โชคดียิ่งนักที่ตอนนั้นเซี่ยเสี่ยวหลานไม่โลภมาก และรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลยิ่งนัก
วิทยุหลายสิบเครื่องที่ศิษย์พี่ว่านรับมาขาย ประสบกับ่ราคาตลาดของวิทยุดิ่งลงอย่างหนักพอดี!
เขารับซื้อสินค้ามาด้วยราคา 140 หยวนต่อเครื่อง ภายในไม่กี่วันวิทยุก็ขายแทบไม่ออกแล้ว วิทยุจำนวนมากทะลักเข้าสู่ตลาดของหยางเฉิงฉับอย่างพลัน ในเมื่อที่มาของสินค้าคลุมเครือ ราคาขายต่ำ หากค้าปลีกก็ได้ประมาณ 120 หยวนต่อเครื่องเท่านั้น พอศิษย์พี่ว่านคิดอีกทีว่าจะขายให้ผู้ค้าคนกลาง... มีผู้ค้าคนกลางสมองทึบขนาดนั้นเสียที่ไหน ที่จะรับสินค้าของเขาด้วยราคา 150 หยวน?
แม้ราคาแค่ 100 หยวนต่อเครื่อง คนกลางทั้งหลายก็ไม่กล้ารับสินค้าของเขาอยู่ดี ถ้ากักสินค้าไว้แล้วจะจำหน่ายอย่างไร ตอนนี้ราคาปลีกเพียง 120 หยวน ดังนั้นพวกเขาต้องปล่อยสินค้าในราคาที่ต่ำกว่า 100 หยวนจึงจะสามารถขายออกได้
ภายใต้สภาพแวดล้อมของระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน [1] ในหลายปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าคงที่มาก
ศิษย์พี่ว่านยังไม่คุ้นเคยกับความผันผวนของระบบเศรษฐกิจแบบตลาด จึงล้มคะมำในทันที
สำหรับราคา 140 หยวนต่อเครื่อง เดิมทีผู้ขายตั้งใจปล่อยสินค้าให้เขารับซื้อต่ออยู่แล้ว วิทยุมูลค่าหลายพันหยวนของเขาคั่งค้างอยู่ในมือ เป็เหตุให้ภรรยาทะเลาะกับเขา และตัวเขาเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน
สุดท้ายฝืนใจขายให้คนกลางในราคา 85 หยวนต่อเครื่อง อีกฝ่ายรับซื้อแบบไม่เต็มใจนัก ทว่าศิษย์พี่ว่านเสียทั้งทุนและกำไรที่ได้จากการขายวิทยุก่อนหน้านี้ไปในคราวเดียว เก็บเงินทุนกลับมาไม่ถึง 3000 หยวน ยิ่งกว่านั้นคือไม่พอจ่ายหนี้ ด้านเซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่จ้างงานเขาอีกแล้ว เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดดุลซึ่งเขาเสียมันไปเพราะตนเอง ศิษย์พี่ว่านทำได้เพียงปลุกความใจกล้ามาเผิงเฉิงเพื่อพึ่งพิงศิษย์น้องอย่างไป๋เจินจูนั่นเอง
ไป๋เจินจูไม่ได้ปฏิเสธที่จะให้ความช่วยเหลือ
แค่ขอให้ศิษย์พี่ว่านรวบรวมเงินมาเอง ให้เขาตั้งแผงลอยเล็กๆ ในตลาด และขายสินค้าเหมือนกับเธอ
เงินทุนของศิษย์พี่ว่านน้อยจนแทบไม่มี สินค้าดีๆ บางอย่างจึงจำหน่ายโดยไป๋เจินจูขายเชื่อ [2] ให้เขาก่อน
พอเห็นหลี่ต้งเหลียงที่แต่งกายภูมิฐาน ศิษย์พี่ว่านรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ศักดิ์ศรี รู้อย่างนี้น่าจะทำงานเป็คนคุ้มกันให้เซี่ยเสี่ยวหลานต่อไป รายได้ก็มั่นคง และดีกว่าที่เขาทำธุรกิจจนขาดทุน บนสนามการทำธุรกิจ มีคนใจประเสริฐมากขนาดนั้นเสียที่ไหน ต้องเล่นแง่กับผู้อื่นก่อนตนเองถึงจะได้กำไร ไม่ใช่ทุกคนที่้าจะพัฒนาอย่างยั่งยืน บางคนยินดีหลอกลวงคดโกงเมื่อสบโอกาส ขอเพียงเงินเข้าตัวก็พอ
ศิษย์พี่ว่านมาตรฐานสูงทว่าศักยภาพต่ำ ได้กำไรแค่หนเดียวก็กล้ายืมเงินหลายเท่าไปเดิมพัน เกือบต้องเสียกระทั่งกางเกงชั้นในไปด้วยเสียแล้ว
ต่อให้ตั้งแผงลอยในตลาดเหมือนกัน สินค้าก็มาจากไป๋เจินจูอยู่ดี ตามหลักการแล้วถือว่ามีแหล่งที่มาของสินค้าร่วมกัน ราคาจำหน่ายเท่ากัน ทว่ายอดขายแผงศิษย์พี่ว่านยังห่างไกลจากด้านไป๋เจินจูอยู่โข แม้สินค้าจะเหมือนกัน แต่เมื่ออยู่ในมือคนละคน ย่อมมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน ยังมีสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับธุรกิจให้ศิษย์พี่ว่านต้องเรียนรู้อีกมากมาย!
“เื่ราวมันก็เป็แบบนี้ เคยเป็ศิษย์ร่วมสำนัก ฉันทำได้แค่พาเขามาตั้งแผงก่อนเท่านั้น”
ไป๋เจินจูมีนิสัยเอื้อเฟื้อ เธอไม่ใส่ใจความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังต้องเอาอย่างในจุดนี้ หากเปลี่ยนเป็เซี่ยเสี่ยวหลานมาอยู่ในสถานะนี้ เห็นการปฏิบัติตัวของศิษย์พี่ว่านแล้ว คงหมางเมินอีกฝ่ายแน่นอน ทว่าไป๋เจินจูกลับเลือกไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อความขุ่นเคืองที่เคยเกิดขึ้นใน่เวลาคับขัน ร่วมงานกับคนแบบนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานสบายใจยิ่งขึ้น
เซี่ยเสี่ยวหลานมาเพื่อถามไถ่เื่หน้าร้านของไป๋เจินจู ไป๋เจินจูรู้สึกหนักใจเสียขนคิ้วแทบร่วงหมดแล้ว
ถ้าให้เธอสู้รบปรบมือกับพวกเ้าของแผงในตลาดที่มาแย่งชิงเขตแดน ไป๋เจินจูไม่หวั่นแม้แต่น้อย แต่ให้เธอไปติดต่อเจรจาเงื่อนไขกับเ้าหน้าที่ ไป๋เจินจูไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี หน้าร้านที่เซี่ยเสี่ยวหลานถูกใจ ไป๋เจินจูสืบทราบเ้าของกรรมสิทธิ์แล้ว ทว่าเขาไม่คิดจะปล่อยให้คนนอกเช่าน่ะสิ
ใช่ อาคารว่างอยู่ตรงนั้นเฉยๆ ก็ไม่ปล่อยให้เช่า นี่เป็สิ่งที่ยากจะจินตนาการในอนาคต แต่เป็เื่ธรรมดามากในปี 84
ก็เหมือนกับหน้าร้านของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ โรงงานฝ้ายแห่งชาติที่สามไม่อยากวุ่นวาย และไม่อยากพิพาทกับย่าอวี๋ จึงยินดีทิ้งอาคารให้ว่างไว้ ไม่ว่าใครก็อย่าคิดได้ใช้ประโยชน์จากมัน อย่างไรเสียแค่เป็องค์กรหรือหน่วยงานที่แตะคำว่า ‘รัฐ’ ในปัจจุบัน ล้วนหมดกังวลที่จะล้มละลาย หลายๆ ครั้งไม่ใช่ปัญหาว่าค่าเช่าพอหรือไม่ แต่เป็ปัญหาว่าเ้าของยินดีให้คุณเช่าหรือไม่มากกว่า
ไป๋เจินจูเลือกเดินไม่ถูกเส้นทาง
เซี่ยเสี่ยวหลาน้าแทรกแซงลงมือเอง ทว่าคิดไปคิดมาเธอจึงยังไม่ได้เสนอทันที
ในเมื่อมอบธุระนี้ให้ไป๋เจินจูจัดการแล้ว เธอก็ต้องเชื่อมั่นในหุ้นส่วนของตน เธอมิอาจดำเนินการตระเตรียมงานระยะแรกทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ธุรกิจนี้เป็ของทุกคน ไม่ใช่ของเซี่ยเสี่ยวหลานเพียงคนเดียวเท่านั้น ถ้าเธอทำงานทั้งหมดจนเสร็จ มีแต่จะทำให้ตนเองเหนื่อยเกินไป
งานที่สามารถละได้ เธอจะพยายามมอบให้คนอื่นไปจัดการ
ชาติก่อนเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่นักขายระดับล่างทั่วไป เธอทำงานจนไต่เต้าไปถึงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงแล้ว รับผิดชอบเพียงการตัดสินใจแผนงานสำคัญ ภาระงานถูกแยกย่อยเป็ชั้นๆ มีพลทหารคอยรับหน้าที่เป็ธรรมดา ต่างคนต่างดำเนินงานตามนโยบายของเธอ ตอนสะสมเงินทุนใน่แรกต้องลงมือทำเองและประหยัดเท่าที่ทำได้ เมื่อมีเงินทุนพื้นฐานเพิ่มขึ้น เธอก็รีบจ้างพนักงานร้านทันที แน่นอน เธอสามารถมอบหมายงานจัดหาสินค้าเช่นนี้ให้แก่หลี่เฟิ่งเหมยหรือหลิวเฟิน ทว่าเป็ไปไม่ได้ที่จะให้หม่าเวยมาหยางเฉิงเพื่อรับสินค้า
----------------------------------------
ของที่เซี่ยเสี่ยวหลานนำมาฝากทังหงเอินยังไม่ได้มอบให้อีกฝ่าย อุตส่าห์มาเผิงเฉิงทั้งที เธออยากรออีกสักสองวัน
หลิวเฟินไม่เคยเห็นทะเล พอถึงเขตพิเศษ เซี่ยเสี่ยวหลานก็พามารดามาเดินเตร่ที่ริมทะเล
แม้หมู่บ้านประมงเล็กๆ นี้จะยังไม่ได้รับการพัฒนา ทว่าเมื่อลองเดินลัดเลาะชายหาดไป กลับไม่เลวเลยทีเดียว การไม่พัฒนามีข้อดีของมันเอง สาธารณูปโภคพื้นฐานไม่ก้าวหน้า มลภาวะทางทะเลจึงไม่หนักหนาเช่นกัน ขยะพลาสติกยังไม่ถูกทิ้งลงในทะเล เวลานี้แม้แต่ขวดแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มอัดลมก็นำกลับใช้ใหม่ได้ ไม่มีขวดพลาสติกจำนวนมากขนาดนั้น สำหรับถุงพลาสติกก็ใช้หลักการเดียวกัน ซื้ออาหารโดยใช้ตะกร้าและกระเป๋าผ้าทั้งสิ้น ถุงพลาสติกคืออะไร ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักด้วยซ้ำ
จะห่ออาหารเช้ารับประทานก็พกกล่องมาเอง คนขายปิ่งใช้กระดาษรองให้คุณได้ก็ดีมากแล้ว
กระดาษพวกนั้นเป็หนังสือพิมพ์เก่าเสียส่วนใหญ่ หรือสมุดการบ้านเขียนแล้วที่ตัดเป็ชิ้นสี่เหลี่ยมเล็กๆ เซาปิ่งที่ร้อนจัดก็รองกระดาษให้สองแผ่น ถ้าคุณ้าเพิ่มอีกหลายแผ่น เชื่อหรือไม่ว่าคนขายปิ่งจะเคืองคุณ... ในยุคนี้ผู้คนจัดสรรการใช้งานสิ่งของในชีวิตประจำวันทั้งหมดให้คุ้มค่าอย่างถึงที่สุด ถ่านไฟฉายพลังงานหมดหรือ? เอาฟันกัดนิดหน่อยยังพอฝืนใช้ต่อไปได้! สิ่งของใดๆ ล้วนทำแบบนี้ จนกระทั่งถูกใช้จนหมดประสิทธิภาพ มูลค่าของสินค้าอุตสาหกรรมถึงมีคุณค่าสูงอย่างเห็นได้ชัดในเวลานี้ บ้านไหนมีของเหลือใช้ให้ทิ้งเยอะแยะกัน ของเหลือใช้ขายแลกเงินได้ และยังสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งนั้น!
แม้หมู่บ้านประมงไม่ได้พัฒนาตามยุคสมัย แต่มันก็ไม่ปนเปื้อนมลพิษนั่นเอง
พับชายกางเกงขึ้นมา สวมรองเท้าแตะพลาสติกสักคู่ ย่ำเท้าบนหาดทรายอ่อนนุ่ม คลื่นทะเลซัดเข้ามาเป็ระลอก กระทบน่องกับหลังเท้า ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
หลิวเฟินไม่เคยเห็นมาก่อน
หลิวเฟินคิดว่าชีวิตนี้คุ้มค่าแล้ว พอออกจากตระกูลเซี่ย เธอเหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ เอาแค่ทะเลที่นี่ มีผู้หญิงบ้านไหนในหมู่บ้านต้าเหอเคยเห็นบ้าง? ท้องฟ้าสดใส ผืนทะเลเป็สีเดียวกับแผ่นฟ้า เพียงแต่มองคลื่นนานๆ เข้า รู้สึกว่าตาลายไปหน่อย และเกิดอาการวิงเวียนศีรษะด้วย
ละแวกใกล้เคียงชายหาดที่เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกยังไม่ตั้งโรงงาน สัตว์น้ำที่ชาวประมงจับขึ้นมาสามารถรับประทานได้ คนเหล่านี้สองจิตสองใจต่อวิธีหาเลี้ยงชีพที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ทุกวันนี้เสแสร้งว่าทำประมง ส่วนช่องทางทำกินหลักคือไปรับสินค้าเถื่อนซึ่งส่งมาจากฮ่องกงทางทะเล คาดไม่ถึงว่าแม้แต่หมู่บ้านประมงเล็กๆ ยังทำงานนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานซื้ออาหารทะเลติดมือเล็กน้อย จากนั้นไปยังท่าเรือเพื่อหาร้านอาหารช่วยปรุง
เพราะมีหลี่ต้งเหลียงติดตาม เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกล้าเดินเตร็ดเตร่ในสถานที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ รับประทานอาหารเสร็จแล้วเตรียมจะจากไป สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงไวเหลือเกิน ฝนห่าใหญ่ดันเทลงมาเสียได้
ลมทะเลพัดดังอู้ๆ เรือที่จอดไว้ตรงท่าแทบพลิกคว่ำ ลมและฝนรุนแรงยิ่งนัก อากาศแบบนี้ไม่มีทางกลับไปได้แน่
ที่นี่ไม่มีบ้านพักด้วยซ้ำ เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้เพียงถามเถ้าแก่ร้านอาหารว่ามีห้องว่างเหลือหรือเปล่า
“พวกเราจะพักที่นี่คืนหนึ่ง”
ตอนนี้การท่องเที่ยวยังไม่เฟื่องฟู คนที่จะถ่อมาถึงหมู่บ้านประมงเล็กๆ นี้ได้ นอกจากคนขายปลาก็คือคนที่มารับสินค้าเถื่อน บรรดาร้านอาหารบนท่าเรือนี้ คือแหล่งทำธุรกิจของกลุ่มคนข้างต้นนั่นเอง คณะของเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งสามคน ท่าทางไม่เหมือนทำอย่างไหนเลย มาชายหาดเพื่อเพลิดเพลินกับพื้นทรายตลอดบ่าย หลังจากนั้นก็ซื้ออาหารทะเลบนเรือหาปลามารับประทาน?
อย่างไรก็ตามเถ้าแก่ก็ตกลงหาห้องว่างให้สองห้องอยู่ดี
อากาศแปรปรวน บ้านเรือนทุกหลังในหมู่บ้านประมงล้วนปิดประตูหน้าต่างแน่นสนิท มีเพียงไฟของร้านอาหารที่ยังสว่างอยู่ ท่ามกลางลมฝน มีเงาของคนสองคนกำลังเคลื่อนที่มาทางนี้อย่างทุลักทุเล
เชิงอรรถ
[1]计划经济 ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน คือ ระบบเศรษฐกิจประเภทหนึ่งซึ่งมีการวางแผนทางเศรษฐกิจไว้ล่วงหน้า โดยรัฐเป็ผู้ดูแลปัจจัยการผลิตทั้งหมดตลอดจนการจัดสรรผลผลิต กลไกราคาจึงไม่ส่งผลกระทบใดๆ ในระบบเศรษฐกิจนี้ แตกต่างจากระบบเศรษฐกิจแบบตลาด
[2] ขายเชื่อ หมายถึง คนขายได้ขายสินค้าให้คนซื้อโดยที่คนซื้อจะติดเงินไว้ก่อน เมื่อคนซื้อขายสินค้าได้กำไรแล้ว จากนั้นก็นำค่าของที่เป็ต้นทุนมาคืน