ได้ยินว่าเมื่อวานซูเหยียนได้รับาเ็เพราะช่วยท่านอย่างนั้นเหรอ?”
“อืม...”
ข้าพยักหน้ารับก่อนจะถามขึ้น “แล้ววันนี้เ้าไม่มีเรียนเหรอ?”
“มีสิ ภาคเช้ามีคาบทฤษฎีสองคาบ ส่วนภาคบ่ายก็มีการฝึกปฏิบัติ”ซ้งเชียนมองมายังหน้าอกที่มีคำว่า ‘สำรอง’ ก่อนจะเลิกคิ้วพลางพูดต่อ “พี่เชวียนตอนนี้ท่านเองก็มีสิทธิ์เลื่อนขั้นเป็ศิษย์ของสำนักและเข้าเรียนเหมือนข้าได้แล้วนี่จะทำงานอยู่ที่โรงเกลากระบี่แบบนี้ต่อไปก็ดูจะยังไงอยู่นะ...”
ข้ายิ้มก่อนจะตอบอีกฝ่าย“จริงๆ แล้วจะเลื่อนหรือไม่เลื่อนขั้นมันก็ไม่สำคัญหรอกแต่การที่ได้ฝึกฝนอยู่กับตัวเองในโรงเกลากระบี่มันทำให้ข้ารู้สึกมีสมาธิและบรรลุขั้นเร็วกว่าปกติด้วยแล้วเ้าล่ะซ้งเชียน...ฝึกไปถึงไหนแล้ว บรรลุขั้นเบิกิญญาหรือยัง?”
“ข้าแค่รู้สึกเหมือนจะบรรลุแล้ว แต่ก็ยังไม่บรรลุสักที”เขาลูบท้ายทอยท่าทางเขินอายก่อนจะพูดต่อ “ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เหมาะกับทางนี้ต่อให้ข้าต้องบำเพ็ญไปตลอดชีวิตก็คงได้แค่นี้แหละความจริงข้ากลับสนใจเื่ค้าขายมากกว่า ท่านรู้มั้ยพี่เชวียนตอนนี้ร้านขายน้ำที่เมืองเทียนยินเฉิงมีการคิดสูตรชาใหม่ เรียกว่าชานมมีหลากหลายรสชาติและอร่อยมากๆ ด้วยเห็นว่าตอนนี้ที่เมืองหลินเสี่ยของเรายังไม่นิยมกันในสำนักหมื่นิญญายิ่งแล้วใหญ่ข้าเลยอยากจะเรียนรู้และทำความรู้จักให้มากสักหน่อย แล้วจะเอามาขายที่นี่ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“เ้ามีพวกวัตถุดิบและอุปกรณ์พวกนั้นเหรอ?”
“มีสิ ข้าใช้เงินห้าร้อยเหรียญฝากให้เพื่อนที่เมืองเทียนยินเฉิงซื้อพวกส่วนประกอบและอุปกรณ์มาให้ส่วนวัตถุดิบที่เมืองหลินเสี่ยของเราก็มีขาย แฮ่ๆ ...”เขาถูมือทั้งสองข้างขึ้นลงไปมา เหมือน้าพูดบางอย่าง “จริงๆที่ข้ามาวันนี้เพราะอยากจะให้ท่านช่วยอะไรสักหน่อย...”
“อืม ว่ามาสิ...”
“พอดีว่าที่สำนักหมื่นิญญาของเรานอกจากร้านใหญ่ๆในสำนักก็ไม่มีร้านอื่นเลยข้าจึงอยากได้หนังสือสั่งการที่มีลายมือของพี่เสวียนยินของเราสักใบก็พอแล้วล่ะ...”
เขาว่าแล้วล้วงเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ“อะ อันนี้แหละที่ข้าว่า...”
ข้ารับมาอ่านพักหนึ่งก่อนจะบอกไป“เดี๋ยวถ้าข้าว่างจะเอาไปให้นางแล้วกันส่วนผลจะออกมาดีหรือเปล่าข้าเองก็ไม่กล้ารับประกัน...”
“อืมได้พี่เชวียนมาช่วย ข้าเชื่อว่ามันต้องออกมาดี!”
“รีบไปเรียนเถอะ เดี๋ยวสักพักข้าก็จะไปแล้ว”
“อืม งั้นข้าไปก่อนล่ะ”
ข้ามองแผ่นหลังอวบๆค่อยๆ เดินออกไป แล้วทำได้แค่ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ชอบการฝึกฝนที่เคี่ยวกรำเอาแต่กินๆ นอนๆ อย่างเดียว ขืนเป็แบบนี้จะต้องกลายเป็เ้าเด็กอ้วนแน่ๆ
...
หลังจากทำงานมาทั้งวันก็นัดพี่เสวียนยินออกไปกินข้าวเย็นด้วยกันและถือโอกาสเอาหนังสือที่ซ้งเชียนฝากมาให้นางดู และก็เป็ไปตามคาดเพราะนางไม่เห็นเื่แบบนี้ในสายตาอยู่แล้ว เลยเซ็นไปให้จบเื่
เรานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในร้านนอกสำนักเมื่อดูจากรอยขีดข่วนบนโต๊ะก็พอจะรู้ว่าผ่านการใช้งานมานานพอสมควร
“ดูเหมือนว่าทั้งกระบวนท่าในการใช้ขาและการเคลื่อนไหวของเฉิ่นปู้หยุนจะเข้ากับวิชาลมหายใจัเป็อย่างดีเ้าจะต้องตั้งใจเรียนล่ะ!” นางบอกพลางยิ้มก่อนจะใช้นิ้วม้วนผมไปมาราวกับครุ่นคิดบางอย่าง “หรือจะพูดอีกอย่างก็คือขอแค่เ้าเรียนได้สักแปดสิบเปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดจากนี้ไปเ้าก็ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนอีกแล้ว”
“แล้วถ้าเอาทักษะการต่อสู้ของท่านเทียบกับเฉิ่นปู้หยุนล่ะ?”
“อยู่ต่อหน้าข้าเขาไม่มีทางได้ใช้กระบวนท่าพวกนั้นหรอกเพราะเขาจะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เป็อันขาด”
“ว้าว...”
ข้าเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก่อนจะถามต่อ“ข้าก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง แต่ที่ผ่านมาท่านฝึกฝนอะไรบ้างเหรอท่านพี่?”
“เคล็ดวิชาใจ นิ้วทองคำ แล้วก็ลมหายใจั”
“ง่ายๆ แค่นี้นะ?”
“ก็ใช่ไง” นางหัวเราะออกมา“ถ้าเกิดฝึกฝนวิชาใดวิชาหนึ่งจนเข้าขั้นเซียนก็ถือว่าไร้เทียมทานแล้วล่ะไม่ว่าจะเป็ขั้นสูงอย่างวิชาขั้นสุดยอด ขั้นสูง ขั้นหนึ่งขั้นสองหรือต่ำไปถึงขั้นธรรมดาก็ไม่ต่างกัน เ้าไม่เคยได้ยินคนที่ใช้เพลงกระบี่วายุสังหารเพียงท่าเดียวกลับไร้เทียมทานในเมืองซีเฉิงอยู่หลายปีอย่างจางเทียนหรือไง”
ข้าพยักหน้ารับรู้แล้วถามต่อ“ท่านพี่ ถึงแม้ข้าจะเป็เพียงศิษย์สำรองแต่เมื่อไรข้าจะได้เข้าเรียนตามปกติล่ะข้าเองก็อยากจะเรียนพวกทฤษฎีพื้นฐาน ไหนจะเื่การใช้ปืนผาหน้าไม้พวกนั้นด้วย”
“เื่นี้เหรอ...”พี่เสวียนยินกางขาอันเรียวสวยออกเล็กน้อยในชุดกระโปรงสั้นรัดรูปไม่ว่าใครได้เห็นก็แทบหยุดหายใจ “จริงๆแล้วข้าแค่ออกคำสั่งไปเ้าก็สามารถเลื่อนขั้นได้แล้วล่ะแต่ถ้าทำแบบนั้นคงจะมีหลายคนออกมาคัดค้านและประณาม สู้ให้เ้าเข้าร่วมการทดสอบศิษย์ใหม่ที่จะมีขึ้นอีกสิบวันข้างหน้าไม่ดีกว่าหรือไง?ในทุกๆ สองถึงสามเดือนทางสำนักจะมีการทดสอบหนึ่งครั้งเพื่อคัดศิษย์ของสำนักไปยังสำนักย่อยและห้องเรียนต่างๆคนที่มีพัฒนาการเร็วอย่างเ้าจะให้ผ่านการทดสอบเข้าไปสำนักดีๆ หนึ่งในห้าสำนักชั้นนอกอย่างจวี๋ฉีก็คงไม่มีปัญหา”
“ได้ อีกสิบวันใช่ไหม?” ความรู้สึกคึกคะนองอยากจะสู้ของข้ามันตื่นตัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้จนต้องพูดออกมาในเมื่อจะหลุดพ้นจากชื่อศิษย์สำรอง ก็จะต้องถอดมันออกอย่างมีศักดิ์ศรี!
“อืม เดี๋ยวข้าจะให้สวี่ลู่จัดการให้เอง และอีกอย่างการคัดเลือกของสำนักค่อนข้างเข้มงวดซึ่งเ้าจะต้องเตรียมรับมือให้ดี”
“ข้ารู้แล้วน่า”
“ก็ดี”
ปู้เสวียนยินหาวหวอดแบบี้เีผมยาวสวยสะบัดไปมาก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างสง่างามจนเรียกความสนใจจากโต๊ะข้างๆ ได้เป็อย่างดี แต่เพราะเครื่องหมายดาวสีทองอร่ามที่ติดอยู่บริเวณคอปกทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาเกาะแกะด้วย
คนที่นั่งโต๊ะถัดไปต่างก็ต้องอาศัยทางสำนักหมื่นิญญาในการดำเนินชีวิตโดยสำนักมีการแบ่งอาจารย์ออกตามขั้น คือ อาจารย์ผู้ช่วย อาจารย์ปกติและอาจารย์ระดับสูงที่มีการประดับดาวสีเงินไว้ั้แ่ หนึ่งดวง สองดวงและสามดวงตามลำดับ ส่วนปรมาจารย์นักรบิญญาจะเป็ดาวสีทองดวงเล็กหากแข็งแกร่งที่สุดจะไว้ที่ปกคอเสื้อเพียงดวงใหญ่ดวงเดียวเช่นเดียวกับที่ปกคอเสื้อของพี่เสวียนยินที่มีเกียรติ หรูหรา และมีระดับ
“ข้าจะต้องกลับไปนอนพักสักงีบแล้วล่ะ เ้าเองก็ควรกลับไปพักผ่อนเหมือนกันแล้วค่อยไปให้เฉิ่นปู้หยุนช่วยสอน”
“อืม”
พอจบบทสนทนาเราทั้งสองก็เดินออกมาจากร้านอาหารจนพ้นขอบประตูนางก็พูดขึ้น
“เดี๋ยวก่อน...เสี่ยวเชวียนข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานเฉิ่นปู้หยุนแทบจะฆ่าเ้าอยู่แล้วแล้วแบบนี้เ้าแค้นอะไรเขาหรือเปล่า? เพราะถ้าเกิดไม่ชอบหน้าเขาขึ้นมาเ้าคงไม่มีกะจิตกะใจจะไปเรียนวรยุทธ์กับเขาแน่ๆ”
ข้าส่ายหน้าปฏิเสธ“ไม่หรอก จริงๆ แล้วข้าคิดมาตลอดว่าเฉิ่นปู้หยุนไม่ได้อยากจะฆ่าข้าจริงๆไม่อย่างนั้นคงจะซัดทะลุหัวใจข้าไปั้แ่สามหมัดแรกแล้วแต่เขากลับโจมตีข้าในตำแหน่งอื่นแทน และในทางกลับกันแต่ละหมัดที่ซัดลงมาจะเป็การโจมตีเพื่อเปิดทางสิ่งที่มันยังติดๆ ขัดๆอยู่ในตัวข้าเสียมากกว่า แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ข้าคิดจะถูกหรือผิดกันแน่”
ปู้เสวียนยินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดขึ้น “เ้าคิดได้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะผู้ที่แข็งแกร่งต่างก็ต้องรู้จักใจกว้างและคิดในทางบวกเพื่อรู้จักให้อภัยส่วนพวกที่คิดเล็กคิดน้อยเอาแต่จะแก้แค้นก็จะอวดดีทะนงตนได้เพียงชั่วคราวสุดท้ายก็ไม่อาจเอาชนะขีดจำกัดของตัวเอง และเป็ได้เพียงพวกที่ต่ำต้อยเท่านั้น”
“อืมข้าทราบแล้วท่านพี่”
“ไปเถอะ กลับกันเถอะ!”
...
กลับมาถึงโรงเกลากระบี่ได้ไม่นานซูเหยียนและตั้นไถเหยาก็มาถึงพร้อมกับกล่องข้าวที่ไม่เยอะเหมือนครั้งก่อนๆเหมือนรู้ว่าข้าเพิ่งจะกินจนอิ่มแปล้
“วันนี้เรามาประลองกันดีไหม?” ซูเหยียนเสนอขึ้นมา
อันที่จริงข้าก็คิดว่าการได้ประลองจะช่วยพัฒนาศักยภาพและแก้ไขจุดที่บกพร่องของตัวเองได้ดีที่สุดเพราะการฝึกฝนกับคนด้วยกันย่อมดีกว่าหุ่นไม้แน่นอนอยู่แล้ว
“ตกลง”ข้าตอบตกลงอย่างยินดี
ตั้นไถเหยาที่อยู่ข้างๆแสดงอาการชอบใจจนออกนอกหน้าแล้วนั่งเท้าคางพูดขึ้น “ซูเหยียนสู้ๆ!ปู้อี้เชวียนสู้ๆ!”
ข้ามองอย่างเอาจริงเอาจังซูเหยียนเองก็เรียกกระบี่เพลิงกัลป์ออกมาจนเพลิงร้อนแผ่ไปทั่วลานแห่งนี้จังหวะที่ข้าเรียกกระบี่คมจันทราออกมาสายตาของนางที่มองข้าเหมือนเป็คู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังไม่ต่างกันนัก
ปึง!!!
นางกระทืบเท้าลงพื้นใบไม้ที่เคยดาษดื่นอยู่บนพื้นก็ตีกลับขึ้นมาในอากาศและเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรงกระบี่เพลิงกัลป์สะท้อนแสงแห่งเปลวเพลิงพุ่งตรงเข้าใส่หน้าท้องด้วยกระบวนท่าที่งดงามไร้ที่ติดูเหมือนเพลงกระบี่ของนางจะพัฒนาขึ้นมาก หลังจากที่เรียนวิชาปลายพู่กันจากข้า
วูบ...
ข้าเตะเท้าแล้วถอยเป็ทางยาวพร้อมกับกวัดแกว่งกระบี่เพื่อจำกัดใบไม้ที่บดบังทัศนวิสัยก่อนจะเอี้ยวตัวหลบคมกระบี่อย่างคล่องแคล่วแม้ไม่ใช้พลังิญญา
สุดท้ายซูเหยียนก็พ่ายแพ้ให้กับข้าทั้งเจ็ดกระบวนท่าเพราะไม่สามารถเข้าประชิดตัวได้เลยสักครั้ง ใบหน้าหญิงสาวแดงก่ำด้วยความโกรธก่อนจะพูดเสียงเข้ม“ข้าจะเอาจริงแล้วนะ!”
“เข้ามาเลย!”
แค่พริบตาเดียวพลังของนางก็ปะทุออกมาบนกระบี่เพลิงกัลป์เปลวเพลิงที่พลิ้วไหวดุจัโฉบฉวัดเฉวียน และส่งเสียงคำรามอย่างแ่เบานี่คือเคล็ดวิชาประจำตระกูลซูอย่างเมฆาเพลิงั ซึ่งได้รับการยอมรับจากวิหารเจ็ดเทพว่าเป็หนึ่งในเคล็ดวิชาขั้นสุดยอดที่พบได้น้อยในแผ่นดินนี้
ขณะที่ซูเหยียนจัดกระบี่ในแนวขวางแล้วพุ่งเข้ามาข้าเบี่ยงตัวหลบไปทางซ้ายแล้วกระแทกเข้าที่ไหล่ของนางเบาๆกระบี่ของนางก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้แล้ว แต่กลับเป็กระบี่ของข้าที่ทาบอยู่บนไหล่ของนางแทน
“ฮะ?”
ซูเหยียนถลึงตาโตแล้วถามต่อ“ข้าแพ้แล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่” ข้าพูดอย่างลำพองใจเล็กน้อย
“มันก็ไม่แน่” ซูเหยียนยิ้มออกมา จู่ๆ นางก็หายวับไปต่อหน้าต่อตามีเพียงหมัดที่ไฟลุกท่วมซัดเข้ามาที่หน้าอกอย่างจัง
ตูม!!!
แม้อานุภาพจะไม่มากเท่าไรแต่ก็ทำเอาข้าเซถลาไปไกลถึงหนึ่งเมตร
ข้าชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะถามอย่างฉงน“เมื่อกี้มัน...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆเ้าก็หายไปแบบนั้น?”
ซูเหยียนหัวเราะแต่ไม่ได้พูดอะไร
ตั้นไถเหยาทะโลงจากขอนไม้แล้วพูดขึ้น“นี่คือการควบคุมเวลาที่ข้าเคยบอกไง เมื่อครู่ซูเหยียนเร่งเวลาของตัวเองให้เร็วขึ้นและยืดเวลาของเ้าออกไป ทำให้การกระทำของเ้าช้าลงส่วนซูเหยียนกลับเร็วเหมือนสายฟ้า”
ข้ามองไปยังซูเหยียนอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น“พลังพร์ของเ้าน่ากลัวจริงๆ หวังว่าพวกเราจะเป็มิตรที่ดีต่อกันไปตลอดเพราะข้าเองก็ไม่ได้อยากจะมีคู่ต่อสู้ที่มีพลังเหมือนเ้า”
“เื่นั้นวางใจได้”
ซูเหยียนยืดอกที่นูนเด่นพลางยิ้ม“พวกเราไม่มีทางเป็คู่อริกันแน่นอน! จริงด้วย...พรุ่งนี้ข้ากับอาเหยามาไม่ได้นะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะพรุ่งนี้เป็งานเลี้ยงของศิษย์ใหม่น่ะสิทางงานส่งคำเชิญให้แก่ศิษย์ใหม่ทั้งหมดร้อยคน ซึ่งข้ากับอาเหยาก็เป็หนึ่งในนั้นเช่นกัน”
“อ่อ แบบนี้นี่เอง...” ข้าตอบด้วยน้ำเสียงผิดหวังเล็กน้อย
ซูเหยียนที่เหมือนจะมองออกก็หัวเราะคิกคักออกมา“และอีกอย่างฝ่ายผู้จัดงานได้ฝากข้ากับอาเหยาเป็ตัวแทนมาเรียนเชิญศิษย์สำรองที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างเ้าให้ไปร่วมด้วยฉะนั้นพรุ่งนี้หนึ่งทุ่มตรงเ้าต้องมาให้ได้นะ!”
“...”
งานเลี้ยงศิษย์ใหม่อย่างนั้นเหรอฟังดูไม่เลวเหมือนกัน คงเป็งานที่รวบรวมผู้ที่แข็งแกร่งและชนชั้นสูงมากมายมาไว้ที่เดียวกัน ถือโอกาสทำความรู้จักกันไว้ก็ไม่เลวเหมือนกันข้าต้องไปแน่!