ไม่คิดว่าคนของตระกูลหนานกงจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ คนของสำนักบริบาลเดรัจฉานกลับขัดขวางพวกมันไม่อยู่ คิดๆ ดูแล้ว เขาตบหัวของสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวคราหนึ่งพูดว่า “ไปยอดเขาซีเสีย!”
ยอดเขาซีเสียเป็ยอดเขาสูงที่สุดภายในรัศมีพันลี้ของูเาเยี่ยนซานตั้ง แน่นอนว่าแค่เปรียบเทียบกับเนินเขาเ่าั้เท่านั้น ยอดเขาซีเสียเป็ป่าทึบต้นไม้หนาแน่น เป็สถานที่ที่มีผู้คนอาศัยอยู่น้อยในูเาเยี่ยนซานตั้ง ตอนที่หลบหนี เลวี่ยเหวินซิวส่งเสียงทางลมปราณให้เขาไปที่ยอดเขาซีเสีย เลวี่ยเหวินซิวจะให้กระทิงเขียวตามไปช่วยเขา
กระทิงเขียวเป็สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียว ถึงแม้ยังไม่ทะลวงด่านบรรลุขอบเขตระดับห้า แต่กระทิงเขียวตัวนั้นเป็อีกสายพันธุ์หนึ่งของราชันสัตว์อสูรเนตร์ เดิมราชันสัตว์อสูรเนตร์เป็สัตว์เทพเ้า สำนักบริบาลเดรัจฉานมิทราบใช้วิธีการใด กลับทำให้กระทิงเขียวมีชีพจรสายเืราชันสัตว์อสูรเนตร์เข้มข้นยิ่งนัก หลังจากชีพจรสายเืกลายพันธุ์แล้วกลับไม่อ่อนแอลง ทั้งยังแปรเปลี่ยนเป็ราชันสัตว์อสูรเนตร์กลายพันธุ์ชนิดหนึ่ง เทียบกับราชันสัตว์อสูรเนตร์สายพันธุ์บริสุทธิ์แล้วยังร้ายกาจยิ่งกว่า เพราะตัวมันประกอบด้วยคุณสมบัติธาตุวายุของกระทิงเขียวนั่นเอง ด้านความเร็วเหนือกว่าราชันสัตว์อสูรเนตร์มากมายนัก แต่ด้านพลังต่อสู้กลับมีพลังของราชันสัตว์อสูรเนตร์ ขณะเดียวกันยังมีความสามารถในการป้องกันอันแข็งแกร่งของกระทิงเขียว ดังนั้นพลังต่อสู้ของกระทิงเขียวเหนือกว่าทายาทรุ่นหลังของสัตว์เทพเ้าบางตัวด้วยซ้ำ เพียงพอจะต่อสู้กับจักรพรรดิาทั่วไประดับต้น
ดังนั้น แม้ว่าสองจักรพรรดิาตระกูลหนานกงตามมา จ้านอู๋มิ่งก็มิใช่ว่าจะไม่สามารถต่อสู้สักตั้ง
……
จ้านอู๋มิ่งและคนอื่นๆ จากไป เยี่ยนซานตั้งก็เละเป็โจ๊กไปแล้ว โชคดีที่ฤทธิ์ของผงหอมรบกวนจิตสมาธิฟ้าบกพร่องดำรงอยู่ได้ไม่นาน หากรับมืออย่างถูกต้อง สิบห้านาทีฤทธิ์ยาก็สลายแล้ว สัตว์อสูรจิติญญาจะฟื้นคืนสติแจ่มใสคืนมาอีกครั้ง เพียงแต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป อัจฉริยะจากสถานที่ต่างๆ ทุกคนไม่ทันตั้งตัวจึงเสียชีวิตและาเ็ไปบ้าง
หลังจากความวุ่นวายโกลาหลนี้ เดิมบรรดาอัจฉริยะที่้าเลือกเข้าสำนักกระบี่ิญญาล้วนกระจายจากไปหมดสิ้น จักรพรรดิาทั้งสามแห่งสำนักกระบี่ิญญาและจักรพรรดิาสองคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานก็ไม่ได้เผชิญหน้ากันนานนัก กล่าวถึงที่สุดแล้วสำนักนิกายหลักทั้งสองยังไม่ถึงจุดที่จะเผชิญหน้าต่อสู้กันจนถึงขั้นแตกหัก เจิงฉู่ไฉก็มิรู้สึกกังวลที่เห็นคนอ้วนเตี้ยไล่ตามหนานกงเจี้ยนเซ่อไป ด้วยความเร็วของจักรพรรดิาสองคนแห่งตระกูลหนานกง ใต้หล้าจักรพรรดิาในระดับขอบเขตเดียวกันผู้ที่สามารถติดตามพวกมันทันมีน้อยยิ่งนัก ผู้าุโเจ็ดของสำนักบริบาลเดรัจฉานก็มิได้สันทัดในเื่ความเร็ว มันคิดจะไล่ตามหนานกงพั่วไฮว่ไป เกรงแต่ว่าตอนที่มันไล่ตามจนทันซากศพของจ้านอู๋มิ่งคงเย็นชืดแล้ว
ขอเพียงจ้านอู๋มิ่งดับสูญ เจิงฉู่ไฉเองก็มิคิดจะพัวพันยุ่งเกี่ยวกับสำนักบริบาลเดรัจฉานต่อไป จ้านอู๋มิ่งเสียชีวิตด้วยน้ำมือของตระกูลหนานกง สำนักบริบาลเดรัจฉานก็มิสามารถกล่าววาจาใด ว่ากันถึงที่สุดแล้วจ้านอู๋มิ่งก็ยังไม่ได้เข้าเป็ศิษย์ของสำนักบริบาลเดรัจฉานอย่างเป็ทางการ อย่างมากที่สุดก็ถือว่าเป็เพียงในนามเท่านั้น สำนักบริบาลเดรัจฉานก็ตำหนิตระกูลหนานกงไม่ได้เช่นกัน เพราะผู้อื่นไม่ได้ฆ่าคนต่อหน้าต่อตาเ้าสักหน่อย
หลังจากที่สำนักนิกายหลักต่างๆ ปลอบสัตว์อสูรจิติญญาของตนสงบลงแล้ว ล้วนมองสำนักบริบาลเดรัจฉานด้วยสายตาแฝงความขมขื่นตัดพ้อ ทำให้สัตว์อสูรวุ่นวายปั่นป่วนดูแล้วเป็ฝีมือของจ้านอู๋มิ่ง แต่พวกเขาก็คิดเหมือนเช่นเดียวกับเจิงฉู่ไฉ คิดว่านี่เป็สิ่งที่สำนักบริบาลเดรัจฉานลอบจัดเตรียมไว้ให้จ้านอู๋มิ่ง มิฉะนั้นไฉนจึงมีแต่สัตว์อสูรจิติญญาของสำนักบริบาลเดรัจฉานที่ไม่เกิดอาการคลุ้มคลั่ง โชคดีที่สำนักนิกายหลักๆ แต่ละสำนักไม่ได้สูญเสียอะไรมากยกเว้นสำนักกระบี่ิญญา มิฉะนั้นเกรงว่าสำนักบริบาลเดรัจฉานจะต้องให้คำอธิบายกับทุกคน
ถึงเวลานี้การคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกายหลัก ไม่ใช่งานเลี้ยงชุมนุมอีกต่อไปตั้งนานแล้ว กลับเหมือนกำลังทำความสะอาดสมรภูมิสนามรบมากกว่า ทุกคนหมดอารมณ์สนใจแล้ว ถูกจ้านอู๋มิ่งขัดจังหวะผสมผสานขึ้นมาเช่นนี้คราหนึ่ง บนพื้นฐานที่ไม่เหมือนเดิมแล้ว สายตาของอัจฉริยะแท้จริงที่มองสำนักนิกายก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป พวกเขาไม่เป็ฝ่ายเริ่มวิงวอนขอเข้าเป็ศิษย์สำนักนิกายอีก แต่กำลังคอยเฝ้าสังเกตการณ์ คนเ่าั้ที่ลงชื่อขอสมัครล้วนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองมากเท่าไรนัก แต่ละสำนักนิกายหลักก็ดูไม่ค่อยเข้าตาน่าสนใจเช่นกัน งานเลี้ยงชุมนุมใหญ่กลายเป็งานรสชาติจืดชืดไปแล้ว
สำนักบริบาลเดรัจฉานประกาศเสียงดัง อัจฉริยะที่ได้รับคัดเลือกในวันนี้จะทำการเปิดประตูสำนักดำเนินพิธีการต่อไปในอนาคต ด้วยพิธีการเต็มรูปแบบรับเข้าเป็ศิษย์สำนักอย่างเป็ทางการ ดังนั้นเหล่าบรรดาอัจฉริยะที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ จึงมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วที่หน้าห้องโถงสำนักบริบาลเดรัจฉานทันที
อัจฉริยะยังคงแยกแยะได้ง่ายดายยิ่ง เดิมทีปรมาจารย์นักยุทธ์ที่ระดับ 6 หรือสูงกว่าทั้งหมดที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีถือได้ว่าเป็อัจฉริยะพิเศษแล้ว แต่ครั้งนี้สำนักบริบาลเดรัจฉานประกาศปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับ 7 ขึ้นไปที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีทุกคน สามารถเข้าร่วมพิธีการเต็มรูปแบบรับเข้าเป็ศิษย์สำนักอย่างเป็ทางการ เป็ศิษย์สายในของสำนัก พลันทรัพยากรบุคคลชนชั้นนำส่วนใหญ่ก็ถูกดึงตัวไปในทันใด คนอื่นที่เหลือได้แต่เข้าแถวต่อคิวอย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย หวังว่าจะสามารถเข้าไปในแต่ละสำนักใหญ่ สำนักบริบาลเดรัจฉาน สำนักิญญาเร้นลับ ตลอดจนสำนักิญญา์ถูกเลือกอันดับต้นๆ สำหรับนักบ่มเพาะที่เป็สตรี สำนักเมฆาอาทิตย์อัสดงเป็ตัวเลือกอันดับแรก
เดิมสำนักกระบี่ิญญาซึ่งครึกครื้นที่สุดกลับมีเพียงนกกระจอกเพียงสองสามตัวเท่านั้น เงียบเหงามากจนสามารถกลับบ้านไปฉลองปีใหม่ได้แล้ว อัจฉริยะเ่าั้ที่ได้รับการคัดเลือก สีหน้าการแสดงออกดูเศร้าและวิตกกังวล เพิ่งเข้าสำนักกระบี่ิญญา ยังมิทันไปถึงสำนักพวกมันก็รู้สึกสำนึกเสียใจแทบตายแล้ว แต่พวกมันก็มิกล้าออกจากสำนักไปทำการทดสอบที่สำนักนิกายอื่น
สำนักอื่นแต่ละสำนักเห็นสำนักบริบาลเดรัจฉานทำเช่นนี้ก็อับจนปัญญา ต่างพากันแก้ไขกฎเกณฑ์ข้อกำหนดแล้ว ขืนไม่แก้จะไปไม่รอด อัจฉริยะที่แท้จริงล้วนไปสำนักบริบาลเดรัจฉานกันหมดแล้ว กลับไปจะมิสามารถอธิบายต่อผู้าุโและเ้าสำนักได้ จึงได้แต่เสนอเงื่อนไขเช่นเดียวกับสำนักบริบาลเดรัจฉาน สำนักกระบี่ิญญาเดือดดาลแล้ว ได้แต่เสนอเงื่อนไขที่ดีมากยิ่งกว่า บอกว่าปรมาจารย์นักยุทธ์ระดับเจ็ดที่อายุต่ำกว่าสิบแปด ทันทีที่เข้านำนักก็สามารถเป็ศิษย์หลักได้เลย ซึ่งเงื่อนไขเมื่อเทียบกับสำนักบริบาลเดรัจฉานและแต่ละสำนักนิกายใหญ่ๆ แล้วย่อมดีกว่า แต่กลับแลกมาซึ่งการดูถูกเหยียดหยามจากนิกายอื่นเท่านั้น อัจฉริยะแท้จริงก็หัวเราะเย้ยหยันเ็าเช่นกัน พฤติการณ์ของสำนักกระบี่ิญญาเหมือนเื่ตลกก็มิปาน ทุกคนกำลังดูเื่ตลกของสำนักกระบี่ิญญา ไม่มีผู้ใดโง่งมพอที่จะคิดว่า สำนักกระบี่ิญญาจะให้ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักกลายเป็ศิษย์หลักจริงๆ หากเป็เช่นนี้ เกรงว่าบรรดาศิษย์พี่ที่อยู่ในสำนักกระบี่ิญญาเนิ่นนานแล้วคงจะออกอาการแผลงฤทธิ์เดชกันสุดฝีมือ ทำให้บรรดาศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาและกลายเป็ศิษย์หลักทันทีได้ทราบว่าอันใดเรียกว่าฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
การคัดเลือกใหญ่ของสำนักนิกายก็เหมือนพิธีการ โดยเฉพาะบรรดาผู้าุโขอบเขตจักรพรรดิา จิตใจความคิดของพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่เนิ่นนานแล้ว เื่ราวการรับสมัครลูกศิษย์เช่นนี้ เพียงแต่กำหนดกติการะเบียบกฎเกณฑ์ไว้ เื่อื่นๆ เพียงแค่ปล่อยให้ลูกศิษย์ระดับราชันาไปจัดการก็ใช้ได้แล้ว นอกจากนี้ในหมู่ศิษย์ที่พวกเขานำมามีราชันาชั้นสูงสุดอยู่หลายคน สามารถจัดการปัญหาเื่ราวต่างได้ หากมีเื่ใหญ่เกิดขึ้นจริงๆ ค่อยไปเรียกตัวประหลาดเฒ่ามาออกหน้าลงมือก็ยังมิสาย
เลวี่ยเหวินซิวไม่สามารถทนรอได้อีกต่อไป ในใจเขาครุ่นคิดถึงแต่จ้านอู๋มิ่ง สำหรับศิษย์ที่ยังไม่ได้คารวะอาจารย์รับเข้าเป็ศิษย์สำนักคนนี้ ถูกตาต้องใจเขาจริงๆ ต่อให้เขาต้องละทิ้งเหล่าบรรดาอัจฉริยะทั้งหมดในวันนี้ไป เขาก็ไม่รู้สึกว่าย่ำแย่แต่ประการใด ดังนั้นพอเขาสลัดหลุดจากเจิงฉู่ไฉ ก็รีบเร่งเดินทางไปยอดเขาซีเสียทันที
……
“ไอ้หนู ถ้าเ้าสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือข้า ั้แ่นี้ไปข้าจะไม่ใช้แซ่หนานกง! ” เสียงของหนานกงพั่วไฮว่แว่วมาแต่ไกล น้ำเสียงเต็มไปด้วยสำนึกฆ่าฟัน มันมุ่งมั่นตั้งใจจะฆ่าจ้านอู๋มิ่งให้ได้ จากนั้นตามฆ่าเก้าชั่วโคตรของมันต่อไป
จ้านอู๋มิ่งหนีไปที่ใด หนานกงพั่วไฮว่ก็จะตามไปถึงที่นั่น แม้ว่าจ้านอู๋มิ่งจะกลับไปสาขาสำนักบริบาลเดรัจฉานเมืองหนานเจา ก็ไม่สามารถขัดขวางมันได้ แน่นอน สำหรับสำนักบริบาลเดรัจฉานพวกมันยังคงต้องให้ความเกรงใจในระดับหนึ่ง ถึงแม้ตระกูลหนานกงจะแข็งแกร่ง แต่เปรียบเทียบกับสำนักนิกายชั้นนำแล้ว ยังมีส่วนที่ด้อยกว่ามิอาจทัดเทียมได้อยู่
ดีที่ทิศทางที่จ้านอู๋มิ่งวิ่งไปไม่ใช่สาขาของสำนักบริบาลเดรัจฉาน เื่นี้ทำให้มันถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่บ้าง หากจ้านอู๋มิ่งไปที่สาขาของสำนักบริบาลเดรัจฉานจริงๆ เื่ราวอาจค่อนข้างตึงมือกว่าเดิม มันสามารถที่จะพยายามไม่ทำร้ายคนของสำนักบริบาลเดรัจฉานอย่างสุดความสามารถ แต่สำนักบริบาลเดรัจฉานย่อมไม่ยอมอดกลั้นโทสะครั้งนี้อย่างแน่นอน จ้านอู๋มิ่งตรงไปที่ยอดเขาซีเสีย ซึ่งตรงกับความตั้งใจของมันพอดี ต้นไม้หนาทึบผู้คนน้อย แม้ว่าจะสังหารจ้านอู๋มิ่งไปแล้ว สำนักบริบาลเดรัจฉานก็มิได้เห็นด้วยตาตนเอง ตนเองก็ยืนกระต่ายขาเดียวมิยอมรับ สำนักบริบาลเดรัจฉานคิดจะสร้างความยุ่งยากให้ตระกูลหนานกงก็ขาดหลักฐานเช่นกัน
“หลังจากวันนี้ไป เ้าจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่ก็ยังไม่ทราบ จะแซ่หนานกงหรือไม่เกี่ยวข้องอันใด ใครจะทราบกันเล่า! ” จ้านอู๋มิ่งนั่งอยู่บนสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียว รักษาอาการาแบนร่างกายด้วยพลังจิติญญาอนัตตาที่มีอยู่ไม่มากไปพลาง พูดจาโต้ตอบไปพลาง วิ่งได้ไม่เร็วมากนักเขาเองก็อับจนปัญญา ความเร็วของสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียววิ่งไว้เพียงเท่านี้คนตระกูลหนานกงล้วนเป็ผิดแผกแตกต่างกับคนทั่วไป ความเร็วระยะสั้นๆ เทียบเท่าสัตว์ปีกอสูรที่สามารถบินได้ เห็นหนานกงพั่วไฮว่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาตื่นเต้นยิ่งนัก หากทราบว่าคนตระกูลหนานกงรวดเร็วมากเช่นนี้แต่แรก เริ่มแรกเขาคงนั่งกระทิงเขียวโดยตรงมาแล้ว กระทิงเขียวเป็สัตว์อสูรที่มีคุณสมบัติของลมสันทัดเื่ความเร็ว ถึงแม้ใน่ระยะสั้นอาจไม่เร็วกว่าคนตระกูลหนานกง แต่ก็ไม่ถูกตามทันรวดเร็วขนาดนี้ นอกจากนี้สมรรถภาพทางกายของสัตว์อสูรแข็งแกร่งมาก สามารถห้อตะบึงเป็ระยะเวลายาวนาน หลังจากคนตระกูลหนานกงวิ่งมาระยะทางไกลนับพันลี้ ความเร็วจะต้องสู้กระทิงเขียวไม่ได้อย่างแน่นอน บางทีตนอาจสามารถหลบหนีและไปรวมกลุ่มกับเลวี่ยเหวินซิวแล้ว ล้วนต้องกล่าวโทษที่ตนเองละโมบเกินไป ้าลักพาตัวสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวมา
“ไอ้หนู คุยโวนักช่างไม่รู้จักละอายใจ อีกสักครู่จะทำให้เ้าทราบว่าบทลงทัณฑ์สิบประการของหนานกงรสชาติเป็อย่างไร ข้าจะเกี่ยวลิ้นอันชั่วร้ายของเ้าออกมา หมักด้วยเกลือ ถลกหนังเ้าออกทั้งตัว แล้วทาด้วยน้ำผึ้งตลอดทั้งตัว ให้มดค่อยๆ กัดแทะกินเนื้อของเ้าทีละคำๆ……”
เสียงอันน่าสยดสยองของหนานกงพั่วไฮว่ฟังจนจ้านอู๋มิ่งขนลุกชูชันขึ้นมาทั้งตัว ลอบด่าขึ้นในใจ “สารเลวนัก ตัวประหลาดเฒ่านี้คงไม่ทำจริงๆ หรอกนะ เช่นนั้นก็จะต้องมีชีวิตอยู่มิสมหวังและตายมิสมปรารถนาแล้ว ตระกูลหนานกงมิใช่ตัวดีจริงๆ บทลงทัณฑ์สิบประการยังมิทันดำเนินการก็ขู่ขวัญคนแทบตายแล้ว” จ้านอู๋มิ่งแอบคิดในใจ ไม่อาจตกอยู่ในกำมือของเฒ่าผู้นี้อย่างเด็ดขาด หากถูกมันจับตัวได้จริงๆ บิดาจะะเิตนเอง จะได้ไม่ต้องโดนถลกหนังแล้วยังถูกป้อนเป็อาหารของมดอีก ตระกูลหนานกงช่างน่าสยดสยองเกินไปแล้ว ตระกูลชนิดนี้ไม่จำเป็ต้องดำรงคงอยู่อีกต่อไป
“ไอ้หนู ข้าจะทำให้เ้ามีชีวิตอยู่มิสมหวังและตายมิสมปรารถนา ทำให้เ้ากลายเป็โครงกระดูกกองหนึ่งท่ามกลางความสิ้นหวังและความเ็ป ฉันจะใช้โอสถจิติญญายืดชีวิตของเ้า ให้เ้าผ่านกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดนี้อย่างมีสติแจ่มใส……” หนานกงพั่วไฮว่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันคำรามขึ้น ดุจเสียงปีศาจคร่ำครวญโหยหวน
“เ้า ไอ้เฒ่าจิตใจวิปริต พวกเ้าตระกูลหนานกงล้วนเป็พวกจิตใจวิปริตที่น่าตาย……” จ้านอู๋มิ่งรู้สึกตื่นตระหนก คำพูดตัวประหลาดเฒ่านี้ข่มขวัญผู้คนมากเกินไปแล้ว
“ไอ้หนู เราผู้ชรารู้สึกได้ว่าเ้าหวาดหวั่นพรั่นพรึงแล้ว สั่นสะท้านไปเถอะ เราผู้ชราจะไม่ยอมให้เ้าได้ตายง่ายๆ เช่นนี้หรอก! ” เสียงของหนานกงพั่วไฮว่เข้ามาใกล้กว่าเดิมอีกแล้ว ด้วยอัตราความเร็วที่ร่างมันพุ่งทะยาน มองเห็นเป็เพียงภาพมายาสายหนึ่งท่ามกลางต้นไม้
“ข้าสั่นสะท้านบรรพบุรุษตระกูลหนานกงสิบแปดรุ่นของเ้า ผู้ใดจะตายนั้นยังไม่แน่ บิดาสามารถอาศัยพลังอ่อนแอกว่ามีชัยชนะเหนือผู้แข็งแกร่งกว่าสังหารหนานกงฉู่พันธุ์เถื่อนผู้นั้นได้ รับมือกับเฒ่าวิปริตเ้านี้ก็ไม่เห็นว่าจะต้องตาย พวกเ้าคนของตระกูลหนานกงหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ ยังตระกูลสูงส่งมีเกียรติอันใดอีก มิสู้เรียกสำนักโสเภณีเมืองหนานกงดีกว่า จักรพรรดิาผู้สง่างามผู้หนึ่ง ต่อหน้าปรมาจารย์นักยุทธ์เช่นบิดาผู้หนึ่งมีอันใดน่าคุยโตโอ้อวด แน่จริงรอให้บิดาบรรลุจักรพรรดิาก่อนค่อยมาต่อสู้กันสิ บิดาจะต้องกวาดล้างตระกูลหนานกงพวกเ้าหมดสิ้นอย่างแน่นอน พวกบุรุษล้วนสังหารหมดสิ้น พวกสตรีล้วนขายให้สำนักนางโลมหมดสิ้น……” จ้านอู๋มิ่งจากอับอายกลายเป็โทสะ ตัวประหลาดเฒ่าผู้นี้พูดจาเสียดแทงใจเขาพอดี พี่ชายก็เป็คนเหมือนกันนะ รู้จักหวาดกลัวเช่นกัน เ้าขู่ขวัญทำให้ข้ากลัวเช่นนี้ ก็อย่าได้มาโทษว่าข้าสร้างภาพเลอะเทอะไร้เหตุผลแล้ว!
หนานกงพั่วไฮว่โกรธจัดจนหัวเราะขึ้นมา ไอ้หนูนี่ความตายกำลังมาเยือนแล้วยังคงใช้ประโยชน์จากคารมลิ้นอีก ก่นด่าวาจาระคายเคืองบาดหูถึงขนาดนี้ เ้าเล่ห์บ้าคลั่งดั่งคนพาละโด่าเหมือนแม่ค้าปากตลาดบนท้องถนน มันคาดคิดไม่ออกจริงๆ ไอ้หนูนี่ก็เป็คุณชายของตระกูลเล็กๆ ผู้หนึ่ง ถึงอย่างไรก็สมควรได้รับการอบรมสั่งสอนจริยธรรมมาบ้าง ไฉนจึงเหมือนกับคนพาลดั่งนักเลงอันธพาล?
“ไอ้หนู ตอนนี้เ้าด่าอย่างยิ่งสนุกหรรษามากขึ้น เราผู้ชราจะให้เ้ามีชีวิตอยู่ยิ่งยาวนานขึ้น เราผู้ชราคิดวิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับไปจะเตรียมโถให้เ้าใบหนึ่ง ทำให้เ้าเป็มนุษย์ท่อนไม้ท่อนหนึ่งแล้วใส่ลงไปในโถ ลอกิัออกแล้วโรยด้วยเกลือ หมักเ้าขึ้นมาทั้งเป็ๆ มีชีวิตอยู่……”
จ้านอู๋มิ่งบันดาลโทสะแล้ว หันกลับไปดูด้านหลัง หนานกงพั่วไฮว่ห่างจากตนเพียงไม่กี่ร้อยวา และหนานกงเจี้ยนเซ่อเนื่องจากอาการาเ็ส่งผลกระทบต่อความเร็ว ยังตามหนานกงพั่วไฮว่ไม่ทัน เขากัดฟันคราหนึ่ง แม่ง บิดาเสี่ยงชีวิตกับเ้าแล้ว จะได้ไม่ต้องถูกเ้าข่มขวัญกระทั่งหวาดกลัวจนไม่กล้าต่อสู้ขึ้นมา คนตระกูลหนานกงพวกนี้มิใช่คนดีจริงๆ ฆ่าคนก็เพียงแค่ศีรษะหล่นพื้นเท่านั้นเอง ใช้วิธีการลูกเล่นต่างๆ มากมายถึงขนาดนี้ แค่ฟังมันพูดอย่างเดียวก็ต้องถูกข่มขวัญจนเสียชีวิตแล้ว
แต่ว่า ต่อให้คิดจะเสี่ยงชีวิตก็ไม่สามารถปะทะกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ ไอ้เฒ่าผู้นี้เป็จักรพรรดิาขั้นต้นของแท้แน่นอนเชียวนะ ถึงแม้พลังต่อสู้ของสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวจะสามารถสู้กับจักรพรรดิาขั้นต้นทั่วไป แต่ว่าก็มีช่องว่างระยะห่างอยู่ โดยเฉพาะไอ้เฒ่าหนานกงพั่วไฮว่ผู้นี้ไม่ใช่จักรพรรดิาธรรมดาทั่วไป แต่เป็จักรพรรดิาที่เจนจัดเื่ความเร็ว หากต่อสู้กับสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวขึ้นมา สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวที่ร่างกายแข็งแกร่ง พลังมหาศาลนี้เกรงว่าแม้แต่เส้นขนของฝ่ายตรงข้ามก็มิสามารถััถูกด้วยซ้ำ ผู้ที่สามารถบ่มเพาะถึงขอบเขตจักรพรรดิาล้วนแล้วแต่เป็คนสันทัดจัดเจนมากประสบการณ์ทั้งสิ้น จะยินยอมเสี่ยงชีวิตเข้าประลองพลังกับสัตว์อสูร นั่นก็เป็เื่แปลกแล้ว ดังนั้นหาก้าเสี่ยงชีวิตกับไอ้เฒ่านี้ ก่อนอื่นต้องจำกัดควบคุมความเร็วของมันไว้ก่อน
“ไป ไปด้านซ้าย! ” จ้านอู๋มิ่งสั่งเสียงเบาคำหนึ่ง นั่งสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวมุดเข้าไปในป่าหินระเกะระกะผืนหนึ่งของยอดเขาซีเสียทันที พร้อมโปรยลูกบอลเล็กๆ ออกกำมือหนึ่ง
“ไอ้หนู จุดจบของเ้ามาถึงแล้ว! ” หนานกงพั่วไฮว่ยิ้มอย่างโเี้ มันััได้ถึงความหวาดหวั่นภายในใจและอับจนปัญญาของจ้านอู๋มิ่ง สามารถทำให้ไอ้หนูที่โอหังต้องขวัญเสียขนาดนี้ ก็นับว่ามิใช่เื่ง่ายแล้ว นึกถึงอีกไม่นานก็สามารถฆ่าไอ้หนูนี้แล้วหนานกงพั่วไฮว่อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมิสามารถควบคุมได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้