ซูเฟยซื่อจงใจเพิ่มและเน้นคำว่าใช้กฎระเบียบครอบครัวจัดการจนหญิงรับใช้ทั้งสามต่างพากันตัวสั่น พวกนางรีบแย่งกันบอกเล่าอย่างหวั่นกลัวกันเป็อย่างยิ่ง
“นายหญิงทราบดี วันนี้บ่าวเห็นอาจูด่าคุณหนูสามกับตาไม่เพียงเท่านี้ นางยังคิดตีคุณหนูสามด้วยเ้าค่ะ”
“ใช่ๆ ๆ เป็เช่นนั้น วันธรรมดาอาจูก็อาศัยที่คุณหนูสามนิสัยดี ไม่ได้ปฏิบัติต่อคุณหนูสามในฐานะเป็เ้านายด่าตีล้วนเป็เื่ปกติวิสัยเ้าค่ะ”
“บ่าว...” สองสาวใช้ก่อนหน้านี้ได้กล่าววาจาไปหมดแล้วหญิงรับใช้คนที่สามถึงกับหมดคำพูด แต่หากไม่พูดอะไรบ้าง ก็เกรงว่าจะเป็การขัดใจคุณหนูสามอีก
คุณหนูสามในปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อน ในกรณีที่เกิดทำให้นางไม่พอใจ การตัดลิ้นยังถือว่าเป็เื่เล็ก
คิดถึงลักษณะการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวในการเข่นฆ่าของซูเฟยซื่อในวันนี้นางก็อดตัวสั่นเทิ้มไม่ได้ “ความจริงอาจูไม่ได้แกล้งคุณหนูสามเพียงวันสองวัน แต่อย่างไรคุณหนูสามก็ไม่เคยโต้ตอบ วันนี้เป็...อาจูที่ทำเกินไปจริงๆ ไม่เพียงด่าว่าทำความอัปยศต่อคุณหนูสามเท่านั้น ยังด่าลบหลู่นายหญิงอีกด้วย คุณหนูสามทนเห็นนายหญิงรับความอัปยศไม่ได้จึงลงมือตัดลิ้นเ้าค่ะ”
เมื่อคำพูดนี้ออกจากปาก แม้แต่ซูเฟยซื่อก็ตะลึงงัน
สาวรับใช้หลักแหลมปากคอเราะรายบิดเบือนความจริง ทำให้สิ่งที่ผิดกลายเป็ถูก เพื่อเอาใจนางถึงกับอ้างนายหญิงแซ่หลี่
นางกล่าววาจานี้ออกมา อาจูคิดจะไม่ตายก็ล้วนเป็เื่ยากแล้ว
แม้แต่สาวรับใช้เล็กๆคนหนึ่งก็ยังร้ายกาจขนาดนี้ ดูไปแล้วจวนอัครมหาเสนาบดีเป็สถานที่ที่มิอาจประมาทไปได้จริงๆ
แต่นางยังนับว่าได้เห็นชัดแจ้งแล้วขอเพียงเป็ผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง มีความอำมหิตเพียงพอ จึงจะสามารถหยั่งรากยืนหยัดอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดีแห่งนี้
ในที่สุดสาวรับใช้ทั้งสามก็พูดในสิ่งที่ทั้งควรพูดและไม่ควรพูดจนหมดแล้วทว่าใจของอาจูกลับตายสนิทไปนานแล้ว
เื่มาถึงตอนนี้ ดำล้วนกลับเป็ขาว นางจะสามารถพูดอะไรได้อีก?
“บ่าวไพร่ ลากอาจูไปโบยห้าสิบไม้กระดาน แล้วไล่ออกไปจากจวนอัครมหาเสนาบดี” มือของนายหญิงแซ่หลี่โบกขึ้นทันที นางผันหน้าเศร้าปวดใจมองซูเฟยซื่อ“คิดไม่ถึงว่าปกติเ้าได้รับความอยุติธรรมปานนั้น ทำไมไม่มาบอกแม่ใหญ่?”
“แม่ใหญ่ดูแลจัดการจวนอัครมหาเสนาบดีทั้งหมดได้ ก็ถือเป็เื่ลำบากมากแล้วเื่เล็กน้อยเท่านี้เฟยซื่อไหนเลยจะกล้ารบกวนท่านได้เ้าค่ะ” ซูเฟยซื่อเลิกคิ้วพลางกล่าว
นางเห็นแววรังเกียจเดียดฉันท์ภายใต้ความปวดร้าวใจของนายหญิงแซ่หลี่ชัดเจนเพียงแต่ในเมื่อเ้าแกล้งทำมา ข้าก็แสร้งเล่นกลับไปด้วยเท่านั้น
“เป็ความบกพร่องในหน้าที่ของแม่ใหญ่แล้วภายหน้ามีเื่เช่นนี้อีก จงพยายามมาหาแม่ใหญ่ แม่ใหญ่จะรับผิดชอบตัดสินใจให้เ้า แต่ตอนนี้อาจูถูกลงโทษแล้วข้างกายเ้าไม่มีใครสามารถให้เรียกใช้ได้ เช่นนั้นก็ให้แม่ใหญ่ช่วยจัดการให้เ้าเถิด” ดวงตาของนายหญิงแซ่หลี่หรี่ลงเล็กน้อย เผยรอยยิ้มอ่อนโยนทั่วใบหน้า
ช่วยจัดการให้? เกรงว่าคิดจะแทรกสายสอดแนมไว้ข้างกายสินะ
คิดว่าต้องเป็พฤติกรรมของนางในวันนี้ที่ดึงดูดความสนใจของนายหญิงแซ่หลี่แล้วถูกต้อง... คุณหนูสามที่ขลาดกลัวอ่อนแอมาตลอด จู่ๆ ลงมือตัดลิ้นของสาวรับใช้ข้างกาย นายหญิงแซ่หลี่ไม่ได้เป็คนโง่
นางเองก็ไม่ใช่คนโง่ แต่นางไม่สามารถปฏิเสธได้
ซูเฟยซื่อแสร้งดีใจ “ขอบคุณแม่ใหญ่เ้าค่ะ”
“อืม วันนี้เ้าเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะสักพักข้าจะให้คนตามไป” แม่ใหญ่หันไปยิ้มและโบกมือให้ซูเฟยซื่อ ไม่อยากพูดมากกับนางอีก
“เ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นเฟยซื่อขอลา”ซูเฟยซื่อแสดงความเคารพคราหนึ่งแล้วค่อยๆ เดินจากไป
ได้เห็นซูเฟยซื่อเดินห่างออกไป หลินมามา สาวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อนายหญิงอีกคนก็ก้าวมายืนข้างหน้าทันที“นายหญิง คุณหนูสามคนนี้ต่างจากที่เคยเป็ ดูเหมือนคนอหังการบ้าคลั่ง วันนี้ท่านจัดการแบบนี้ เกรงว่าจะยิ่งกระพือความยโสของนางให้ไปกันใหญ่นะเ้าค่ะ”
“วันนี้นางได้วางเื่ราวลงตรงหน้าข้าโดยตรงยังกล่าวว่าไม่ได้รับความเป็ธรรมทุกประโยค แต่ละประโยคล้วนมีเหตุมีผล แล้วข้าจะจัดการได้อย่างไร?แต่นังหนูนี่อวดดีแบบนี้ ก็สมควรจะเคาะให้เข้าที่จริงๆ” น้ำเสียงของนายหญิงแซ่หลี่ฟังดูราบเรียบ ทว่าประกายตากลับเฉียบคม “ต้องตำหนิข้าเองที่ใจอ่อนเพียงชั่ววูบในปีนั้นที่ไม่ได้ฆ่านางกับมารดาไปด้วยกันเดิมคิดว่านางเป็แค่เด็กไร้ประโยชน์ จะเก็บไว้หรือไม่ ล้วนมีค่าเท่ากัน ไม่คิดเลยว่ากลับเป็การเก็บอสรพิษไว้”
หลินมามากลอกตามองทันที “นายหญิงคิดจะลงมืออีกครั้ง?”
แม่ใหญ่แซ่หลี่ส่ายหน้า “ไม่นี่เป็เื่ที่ไม่ควรรีบร้อน นางเงียบไม่ตอบโต้มานานหลายปี ตอนนี้จู่ๆ ก็เปลี่ยนนิสัยไปข้ากลับคิดว่าจะขอดูว่านางสามารถเล่นลวดลายอะไรได้อีก”
“ถ้าเช่นนั้น... ความหมายของนายหญิงคือ...”
“เมื่อครู่ไม่ใช่บอกว่าจัดคนให้นางหรือถ้าเช่นนั้นก็ให้หยานเอ๋อร์ไปดูแลนาง หยานเอ๋อร์เป็บุตรสาวของเ้า ข้าไว้ใจจำไว้ว่าต้องกลับมารายงานทุกเื่ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก ถ้าพบว่ามีอะไรผิดปกติ รีบส่งนางไปสู่ปรภพทันที” นายหญิงแซ่หลี่กล่าวจบ ก็เหมือนจะคิดบางอย่างขึ้นได้ “ใช่แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพาคุณหนูทั้งสามไปวัดจิ้งิ่ชมบุปผาเ้าให้หยานเอ๋อร์ถ่ายทอดวาจาว่าให้นางมาด้วยกัน”
“เ้าค่ะ”
วันต่อมา เดิมซูเฟยซื่อคิดว่าอาจูตายแล้วนางอาจจะได้อยู่เงียบๆ สักพัก อย่างน้อยก็ได้นอนหลับสักตื่น
ไม่คิดว่าแต่เช้าตรู่สาวรับใช้คนใหม่ก็มาปรากฏตัว “หยานเอ๋อร์คารวะคุณหนูสามเ้าค่ะ”
ซูเฟยซื่อลืมตาพิจารณาคนตรงหน้าดูเหมือนคิ้วตาเช่นนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน?
“เ้าเป็?” ความจริงซูเฟยซื่อนึกไม่ออกว่านางเป็ใครได้แต่ลองถามดู
“บ่าวเป็หญิงรับใช้คนใหม่ที่นายหญิงเพิ่งส่งมาเพื่อรับใช้คุณหนู เป็บุตรสาวของหลินมามาเ้าค่ะ” หยานเอ๋อร์เรียนรู้จากบทเรียนของอาจูแล้ว นางแสดงความเคารพต่อซูเฟยซื่อมาก
แต่ซูเฟยซื่อมองออกว่าหยานเอ๋อร์เพียงเคารพอย่างผิวเผินในน้ำเสียงยังเต็มไปด้วยความดูถูก
ที่แท้เป็บุตรสาวของหลินมามา มิน่านางถึงรู้สึกคุ้นตา
หลินมามาและหลิวมามาเป็คนสนิทที่มีประสิทธิภาพที่สุดของนายหญิงแซ่หลี่ตอนนี้หลิวมามาถูกลงโทษ แซ่หลี่ก็จัดบุตรสาวของหลินมามาไว้ข้างกายนางแทน
ความหมายในการทำแบบนี้ กลัวว่าแม้แต่คนโง่ก็ยังรู้
ซูเฟยซื่อยิ้มทันที “ในเมื่อเป็แม่ใหญ่จัดวางถ้าเช่นนั้นการใช้ชีวิตประจำวันของข้าต่อไปนี้ก็ให้เป็ธุระของเ้าแล้ว”
“คุณหนูสามเข้มงวดมากไปแล้ว นายหญิงกับคุณหนูอื่นๆสามคนกำลังจะไปวัดจิ้งิ่ชมบุปผาวันนี้ นายหญิงชวนท่านไปด้วยกัน บ่าวตั้งใจว่าจะแต่งตัวหวีผมให้ท่านเ้าค่ะ”หยานเอ๋อร์เห็นท่าทีซูเฟยซื่อไม่เลว อดถอนหายใจโล่งอกไม่ได้
ชมดอกไม้? ั้แ่ไหนแต่ไรเื่ดีๆแบบนี้ไม่ได้มีส่วนของนางด้วย ครั้งนี้แม่ใหญ่จงใจเรียกนางไป เกรงว่าเป็งานเลี้ยงที่ประตูหงเหมินแล้ว[1]
“ทราบแล้ว” ซูเฟยซื่อเดินไปอย่างว่าง่ายถึงหน้ากระจกทองเหลืองแล้วนั่งลง
หยานเอ๋อร์รีบก้าวไปข้างหน้าช่วยสางผมให้ ยังไม่ลืมที่จะแกล้งชมประโยคหนึ่ง “ผมของคุณหนูสามดำเงางามน่าดูจริงๆ เ้าค่ะ”
“งั้นหรือ?” ในเมื่อหยานเอ๋อร์คิดทำทีตีสนิทกับนางถ้าเช่นนั้นนางก็ลองพูดคุยกับสาวรับใช้นางนี้ดู “ผมข้านี้ไหนเลยสามารถเปรียบกับพี่ใหญ่ได้”
“นั่นสิเ้าคะ คุณหนูใหญ่ตอนนี้เกือบได้เป็ฮองเฮาแล้ว ถ้าไม่ใช่...” หยานเอ๋อร์พบว่าตนเองพลั้งปากอย่างรวดเร็วรีบหุบปากลง
ซูจิ้งโหยวจะเป็ฮองเฮาแล้ว?
นางเพิ่งเสียชีวิต พวกเขาก็แทบทนรอไม่ไหวขนาดนั้นเลยหรือ?
ซูเฟยซื่อเพียงรู้สึกราวกับทั้งร่างถูกเพลิงโกรธโทสะเผาไหม้ลุกโชน แค้นจนอยากพุ่งเข้าไปในพระราชวังเพื่อฆ่าสุนัขชายหญิงคู่นี้
แต่นางรู้ว่าต้องอดทน
นางเคยช่วยซ่งหลิงซิวสังหารคนมากมาย จึงทราบว่าการจะเป็มือสังหารที่ยอดเยี่ยมสักคนหรืออาวุธสังหารคนที่เยี่ยมยอดชิ้นหนึ่งนั้น จุดสำคัญอยู่ที่ความอดทน
จงเร้นกายอย่างอดทน เพื่อรอคอยโอกาสที่เหมาะสม
ดังนั้นนางจึงไม่ได้โกรธแต่กลับหัวเราะ“ถ้าไม่ใช่อะไร?”
วิถีข่าวลือเล็กๆ แบบนี้เกรงว่ามีเพียง “คนกันเอง” เช่นหยานเอ๋อร์คนนี้เท่านั้นที่ได้รู้ ตอนนี้นางมีโอกาส ไฉนไม่ใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดเล่า
“นี่บ่าวก็ได้ยินมาเพียงข่าวลือ คุณหนูสามฟังหูไว้หูเถิดเ้าคะ อย่าพูดออกไปเด็ดขาดเชียว” หยานเอ๋อร์กำชับอย่างไม่ไว้ใจ
“เ้านังหนูนี่ นั่นเป็พี่ใหญ่ข้า ข้ายังสามารถให้ร้ายนางได้หรือ?”
[1] งานเลี้ยงที่ประตูหงเหมิน(鸿门宴) งานเลี้ยงที่มีเลศนัยแอบแฝง มาจากสมัยยุคราชวงศ์ฉินตอนปลายแย่งชิงความเป็ใหญ่ระหว่างฉู่ปาอ๋องกับหลิวปัง