เสวียนชิงพลิกเปิดบันทึกหลัวเซิงในมือ “หลังมีผู้คุมิญญามารายงาน เดิมทีข้าไม่ได้สนใจ แต่เมื่อเห็นดวงชะตาวันเกิดกับสถานที่เกิด นี่ไม่ใช่ผู้มีพระคุณที่ล่วงลับไปแล้วผู้นั้นของเ้าที่กลับชาติมาเกิดหรอกหรือ? แต่เ้าวางใจได้ อายุขัยของนางยังไม่สิ้นสุด เวลานี้ร่างกายยังไม่ดับ เพียงแต่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย นี่มัน...” เขาชี้ไปที่ภาพมายาของสวีอี่ซิน “เป็ิญญาคนเป็ เมื่อกายเนื้อของนางหมดลมหายใจแล้วจะเปลี่ยนเป็ิญญาคนตาย”
เจียงเฉิงเยว่มองอีกฝ่ายด้วยความโกรธเคือง “เห็นๆ กันอยู่ว่าข้าร่ายเคล็ดวิชาติดตามไว้แล้ว เป็ไปได้อย่างไรที่ชีวิตของนางแขวนไว้บนเส้นด้ายแล้วข้าไม่รู้?! เป็เช่นนี้ได้อย่างไร! นี่มันเป็ไปไม่ได้!”
เสวียนชิงมองมาที่เขา ทั้งสองสบตากันอย่างเงียบเชียบเป็เวลานาน จากนั้นเสวียนชิงเก็บบันทึกหลัวเซิงในมือด้วยความโกรธพร้อมจ้องมอง “เ้าถามข้าหรือ! เ้ามาถามข้าเนี่ยนะ? ข้าจะรู้ได้อย่างไร?! เคล็ดวิชาไม่ใช่เ้าที่ร่ายไว้หรอกหรือ? ผู้มีพระคุณไม่ใช่เ้าที่ต้องปกป้องหรือไร? ข้ามาเตือน บอกให้เ้ารู้ด้วยความหวังดี...แล้วเ้า เ้ามาะโใส่ข้าทำไม?!”
“เอาล่ะๆๆๆ” เจียงเฉิงเยว่กล่าวซ้ำ “ท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว รีบตามข้าไปช่วยเถอะ! หากช้าอีกนิดิญญาคนเป็จะเปลี่ยนเป็ิญญาคนตายของจริง!”
เสวียนชิงถูกเขาลากแขนเสื้อด้วยใบหน้าหวาดผวา “เดี๋ยวก่อนๆ ทำไมข้าต้องไปกับเ้าด้วย? ข้าเพียงมาบอกเ้าเท่านั้น ฉิงชางจวิน! ปล่อยข้า!”
เจียงเฉิงเยว่สนใจเขาที่ไหนกัน ทั้งสองคนปรากฏตัวที่มุมถนนนอกจวนสกุลสวีระยะไกลด้วยแสงสีขาวที่สว่างวาบ เจียงเฉิงเยว่ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบหนึ่งก่อนกลายร่างเป็คนที่มีชีวิต เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีใครพบจึงใช้เคล็ดวิชา ปรากฏกายออกมาในเวลาเดียวกันกับเสวียนชิง
เสวียนชิงไม่เหมือนกับเจียงเฉิงเยว่ที่เป็าาผีซึ่งมีการบ่มเพาะที่ขัดต่อ์ ในฐานะผีตนหนึ่งเขาไม่ได้ร่อนเร่ในโลกมนุษย์ด้วยรูปลักษณ์ของมนุษย์มานานแล้ว ทันใดนั้นเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พลางยกแขนเสื้อของตนเองขึ้นดูจนทั่ว เจียงเฉิงเยว่ใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนเสื้อผ้าบนร่างของเขา เวลานี้เขาจึงสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน เส้นเืดำภายใต้ิัอันอบอุ่นเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อกางฝ่ามือกลับมีพร้อมด้วยเส้นลายมือ แม้แต่ลมหายใจและการเต้นของหัวใจก็มีทั้งหมด เขาจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจจนเผยรอยยิ้มออกมาน้อยๆ พลางมองไปยังเงาทอดยาวจากดวงอาทิตย์ด้านหลังด้วยความพอใจ
เขายังไม่ทันชื่นชมเสร็จ กลับถูกเจียงเฉิงเยว่ลากแขนเพื่อรีบออกจากมุมถนนนั้นไปยังจวนสกุลสวี ขณะเดียวกันก็บอก “ไปกัน”
“เฮ้ เดี๋ยวก่อนๆ” เสวียนชิงก้าวตามไป “รอให้ข้าปรับตัวสักครู่ รอให้ข้าปรับตัวสักครู่เถิด ว้าว มือของเ้าอุ่นจัง! เฮ้ ข้าว่านะฉิงชางจวิน ไม่ต้องบอกเลยว่าเ้าช่างเก่งกาจจริงเชียว!”
เจียงเฉิงเยว่หันศีรษะไปมองพลางขมวดคิ้ว “ตอนนี้ข้าชื่อฉินจินฮุย เป็ผู้ฝึกฝนธรรมดาจากครอบครัวขุนนาง อีกประเดี๋ยวอย่าได้หลุดปากพูดเชียว!”
เสวียนชิงถูกอีกฝ่ายลากให้วิ่งจึงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “แล้วเ้าจะพาข้าไปทำไม เ้าไปคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ?! เ้าร่ายเคล็ดวิชาภาพมายาเพื่ออำพรางให้ข้า สิ้นเปลืองพลังิญญาโดยเปล่าประโยชน์”
เจียงเฉิงเยว่มีท่าทีจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเ็า “แน่นอนว่ามีประโยชน์!”
เมื่อทั้งสองคนมาถึงจวนสกุลสวี คนรับใช้ในจวนสกุลสวีรู้จักเจียงเฉิงเยว่อยู่แล้วจึงพูดอย่างใ “คุณชายฉินมาแล้วหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้า ขอให้ปล่อยตนเองผ่านไปโดยตรง คนรับใช้ในจวนจึงรีบบอก “ข้าจะไปเรียกนายท่าน”
เพียงไม่นาน สวีอี่ชิงรีบออกมาต้อนรับอย่างที่คาดไว้ ท่าทีเขาจริงจัง ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำอย่างคาดไม่ถึง รีบประสานมือกล่าว “พี่ฉิน...” น้ำเสียงอีกฝ่ายสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
เจียงเฉิงเยว่ไม่ได้ซ่อนท่าทีร้อนใจบนใบหน้า เพียงประสานมือตอบ “ได้ยินว่าเกิดเื่กับซินเอ๋อร์หรือ? ข้าเพิ่งกลับมา พวกโง่เง่าในจวนเ่าั้ปากหนักไม่บอก เอาแต่พูดพล่ามเป็เวลานานอย่างไม่มีเหตุผล เร่งให้ข้าต้องมาด้วยตนเองจึงไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อน หวังว่าพี่อี่ชิงจะไม่ตำหนิที่ไร้มารยาท”
สวีอี่ชิงส่ายศีรษะ “พี่ฉิน ท่านพูดอะไรกัน ซินเอ๋อร์สนิทกับพี่ฉินที่สุดมาั้แ่เด็ก ตอนนี้...”
หลังเจียงเฉิงเยว่เห็นว่าเขาไม่ได้เปลี่ยนเป็ประเด็นสำคัญอยู่นานจึงรีบพูดขัดจังหวะโดยไม่สนใจมารยาท “พี่อี่ชิง เกิดอะไรขึ้นกันแน่? สุดท้ายแล้วซินเอ๋อร์...” เขายังไม่ทันพูดจบ กลับเห็นเงาคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาบริเวณโถงดอกไม้เื้ัของสวีอี่ชิง แต่ละคนฝีเท้าหนักแน่น ท่าทีเคร่งขรึม หลังจากหนึ่งในนั้นพบเจียงเฉิงเยว่กลับเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าขาวซีด ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างด้วยความหวาดผวา
เป็หยวนฝานเป้ย
อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายที่ได้พบในวันนี้กลับไม่ได้แต่งตัวเหมือนลูกหลานผู้ลากมากดีเฉกเช่นก่อนหน้านี้ ทว่าสวมอาภรณ์หรูหรา สวมมงกุฎทองคำบนศีรษะ ปักลวดลายัสี่กรงเล็บที่อกเสื้อ
“ชิ” เสวียนชิงกระซิบที่ข้างหู “คนชุดแดงที่อยู่ตรงกลางผู้นั้น คือองค์รัชทายาทในโลกมนุษย์หรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าเล็กน้อย
ฝ่าาแห่งวังตะวันออกปรากฏตัวในจวนสกุลสวีโดยสวมฉลองพระองค์ ย่อมแสดงว่าสกุลสวีทราบตัวตนของเขาแล้ว เป็ดังที่คาด สวีอี่ชิงเข้าไปต้อนรับโดยประสานมือคำนับพลางกล่าว “ฝ่าา...”
หยวนฝานเป้ยรีบหยุด “พี่ใหญ่ ไม่จำเป็ต้องสุภาพ” ราวกับว่าเขาไม่กล้าเงยหน้ามองเจียงเฉิงเยว่ เพียงบอกกับสวีอี่ชิง “แพทย์หลวงบอกว่าตอนนี้คุณหนูรองอยู่ในอาการคงที่ เกรงว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาสักพัก ข้า...จะมาใหม่พรุ่งนี้”
สวีอี่ชิงตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเขาเดินผ่านเจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงก็หยุดฝีเท้าเล็กน้อย ลังเลที่จะพูด เจียงเฉิงเยว่ลากเสวียนชิงให้ถอยไปยืนด้านหนึ่งเพื่อหลีกทาง เขาพยักหน้าเพื่อแสดงความเคารพ สุดท้ายแล้วหยวนฝานเป้ยจึงพาคนกลุ่มหนึ่งจากไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พูดอะไร
หลังจากไป ในที่สุดสวีอี่ชิงจึงอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ หยวนฝานเป้ยเห็นว่าใช้ตัวตนพ่อค้าธรรมดาในการไล่ตามไม่สำเร็จ เขาไม่ยินยอมที่จะรามือจึงเปิดเผยตัวตนของตนเอง ไม่ได้หุนหันพลันแล่นถึงขั้นออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อบีบบังคับโดยตรง ทว่าเลือกหยั่งเชิงเล็กน้อย ต้องกล่าวก่อนว่าองค์รัชทายาทแห่งวังตะวันออกจงใจมีพระราชโองการแต่งตั้ง เช่นนั้นครอบครัวใดบ้างจะไม่ยินดียามได้รับเกียรติยศสูงสุด ถึงอย่างนั้นคุณหนูรองที่แข็งกร้าวของสกุลสวีกลับ...ดื่มยาพิษเข้าไป
ระหว่างที่เจียงเฉิงเยว่ฟังคำอธิบาย สวีอี่ชิงโกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หลังเดินผ่านสวนดอกไม้ก็พบว่าิญญาที่มีชีวิตของสวีอี่ซินยังคงยืนอยู่ตรงนั้น เขากำลังส่งสายตาให้เสวียนชิง เสวียนชิงโกรธจนก่นด่าเขาผ่านจิตสำนึก ‘ที่แท้เ้าพาข้ามาเพื่อเป็ลูกน้องไว้ใช้งานหรือ?’
เจียงเฉิงเยว่บอก ‘อย่าได้สนใจ ก่อนอื่นช่วยข้านำทางิญญาคนเป็ของนางเข้ามาก่อน’ จากนั้นเขาออกคำสั่งไม่หยุด เสวียนชิงตกตะลึงเล็กน้อยจึงพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ลากเขามาเพื่อฆ่าเวลา
คนทั้งสองสื่อสารกันทางจิต คนธรรมดาจึงไม่อาจรับฟังได้ เมื่อสวีอี่ชิงเห็นว่าทั้งสองคนไม่พูดจาแต่กลับประสานสายตากัน จึงทราบว่าครั้งนี้ฉินจินฮุยไม่ได้มาเพียงคนเดียว ทันใดนั้นกลับรู้สึกว่าตนเองไร้มารยาทจึงรีบมองเสวียนชิงแล้วถาม “คุณชายท่านนี้คือ? ขออภัย เมื่อครู่ใจร้อนดั่งไฟจึงไม่ทันได้ใส่ใจนัก ไร้มารยาทแล้ว ไร้มารยาทเสียแล้ว”
เสวียนชิงรีบบอกด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็ไร”
เจียงเฉิงเยว่แนะนำ “คุณชายเฉินผู้นี้เป็สหายของข้า มีทักษะด้านการแพทย์อยู่เล็กน้อยจึงพามาด้วย คิดว่าคงช่วยเหลือได้ไม่มากก็น้อย” แซ่เฉินคือแซ่เดิมของเสวียนชิงยามที่ยังมีชีวิต
สวีอี่ชิงส่งยิ้มตามมารยาท “ที่แท้เป็เช่นนี้”
เสวียนชิงพูดผ่านจิตสำนึกกับเขาอีกครั้ง ‘คุยโวก็ได้แต่ก็อย่าเกินเลย ข้ารู้ทักษะด้านการแพทย์ด้วยหรือ?’
เจียงเฉิงเยว่คร้านที่จะสนใจคำบ่น ‘นำทางิญญา!’
เสวียนชิงกลอกตาด้วยความไม่พอใจ ถือโอกาสที่ไม่มีผู้ใดสนใจตนเอง เขาหยิบระฆังเงินใบเล็กออกมาจากในมือ จากนั้นเขย่ามันเบาๆ สามครั้ง เสียงระฆังนำทางิญญาอันไพเราะเสนาะหูดังขึ้น แน่นอนว่ามีเพียงิญญาเท่านั้นที่สามารถได้ยิน คนธรรมดาย่อมไม่อาจได้ยิน
สวีอี่ชิงไม่รู้อะไรเลย แต่ิญญาคนเป็ของสวีอี่ซินในสวนดอกไม้กลับเดินตามไปในห้องของตนเองทีละก้าว
เมื่อเข้ามาในห้อง บิดามารดาของสวีอี่ซินเฝ้าอยู่ เวลานี้สามีภรรยาสกุลสวีเห็นฉินจินฮุยเป็บุตรบุญธรรมไปแล้ว หลังมารดาสวีเห็นฉินจินฮุยก็ลุกขึ้นพลางร้องไห้ออกมา เจียงเฉิงเยว่อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อโอบกอดนาง ปล่อยให้นางจับอกเสื้อแล้วร้องไห้จนเสื้อเปียกปอน
“จินฮุย ทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดี หากซินเอ๋อร์เป็อะไรไป ข้าไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ลูบนางแ่เบาอย่างปลอบโยน “ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งกังวล ย่อมไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ขณะที่บอก เขามองเสวียนชิงที่อยู่ด้านหลังแวบหนึ่ง ให้เสวียนชิงก้าวไปข้างหน้า
เสวียนชิงเดินไปถึงเตียงแล้วผนึกิญญาคนเป็ของสวีอี่ซินกลับเข้าไปในร่างของนาง เขาร่ายเคล็ดวิชาเพื่อกดทับไว้
บิดาสวีกำลังจะถาม “ท่านนี้คือ...” สวีอี่ชิงอธิบายให้ทราบเรียบร้อย
เมื่อเสวียนชิงจัดการเสร็จสิ้นเขาจึงถอยออกมา
สามีภรรยาสกุลสวีรีบถาม “ท่านหมอ เป็อย่างไร?”
“เอ่อ...” เสวียนชิงจำเป็ต้องแสดงสักรอบ เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าว “โดยรวมแล้วไม่มีความน่ากังวลถึงชีวิต”
ใบหน้าของสามีภรรยาสกุลสวีสดใสขึ้นเล็กน้อย พวกเขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก
่เวลากลางคืน เจียงเฉิงเยว่ใช้ตัวตนของฉินจินฮุยเพื่อพาเสวียนชิงมาพักที่จวนสกุลสวีชั่วคราว เมื่อหลีกหนีจากผู้คนได้ เจียงเฉิงเยว่คว้าตัวเสวียนชิงแล้วถาม “เป็อย่างไร?”
เสวียนชิงตอบ “ข้าตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว บนร่างของคุณหนูสกุลสวีมีไอมารอยู่เล็กน้อยจริง”
เจียงเฉิงเยว่ขมวดคิ้วทันที
เสวียนชิงถาม “เ้าคาดเดาไว้ว่าอย่างไร?”
เจียงเฉิงเยว่ “ก่อนหน้านี้นักพรตตัวน้อยผู้หนึ่งของสำนักจงหลีซานเคยใช้วิธีนี้เพื่อทำลายผนึกของข้า หาก้าหลีกเลี่ยงข้าอย่างไร้สุ้มเสียงเพื่อทำลายผนึกที่ข้าร่ายไว้บนร่างของซินเอ๋อร์ มีเพียงต้องใช้ไอของภูตผีหรือมารที่มาจากปรโลกเหมือนกัน เป็ไปไม่ได้ที่นางจะสามารถทำลายมันด้วยตนเอง ทั้งยังกินยาพิษด้วยตนเองอีก เท่ากับมีความเป็ไปได้เพียงสองอย่าง ประการแรก นางถูกวางยาแล้วแสร้งทำเป็ว่าวางยาด้วยตนเอง ประการที่สองคือ นางกับผู้ที่ช่วยนางทำลายผนึก...เป็พวกเดียวกัน!”
เสวียนชิงพูดด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “พวกเดียวกันอะไร? พวกที่ช่วยให้ผู้มีพระคุณของเ้าฆ่าตัวตายหรือ…” ฉับพลันเขานึกอะไรได้จึงตกตะลึง
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “ั้แ่นางขอร้องว่า้าไปเกิดใหม่ ข้ารู้สึกมาตลอดว่ามีอะไรไม่ถูกต้องนัก ณ ตอนนี้นางกลับชาติมาเกิดแต่ยังรู้จักนามของข้าในปรโลก รู้ว่าข้าร่ายผนึกเช่นไรไว้บนร่างของนาง และยังรู้ว่าจะทำลายผนึกที่ข้าร่ายไว้อย่างไร เป็ไปไม่ได้เลยที่นางจะสามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว หากนางทำทั้งหมดนี้เพียงเพื่อไม่ให้ข้าห้ามนางกินยาพิษฆ่าตัวตาย...”
เจียงเฉิงเยว่กับเสวียนชิงสบตากันเป็เวลานาน เสวียนชิงจึงส่ายศีรษะกล่าว “หรือว่าเป็ความยุ่งยากในความสัมพันธ์รักๆ ใคร่ๆ ของเ้าเองที่ก่อเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว? ฉิงชางจวิน เ้านี่ช่างเป็อันตรายต่อผู้คนเสียจริง”
เจียงเฉิงเยว่ตะลึงงัน
เสวียนชิงกล่าวต่อ “เ้าไปพูดคุยกับนางให้ชัดเจนเถอะ”
เจียงเฉิงเยว่ถอนหายใจ
เสวียนชิง “นาง ‘กลับชาติมาเกิด’ ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่า...ทั้งหมดล้วนเพื่อเ้า เ้าคิดว่าผู้ที่ช่วยนางจะเป็คุณหนูใหญ่แห่งโลกมารผู้นั้นที่คอยรบเร้าเ้าเป็เวลานานหรือไม่? ไม่เช่นนั้นนางที่อยู่ในปรโลกมาหลายปีและยังอาศัยอยู่ในเมืองอี้หลีเป็เวลานานจนแทบไม่ได้ออกไปไหนจะยังรู้จักเผ่ามารที่ไหนได้อีก? อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุผลเลยที่นางจะ้าหาคู่แข่งด้านความรักให้กับตนเอง”
เจียงเฉิงเยว่นิ่งเงียบ ไม่ตอบกลับ
วันต่อมา เจียงเฉิงเยว่กำลังจะไปตรวจสอบสถานการณ์ของสวีอี่ซิน กลับถูกผู้อื่นรั้งเอาไว้
เมื่อเลี้ยวไปตามทางเดิน เขาเห็นฝ่าาจากวังตะวันออกซึ่งรอคอยอยู่ั้แ่เช้าตรู่ หยวนฝานเป้ยโบกมือให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านถอยออกไป หลังจากเหลือเพียงสองคนเขาหดตัวเล็กน้อย มองเจียงเฉิงเยว่อย่างประหม่า รวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยเรียก “ฉิงชางจวิน...”
เจียงเฉิงเยว่เลิกคิ้วโดยไม่ตอบ
หยวนฝานเป้ยเอ่ย “ฉิงชางจวิน ซินเอ๋อร์เคยบอกว่าท่านเคยช่วยชีวิตนางไว้หลายครั้ง ฉิงชางจวินกับนาง ค่อนข้างมีความผูกพันกันมากใช่หรือไม่? ฉิงชางจวิน ครั้งนี้ท่านสามารถ...สามารถช่วยนางอีกครั้งได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า “ฝ่าาไม่ทรงคิดดูเล่าว่าใครเป็คนบีบบังคับนางมาจนถึงจุดนี้?”
หยวนฝานเป้ยใบหน้าซีดขาว เขาตกตะลึงอยู่นาน “ข้าไม่คาดคิด ไม่คาดคิด...ว่านางจะถึงกับเกลียดชังข้าถึงเพียงนี้!”
เจียงเฉิงเยว่มองเขาที่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง เขาลดศีรษะไม่อาจมองท่าทางที่ละอายใจนั้น เมื่อคิดถึงอิ๋งเอ๋อร์อีกครั้งเขาพลันรู้สึกร้อนรน ฉิงชางจวินไม่้าอยู่อีกต่อไป กำลังจะหมุนตัวกลับถูกฝ่าาของวังตะวันออกดึงรั้งไว้อีกครั้ง
เจียงเฉิงเยว่กำลังว้าวุ่นใจอยู่ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
หยวนฝานเป้ยรู้ตัวตนของเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ที่วังตะวันออกแต่ก็เป็เพียงมนุษย์ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยจึงรีบปล่อยมือ “ฉิงชางจวิน ข้า…ขอร้องล่ะ ช่วยซินเอ๋อร์ด้วยเถอะ ท่านมีพลังแก่กล้า...ต้องมีวิธีแน่ๆ ใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่หัวเราะเสียงเย็น หลังจากเห็นใบหน้าที่จริงใจ ใจกลับเต้นรัวพลางเลิกคิ้ว “วิธีก็ไม่ใช่ว่าไม่มี”
อย่างที่คาดคิด ดวงตาทั้งสองของหยวนฝานเป้ยเป็ประกายทันที มองเขาอย่างประหลาดใจ “จริงหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่ยกมุมริมฝีปากล่าง เอ่ยอย่างเย็นเยียบ “ยมราชนั้น หาก้าจะหลอกลวงมีเพียงวิธีเดียวเสมอ คือชดใช้ด้วยชีวิต หากฝ่าา้าช่วยนาง ยินดีจะชดใช้ด้วยชีวิตของตนเองหรือไม่?”
หยวนฝานเป้ยเบิกตากว้าง ตกตะลึงราวกับตุ๊กตาไก่ไม้ไปเสียแล้ว
------------------------
