บทที่ 1 สถานการณ์ในศาลบรรพชน
ณ ศาลบรรพชนตระกูลลู่ บนูเาเทียนฉยงในพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเทียนตู
ตระกูลลู่ เป็หนึ่งในเจ็ดตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตู ซึ่งมีอิทธิพลกว้างขวางและมีกฎประจำตระกูลที่เข้มงวด มีแค่เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเป็ความตายและความอยู่รอดของตระกูลเท่านั้น ถึงจะเปิดศาลบรรพชนเพื่อจัดการประชุมภายในตระกูลขึ้น
ณ ขณะนี้ สมาชิกในตระกูลลู่มากกว่าร้อยคน ได้มารวมตัวกันอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของศาลบรรพชนตระกูลลู่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดและความกดดัน
ประมุขของตระกูลนามว่าลู่เหว่ยจุน เขาเป็บุรุษผู้มีรูปร่างหน้าตาสง่างาม ยามนี้สวมใส่เสื้อคลุมสีม่วงประจำกาย กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากทองคำสีนิลและหยกของตระกูล ใบหน้าเรียบนิ่งดุจสายน้ำ สายตากำลังทอดมองสมาชิกในตระกูลกว่าหลายร้อยชีวิตที่เบื้องล่างด้วยใบหน้าที่เ็า โดยไม่พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ
สมาชิกในตระกูลคนอื่นๆ ก็พลอยนิ่งเงียบไปด้วย ต่างคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิด
แต่ไม่นาน บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องโถงก็ถูกทำลายลง!
“ตระกูลลู่ลงทุนลงแรงไปมหาศาล เพื่อให้นายน้อยลู่อวี่ฝากตัวเป็ศิษย์ของปรมาจารย์ปรุงโอสถแห่งเขาหนิงชุยเฟิง แต่โอกาสที่ฟ้าประทานให้เช่นนี้กลับถูกเขาทำลายจนตอนนี้ถูกขับไล่ออกจากสำนัก และถึงขั้นทำให้คนจากเขาหนิงชุยเฟิงไม่พอใจตระกูลลู่ของเรา ทำให้คนตระกูลลู่ต้องเสียผลประโยชน์มหาศาล แล้วเรายังจะให้เด็กที่ไม่ได้ความเช่นนี้มาสืบทอดตำแหน่งสำคัญอย่างประมุขของตระกูลลู่ในภายภาคหน้าได้อย่างไร?”
คนแรกที่เอ่ยปากพูดคือท่านผู้เฒ่าลู่หงเซิ่ง ผู้ที่รับผิดชอบดูแลกฎประจำตระกูล เขาถือเป็ผู้นำของผู้าุโทั้งห้าในตระกูลลู่ ระดับพลังยุทธ์สูงกว่าประมุขตระกูลอย่างลู่เหว่ยจุนหนึ่งขั้น และมีพลังยุทธ์อยู่ในขั้นตงซวนตอนปลาย จึงมีความาุโสูงกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง เขาเป็หนึ่งคนที่ซื่อสัตย์และยุติธรรม อีกทั้งยังมีสิทธิ์มีเสียงในตระกูลไม่น้อย
ดังนั้นแม้ยามนี้เขาจะพูดอย่างไม่ไว้หน้าใคร แต่ทุกคนกลับคิดว่าสิ่งนั้นย่อมสมเหตุสมผลแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนายน้อยลู่อวี่ยังเป็คนหัวดื้อหัวรั้นมาั้แ่เด็ก และมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีในตระกูลลู่อยู่แล้ว จึงไม่ใช่เื่น่าแปลกใจที่ผู้อื่นจะมุ่งเป้าไปที่เขาเช่นนี้
เมื่อมีท่านผู้เฒ่าใหญ่เป็คนริเริ่มเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่เป็กังวลอีกต่อไป ต่างพากันระบายความโกรธที่คุกรุ่นในใจออกมา
“ลู่อวี่ฉวยโอกาสที่ตัวเองเป็นายน้อยของตระกูล ประพฤติตนไม่ดี และแม้จะวางอำนาจบาตรใหญ่ในตระกูลย่อมไม่มีใครว่า แต่ตอนนี้กลับไปประพฤติตัวขายขี้หน้ากับผู้คนนอกตระกูลด้วย ช่างเป็ตัวอัปยศของตระกูลลู่จริงๆ!”
“หากสละโอกาสอันมีค่าเช่นนี้ให้กับลูกหลานผู้มากฝีมือคนอื่นๆ อย่างน้อยแม้ฝีมือจะแย่เพียงใด ก็คงดั้นด้นจนเป็นักปรุงโอสถระดับเก้าอีกคนหนึ่งของตระกูลได้ ตอนนี้ไม่เพียงแต่เสียโอกาสเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลลู่และคนของเขาหนิงชุยเฟิงด้วย นับว่าเสียหายหนักมากจริงๆ”
“ก่อนหน้านี้ข้าคาดหวังว่าเขาจะเป็ผู้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลลู่กับคนของเขาหนิงชุยเฟิง และจัดหาแหล่งวัตถุดิบยาอายุวัฒนะมาให้กับตระกูลลู่มากกว่านี้แท้ๆ แต่ตอนนี้ขอแค่วัตถุดิบไม่ลดน้อยลงก็ขอบคุณฟ้าดินมากแล้ว”
“เป็เพราะแบบนี้ เ้าของฉายาจอมเสเพลเ้าสำราญอันดับหนึ่งในเทียนตูจึงเป็ที่รู้จักกันไปทั่วแล้ว!”
“ใช่ เขานั่นแหละ...”
แต่ละคนมีปฏิกิริยาตอบโต้กันอย่างรุนแรง ลู่อวี่กลายเป็เป้าหมายที่คนนับหมื่นนับพันชี้หน้าด่ากราด
ยาอายุวัฒนะนี้มีความสำคัญต่อผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างยิ่ง ยิ่งกับตระกูลใหญ่ที่หยั่งรากลึกเื่การฝึกบำเพ็ญเพียรเช่นตระกูลลู่ แต่ละปีจึง้ายาอายุวัฒนะในปริมาณมหาศาล
และยาอายุวัฒนะมากกว่าครึ่งในเทียนตู ก็ล้วนมาจากเขาหนิงชุยเฟิงทั้งสิ้น ดังนั้นคนจากสำนักเขาหนิงชุยเฟิงจึงถือว่ามีสถานะสูงศักดิ์ไม่น้อยในเทียนตู แม้แต่ตระกูลลู่ก็ยังดูิ่ไม่ได้ นี่จึงเป็เหตุผลว่าเหตุใดหลายคนในตระกูลลู่ถึงพากันตื่นตระหนกทันทีที่ถูกทางเขาหนิงชุยเฟิงลดปริมาณยาอายุวัฒนะของตระกูลลง เพราะมันย่อมส่งผลกระทบต่อระยะเวลาในการฝึกบำเพ็ญเพียรของคนจำนวนไม่น้อยในตระกูลลู่ และแน่นอนว่ามันย่อมส่งผลกระทบมากต่อคนทั้งตระกูล!
ผู้เฒ่ารองลู่หงชางแอบยิ้มเยาะในใจ ครั้งนี้ลู่อวี่ก่อเื่ใหญ่เสียแล้ว และหากคนในตระกูลยังกัดเื่นี้ไม่ปล่อย ตำแหน่งประมุขของลู่เหว่ยจุน คงไม่อาจรักษาไว้ได้อีกต่อไป
หลังจากที่ทุกคนระบายความเคียดแค้นและชิงชังออกมาแล้ว ลู่หงชางถึงได้ยืนขึ้นถามด้วยใบหน้าและน้ำเสียงจริงจังว่า “เหว่ยจุน ทุกคนรู้ดีว่าเ้ามีลูกชายเพียงคนเดียวคือลู่อวี่ ไม่แปลกหากจะทั้งรักทั้งทะนุถนอมเขาและตั้งความหวังกับเขาไว้สูง แต่เขากลับไร้ซึ่งพร์ ทั้งยังไร้ซึ่งความมุมานะและบากบั่น ตอนนี้ยังกลายมาเป็ความอัปยศของตระกูลลู่อีก ชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปไกล หรือหากจะให้มองในแง่ของคุณสมบัติ พร์และการบำเพ็ญเพียร คนอย่างเขามีคุณสมบัติมากพอให้เป็แบบอย่างแก่คนรุ่นหลังของตระกูลลู่ได้อย่างนั้นหรือ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการสืบทอดของตระกูลลู่ในภายภาคหน้า! เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว เ้าจะไม่อธิบายอะไรให้คนทั้งตระกูลฟังบ้างหรืออย่างไร? หากมัวแต่ถ่วงเวลาเช่นนี้ มันคงไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับเ้าแน่ๆ!”
คำพูดนี้ไม่ไว้หน้าใครแล้ว ลู่หงชางจ้องตำแหน่งประมุขตาเป็มันมานานแล้ว ลู่เหว่ยหวั่นลูกชายคนโตของเขาก็ค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในตระกูล เขาเองก็มีลูกชายหลายคน แต่กับประมุขลู่เหว่ยจุน นับั้แ่ฮูหยินของเขาเสียชีวิตไป เขาก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ จึงมีเพียงลู่อวี่ที่กระจอกงอกง่อยเป็เพียงลูกชายคนเดียวเท่านั้น และสำหรับในตระกูลหนึ่งแล้ว การมีลูกชายไว้สืบทอดอำนาจต่อย่อมเป็หนึ่งในเงื่อนไขการชิงตำแหน่งประมุขของตระกูล หากลู่เหว่ยจุนไร้ซึ่งผู้สืบทอดเช่นนี้ ย่อมต้องสละตำแหน่งเพื่อให้คนที่คู่ควรกว่าขึ้นมารับตำแหน่งแทน
“ท่านประมุข แม้ว่าเหว่ยผิงจะไม่ใช่สายเืโดยตรงของตระกูลลู่ แต่เมื่อตระกูลเจริญเราก็จะเจริญไปด้วยกัน หากล่มจมก็จะล่มจมไปตามกัน ลู่อวี่ในฐานะนายน้อยของตระกูลลู่คนปัจจุบัน ประพฤติตัวแย่และยังทำให้ตระกูลสูญเสียผลประโยชน์เช่นนี้ มันน่าโมโหจริงๆ! เหว่ยผิงขอเป็ตัวแทนเชื้อสายตระกูลทั้งเก้าร้องขอให้ท่านประมุขถอดถอนลู่อวี่เพื่อขจัดความวุ่นวายภายในตระกูลลู่!”
คนที่พูดคือลู่เหว่ยผิงผู้นำของเชื้อสายทั้งเก้าของตระกูลลู่ เขามีพลังยุทธ์อยู่ใน่เริ่มต้นของขั้นตงซวน ทุกคนรู้ดีว่าเขาเองก็จ้องตำแหน่งประมุขตาเป็มันเช่นกัน แต่กลับเปิดเผยแผนการอย่างตรงไปตรงมา และหากลู่เหว่ยจุนยอมปลดตนเองจากตำแหน่งประมุข ตำแหน่งนี้ย่อมตกเป็ของคนที่มีความสามารถ และเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับโอกาสนั้น
“ลู่เหว่ยจุน ลูกชายของเ้าอยู่ในตระกูลก็กำเริบเสิบสานและเที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ ชื่อเสียงไม่ดีดังกระฉ่อนไปทั่ว ทำให้ตระกูลสูญเสียผลประโยชน์ และได้รับความเสียหายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ยังมาทำความขุ่นเคืองใจต่อคนของเขาหนิงชุยเฟิงอีก เื่นี้ผู้ใดจะรับผิดชอบ? เื่เหล่านี้ เ้ายากจะแก้ตัวแล้ว!” เมื่อท่านผู้เฒ่าผู้หนึ่งเห็นว่าลู่เหว่ยจุน ยังคงนิ่งเงียบ ก็อดพูดตำหนิเสียงดังออกมาไม่ได้
เมื่อเห็นทุกคนในตระกูลกำลังขุ่นเคืองใจ ลู่เหว่ยจุน ก็ถึงกับถอนใจ สิ่งที่ลู่อวี่ลูกชายของเขาทำ แน่นอนว่าย่อมทำให้ทุกคนผิดหวัง และในเมื่อเขาไร้ซึ่งผู้สืบทอดอำนาจแล้ว หากดำรงตำแหน่งเป็ประมุขของตระกูลต่อไปก็ไร้ความหมาย ถ้าคนเหล่านี้คิดจะชิงดีชิงเด่นกัน เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้แย่งชิงกันไปเถอะ!
เมื่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว ใบหน้าของลู่เหว่ยจุนก็พลันสงบลง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ทว่าในขณะที่กำลังจะประกาศปลดตนเองออกจากตำแหน่งอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็เหลือบไปเห็นยามรักษาการณ์ผู้หนึ่งของตระกูลเดินเข้ามายังประตูห้องโถงอย่างเร่งรีบ
ยามรักษาการณ์รุดเข้ามารายงานเสียงดัง “เรียนท่านประมุข นายน้อยกลับมายังสำนักแล้วขอรับ!”
“อะไรนะ...”
เกิดความแตกตื่นขึ้นมาในห้องโถงทันที ลู่อวี่ที่หายตัวไปเป็เดือนกลับมาแล้วอย่างนั้นหรือ? เขายังกล้ากลับมาอีกงั้นหรือ?
แต่ลู่เหว่ยจุนกลับรู้สึกดีใจยิ่งนัก เพราะไม่ว่าลูกชายจะไม่ได้เื่เพียงใดแต่สุดท้ายแล้ว ก็ยังเป็ลูกชายของเขาอยู่ดี ขอเพียงกลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบกล่าวออกมาทันทีว่า “ไปเรียกเขาให้มาที่ศาลบรรพชนเดี๋ยวนี้!”
ยามรักษาการณ์ผู้นั้นรีบตอบรับด้วยความเคารพทันที และถอยหลังกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
หลายคนในห้องโถงที่เห็นลู่เหว่ยจุนยืนขึ้นเมื่อสักครู่นี้ ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าท่านประมุขได้ตัดสินใจปลดตนเองออกจากตำแหน่งประมุขแล้ว และใน่จังหวะที่กำลังดีใจกันอยู่เงียบๆ นั้น ก็กลับเกิดเื่ที่ไม่คาดคิดขึ้น และเื่ที่รอกลับถูกตัดบทไปเสียดื้อๆ เพราะคนที่มานั้นกลับกลายเป็นายน้อยลู่อวี่ที่พวกเขารังเกียจอย่างถึงที่สุด ถึงขั้นโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที
ประเดี๋ยวรอเ้านั่นเข้ามา จะขอต่อว่าซึ่งหน้าสักคำ
“โชคร้ายจริงๆ ... ในขณะที่ข้ากำลังกลั่นยาอายุวัฒนะอยู่นั้น ไม่คิดเลยว่าข้าจะตายด้วยยาวิเศษของตัวเอง! ยาอายุวัฒนะบ้านั่นคงจะกลับชาติมาเกิด แล้วยืมร่างกายมนุษย์ไปฝึกบำเพ็ญเพียรเป็เทพเซียนบน์แน่”
ลู่อวี่เดินเข้ามาช้าๆ โดยไม่สนใจสายตาแปลกๆ จากผู้อื่นที่กำลังมองมาทางตน แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น เื่มันเกิดจากยาอายุวัฒนะะเิในวันนั้น โชคดีที่มียาอายุผู้พิทักษ์ิญญาปกป้องไว้ แม้ร่างกายจะแตกออกเป็เสี่ยงๆ แต่ดวงิญญาของเขากลับหลุดลอยออกไปสิงอยู่ในร่างของชายโชคร้ายอีกคนที่เสียชีวิตไปแล้ว
ลู่อวี่! ก็ชื่อลู่อวี่เหมือนกัน!
แต่ลู่อวี่ผู้นี้ เป็คนที่ไม่ได้เื่ที่สุด! หลังจากถูกคนจากเขาหนิงชุยเฟิงไล่ออกจากสำนักด้วยความโกรธ จึงสุ่มกินยาที่ตัวเองปรุงขึ้น เพื่อพยายามพิสูจน์ประสิทธิภาพของยาอายุวัฒนะที่ตัวเองกลั่นออกมา แต่กลับเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ
ประจวบเหมาะกับใน่เวลานั้นที่ิญญาพเนจรของปรมาจารย์ปรุงโอสถนามว่าลู่อวี่ล่องลอยเดินทางมาถึงเทียนตูพอดี จึงใช้โอกาสนี้เข้าสิงร่างของนายน้อยลู่อวี่มาเกิดใหม่
หลังจากนายน้อยลู่อวี่เสียชีวิต ิญญาก็แตกสลายและดับสูญไป แต่ความทรงจำภายในร่างยังคงอยู่ และเมื่อถูกปรมาจารย์ปรุงโอสถลู่อวี่เข้าสิงร่าง แม้ว่าสภาพของร่างกายนี้จะแย่มากเพียงใด และพลังยุทธ์ที่มีก็อยู่ในขั้นสามที่ต่ำจนน่าตกตะลึงอ้าปากค้าง อีกทั้งยังเป็หนุ่มเสเพลเ้าสำราญ แต่ลู่อวี่กลับไม่สนใจสิ่งเ่าั้ ขอเพียงมีความสามารถในการปรุงโอสถ ร่วมกับวัตถุดิบที่ตระกูลลู่มี การจะพลิกสถานการณ์เช่นนี้ จึงเป็เื่ง่ายดาย
ทว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ลู่อวี่สนใจคือ ไม่คิดไม่ฝันว่าเ้าของร่างเดิมจะถูกนักปรุงโอสถตัวเล็กๆ คนหนึ่งจากสำนักบนเขาหนิงชุยเฟิงขับไล่ออกมา เขาในฐานะปรมาจารย์ปรุงโอสถผู้ทรงเกียรติ ทว่านับจากนี้ไปกลับต้องมาแบกรับสภาพสถานะลูกศิษย์ที่ถูกคนจากเขาหนิงชุยเฟิงทอดทิ้ง นี่กำลังล้อเล่นกันใช่หรือไม่?
นักปรุงโอสถขั้นห้าอะไร าาโอสถอะไร ในสายตาของปรมาจารย์ปรุงโอสถลู่อวี่แล้วมันก็เป็เพียงมดตัวหนึ่งเท่านั้น การถูกคนตัวเล็กๆ เช่นนี้กดไว้ ยิ่งทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อย
หลังจากเข้าสิงร่างแล้ว ลู่อวี่ก็ได้ซื้อสมุนไพรบางอย่างมา เพื่อปรุงยาคุณภาพต่ำไว้ให้ตัวเองฝึกฝน จากนั้นก็จัดการโกนผม ชำระร่างกาย และเข้าจำศีลบำเพ็ญเพียร คิดไม่ถึงว่าใน่เวลาเพียงเดือนกว่าๆ เขากลับก้าวะโจากขั้นหลอมร่างขึ้นสู่ขั้นเข้าสู่ประตูแห่งธรรม และขั้นประสานพลังปราณทั้งสองขั้นใหญ่นี้ได้ จนพลังยุทธ์พัฒนาขึ้นไปสู่ขั้นพลังจิต่ต้นได้
ในขั้นพลังจิต่ต้น แม้ว่าจะยังห่างไกลจากสถานะเดิมของลู่อวี่เมื่อกลับมาสู่ความเป็จริง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงกว่าสาวกรุ่นเยาว์ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร และการปรุงยาที่เสริมพลังเช่นนี้ ไม่นับว่าเป็อะไรสำหรับอดีตปรมาจารย์ปรุงโอสถ แต่ถ้าข่าวแพร่สะพัดออกไป มันก็คงทำให้ผู้คนทั่วไปตื่นตระหนกได้!
อันที่จริงลู่อวี่สามารถพัฒนาระดับขั้นขึ้นได้ด้วยยาอายุวัฒนะ แต่ตัวตนในตอนนี้ของเขาคือนายน้อยแห่งตระกูลลู่ที่เป็หนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ของโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในเทียนตู และแม้ว่านายน้อยผู้นี้จะเป็หนุ่มเสเพลเ้าสำราญที่ทุกคนเกลียดชังทั้งจากคนในและคนนอกตระกูล แต่การมีตัวตนอยู่เช่นนี้อย่างน้อยเขาก็ยังได้รับการปกป้องดูแลและได้รับความสะดวกสบาย ดังนั้นเขาถึงชะลอการฝึกฝนและรีบเดินทางกลับตระกูลเสียก่อน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาเกลียดชัง ประหลาดใจ เยาะเย้ย ดูถูกและชิงชังจากทุกคน ลู่อวี่ก็ยังเดินเข้ามาในห้องโถงของศาลบรรพชนอย่างสง่างามและสบายใจ
ปีนี้ลู่อวี่อายุได้ 18 ปี เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดวงตาสดใสราวกับดวงดาว รูปร่างสูงโปร่งดูสง่างามยิ่งขึ้นเมื่อจับคู่กับเสื้อคลุมสีเขียว ทว่าเมื่อนึกไปถึงการกระทำที่ผ่านมาของเขาแล้ว ทุกคนในห้องโถงก็ทำได้เพียงถอนใจเงียบๆ “สวยแต่รูป จูบไม่หอม”
เมื่อทุกคนเห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของลู่อวี่ ก็พลันโกรธขึ้นมาทันที ชายร่างกำยำสูงใหญ่ที่ไว้หนวดเล็กๆ เป็คนแรกที่อดใจไม่ไหว ะโถามเสียงดังขึ้นมาว่า “ลู่อวี่เ้ายังมีหน้ากลับมาอีกหรือ?”
ลู่อวี่เองก็แสดงสีหน้าเอาจริงเอาจัง พูดเสียงดังว่า “เ้าเป็ใคร ถึงกล้ามาทำอวดดีกับนายน้อยเช่นข้า!”
“เ้าคนสารเลว!”
“บังอาจ!”
ทันใดนั้นก็เกิดการดุด่าและสาปแช่งดังโหวกเหวกโวยวายขึ้นในห้องโถง และมีบางคนถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห!
เมื่อลู่อวี่เห็นฉากที่ดุเดือดเช่นนี้ ก็พลันปวดหัวขึ้นมาทันที ปัญหาที่เกิดขึ้นนับว่ารุนแรงไม่น้อย ดูจากสีหน้าและท่าทางที่แสดงออกถึงความเกลียดชังและเคียดแค้นของคนเหล่านี้แล้ว ก็รู้ได้ทันทีว่าเ้าของร่างเดิมนี้ คงไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนในตระกูล?
แต่เมื่อนึกถึงการกระทำที่เ้าของร่างเดิมทำไว้ ก็ไม่แปลกใจที่คนส่วนใหญ่ในตระกูลจะมีท่าทีรังเกียจเขารุนแรงเช่นนั้น แต่ยอดฝีมือที่กลับชาติมาเกิดเช่นเขา ยังต้องมาถูกผู้บำเพ็ญเพียรจากตระกูลเล็กๆ เช่นนี้หยามให้อับอายอยู่อย่างนั้นหรือ?
สายตาคมกริบดั่งคมมีดของท่านผู้เฒ่ารองลู่หงชางจ้องมองไปทางลู่อวี่ พลันถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “ลู่อวี่เ้าสำนึกผิดบ้างหรือไม่?”
“สำนึกผิด?” ลู่อวี่ได้ยินเช่นนี้ ก็ถึงกับหัวเราะเยาะแล้วย้อนถามกลับไปว่า “ข้ามีความผิดอะไรกัน?”