บุคคลระดับสูงของเทียนเซียงหลินต่างพากันใ แม้แต่เทียนเซียงผู้เป็เ้าสำนักเทียนเซียงหลินยังมองเงาร่างเย่เฟิงในม่านแสงนั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนกล่าวเสียงสั่นว่า “อำนาจฟ้าดินขั้นกายา มีเพียงอำนาจฟ้าดินขั้นกายาเท่านั้นที่จะขึ้นบันไดเทียนเซียงเช่นนี้ได้ แต่หากไม่้าให้แรงกดดันจู่โจม เช่นนั้นอำนาจฟ้าดินก็ต้องบรรลุขั้นกายา่กลาง หรืออำนาจฟ้าดินของเด็กคนนี้จะบรรลุขั้นกายา่กลางแล้ว?”
เมื่อผู้าุโหญิงคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ต่างก็ประหลาดใจ อำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลาง ล้อกันเล่นหรือ?
เย่เฟิงเพิ่งอายุเท่าไร? เขาก็แค่ชายหนุ่มอายุประมาณ 17 ปี และอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 เช่นนั้นเขาจะมีอำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลางได้อย่างไร?
หากเป็เช่นนั้นจริง แม้แต่พวกนางในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะ อำนาจฟ้าดินของพวกนางก็ด้อยกว่าเย่เฟิงมากโข
“อำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลาง เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด! เด็กคนนี้ต้องฝึกเคล็ดวิชาลับบางอย่างเป็แน่ ถึงขึ้นบันไดเทียนเซียงแบบนี้ได้ ข้าเดาว่าอีกไม่นานเขาคงไปต่อไม่ไหว” ผู้าุโหญิงเทียนเซียงหลินผู้หนึ่งกล่าวพลางส่ายหัว นางไม่เชื่อว่าเย่เฟิงมีอำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลางจริง ๆ
ก่อนหน้านี้ในด่านแรกค่ายกลปริศนาป่าไผ่ เย่เฟิงสำแดงทักษะลวดลายเทวะที่ทรงพลานุภาพ กระทั่งเหนือกว่าระดับปรมาจารย์ด้วยซ้ำ บัดนี้ในด่านที่สองบันไดเทียนเซียง เย่เฟิงยังสำแดงอำนาจฟ้าดินที่วิปริต ผลลัพธ์เช่นนี้ทำผู้คนยากที่จะเชื่อ
ชายหนุ่มอายุไม่ถึง 17 ปี เขาไม่เพียงแต่มีทักษะด้านลวดลายเทวะที่ยอดเยี่ยม แต่ยังมีพลังแห่งอำนาจขั้นกายา่กลางที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์เทวะหลาย ๆ คนไม่มี มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
ผู้าุโหญิงเทียนเซียงหลินได้ยินคำพูดของผู้าุโผู้นั้นก็กะพริบตาปริบ ๆ คล้ายไม่เชื่อคำพูดของอีกฝ่าย ถึงอย่างไรชายหนุ่มอายุไม่ถึง 17 ปีแต่มีอำนาจฟ้าดินขั้นกายา่กลาง มันทำให้พวกนางยากที่จะเชื่อได้
บนบันไดเทียนเซียง แรงกดดันส่งเสียงกู่ร้องประหนึ่งคลื่นมหาสมุทรราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง ทำให้ผู้คนที่อยู่บนขั้นบันไดอยู่ในสภาพคลอนแคลน และมีผู้ฝึกยุทธ์ตกรอบอย่างต่อเนื่องเพราะทนต่อแรงกดดันนั้นไม่ไหว
ขณะนั้นซวนหยวนจวิ้นมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งสุดของตน ซึ่งเขาในขั้นยุทธ์แท้สูงสุดก็มีพลังแห่งอำนาจขั้นกายาเช่นเดียวกัน แต่อำนาจฟ้าดินของเขากลับเพิ่งบรรลุ่ต้น ดังนั้นเขาอาศัยเพียงพลังจากตบะอันแกร่งกล้าของตน ก็ถือว่าขึ้นบันไดเทียนเซียงได้อย่างยากลำบาก ซ้ำยังห่างจากเย่เฟิงมากขึ้นเรื่อย ๆ
บัดนี้สายตาของเหล่าเทพธิดาเทียนเซียงหลินที่สังเกตการณ์อยู่เบื้องล่างยอดเขาเทียนเซียงแทบจะจับจ้องไปที่เงาร่างอันหล่อเหลานั้นทั้งหมด ตกตะลึงจนมิอาจอธิบายออกมาได้ด้วยวาจา
เย่เฟิงยังคงเดินขึ้นบันไดอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับแสงแห่งอำนาจรายล้อมร่างกาย ส่วนแรงกดดันที่ทรงพลังมากขึ้นจู่โจมเย่เฟิงไม่หยุดยั้ง แต่กลับทำอะไรเย่เฟิงไม่ได้ราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทุกย่างก้าวของเย่เฟิงล้วนมั่นคง ไม่เพียงแต่เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป แต่เย่เฟิงยังเดินขึ้นบันไดเกือบหมื่นก้าว ส่วนซวนหยวนจวิ้นที่เป็รองกลับเพิ่งเดินได้ประมาณร้อยก้าว ทั้งยังดูค่อนข้างลำบากทีเดียว ความห่างชั้นนี้เห็นได้อย่างชัดเจน ประหนึ่งนกกระเรียนในฝูงไก่ที่สื่อว่าความสามารถนั้นเหนือกว่าคนทั่วไป
“หมอนี่แข็งแกร่งมาก ไม่สนใจแรงกดดันจากบันไดเทียนเซียงนั่นเลย!” คนผู้หนึ่งกล่าวขึ้น
เย่เฟิงในเวลานี้เฉิดฉายอย่างมาก เขาเดินขึ้นบันไดอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีผู้ใดแข่งกับเขาได้ แสงเจิดจรัสของเขาก็ยังแผ่ปกคลุมทุกคนราวกับบนโลกใบนี้มีเพียงเขาคนเดียว
เวลาผ่านไปทีละนิด ๆ ทว่าฝีเท้าของเย่เฟิงกลับไม่หยุด ยิ่งขึ้นบันไดเทียนเซียงสูงเท่าไร แรงกดดันที่เกิดจากพลังฟ้าดินก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นเท่านั้น ความเร็วของเย่เฟิงในการขึ้นบันไดนั้นไม่เพียงแต่ไม่ช้าลง แต่กลับเร็วขึ้นเรื่อย ๆ และแสงแห่งอำนาจที่รายล้อมร่างเขาก็สว่างขึ้นเรื่อย ๆ
สองหมื่นขั้นบันได สามหมื่นขั้นบันได ห้าหมื่นขั้นบันได...
เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เย่เฟิงก็ขึ้นบันไดไปถึงห้าหมื่นขั้น ความเร็วเช่นนี้เรียกได้ว่าวิปริต
“ขึ้นบันไดห้าหมื่นขั้นในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ความเร็วของเด็กคนนี้จะใช้คำว่าวิปริตมาอธิบาย เกรงว่าจะไม่ได้ แม้แต่คนผู้นั้นแห่งจักรวรรดิจิ่วโยวเมื่อ 500 ปีก่อนก็ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่าในการขึ้นบันไดห้าหมื่นขั้น ดูแล้วหากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เด็กคนนี้อาจเป็ผู้ทำลายสถิติในรอบพันปีที่ขึ้นบันไดเทียนเซียงเร็วที่สุด!” เทียนเซียงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นระริกเล็กน้อยราวกับไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง
ผู้าุโหญิงเทียนเซียงหลินเ่าั้เห็นความเร็วของเย่เฟิงต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึง ส่วนผู้าุโหญิงสองสามคนนั้นที่ดูถูกเย่เฟิงต่างหุบปากสนิท ขึ้นบันไดห้าหมื่นขั้นในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม อีกอย่างดูแล้วเย่เฟิงยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมด พวกนางยังมีอะไรที่ต้องกังขาอัจฉริยะเช่นนี้กัน?
ขณะนั้นหลันเซียงที่อยู่เบื้องล่างยอดเขาเทียนเซียง นางมองเงาร่างนั้นที่ขึ้นบันไดเทียนเซียงไม่หยุดด้วยแววตาสั่นไหว และรู้สึกดีใจแทนเย่เฟิง
ร่างเย่เฟิงรายล้อมไปด้วยแสงแห่งอำนาจ คนทั้งคนราวกับหล่อหลอมขึ้นจากอำนาจฟ้าดิน ทุกย่างก้าวของเขาล้วนมีอำนาจฟ้าดินห้อมล้อมร่างเขาอย่างไม่หยุดยั้ง แม้แต่แรงกดดันก็พันธนาการเขาไม่ได้ เขาราวกับไม่ได้อยู่ในห้วงมิตินี้ โดยที่ไม่ถูกพลังใด ๆ ควบคุม
เมื่อเย่เฟิงก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ แรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวจากยอดเขาเทียนเซียงราวกับกลายเป็เมฆแรงดัน ก่อนจะเข้าปกคลุมทั่วทั้งบริเวณนั้น ทั้งยังมีเสียงฟ้าผ่าจากเมฆแรงดัน ดูน่าหวาดกลัวสุดขีด
พลังอันแกร่งกล้าพวยพุ่งออกจากร่างเย่เฟิง ซึ่งความเร็วในการขึ้นบันไดของเขาไม่ช้าลงแม้แต่น้อย เมื่อเวลาผ่านไปสองก้านธูป เย่เฟิงก็ขึ้นบันไดถึงเก้าหมื่นขั้น เหลือเพียง 9,999 ขั้นเท่านั้นก็จะถึง้าสุดของบันไดเทียนเซียง
บัดนี้แรงกดดันที่เกิดจากพลังฟ้าดินน่าสะพรึงกลัวมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ประหนึ่งค้อนของเทพเ้าที่เข้าจู่โจมเย่เฟิงไม่หยุดก็ไม่ปาน
เย่เฟิงแผดเสียงะโอย่างกราดเกรี้ยว อำนาจฟ้าดินพวยพุ่งออกจากร่าง พร้อมแสงแห่งอำนาจปกคลุมร่าง แม้แรงกดดันนั้นจะน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แต่ก็ทำร้ายเย่เฟิงไม่ได้แม้แต่น้อย
“เก้าหมื่นขั้นแล้ว เขาไม่เพียงแต่ใช้เวลาไม่นาน แต่ดูท่าสถิติที่คนผู้นั้นทำไว้คงจะถูกเขียนใหม่เสียแล้ว” เทียนเซียงกล่าวขึ้น เย่เฟิงสร้างความตกตะลึงให้กับพวกนางเป็อย่างมากจนถึงตอนนี้พวกนางเพิ่งจะสงบลงได้
ที่บันไดเทียนเซียง นอกจากเย่เฟิงแล้วก็ไม่มีผู้ใดขึ้นบันไดเกินพันขั้น แม้แต่ซวนหยวนจวิ้นก็ไปถึง 800 ขั้นเท่านั้น
แสงที่รายล้อมร่างเย่เฟิงดูน่าหวาดกลัวขึ้นกว่าเดิม ราวกับมีพลังดูดซับพวยพุ่งออกจากร่าง ก่อนจะดูดซับแรงกดดันที่ห้อมล้อมร่างนั้นเข้าไปในร่างกาย
เย่เฟิงก้าวเดินโดยแฝงไปด้วยพลังวิถีฟ้าดินราวกับเกิดความรู้สึกตอบสนองต่อฟ้าดิน กระทั่งหลอมรวมไปกับห้วงมิติแห่งนี้
บันได 91,000 ขั้น… 92,000 ขั้น… 95,000 ขั้น… 99,900 ขั้น...
เย่เฟิงเดินขึ้นบันไดอย่างไม่หยุดยั้ง กระทั่งเขาขึ้นไปถึงขั้นที่ 99,900 ในเวลาหนึ่งก้านธูป ซึ่งเหลืออีก 99 ขั้น เย่เฟิงก็จะขึ้นไปถึง้าสุดของบันไดเทียนเซียง
จากนั้นเย่เฟิงเร่งฝีเท้าอย่างไม่ลังเลใน 99 ขั้นที่เหลือ ก้าวแล้วก้าวเล่ากระทั่งเย่เฟิงไปถึงขั้นที่ 99,999 ในเวลาไม่ถึง 20 ลมหายใจ ทว่าเหลืออีกหนึ่งก้าว เขาก็จะถึง้าสุดของยอดเขาเทียนเซียงอย่างแท้จริง
ขณะนั้นคนของเทียนเซียงหลินต่างรอกันอยู่ที่้าสุดของยอดเขาเทียนเซียงแล้ว ในนั้นรวมทั้งเทียนเซียงและเหล่าผู้าุโระดับสูงของเทียนเซียงหลิน ส่วนคนอื่น ๆ คือศิษย์หญิงของเทียนเซียงหลิน พวกนางล้วนมีหน้าตาสะสวยและมากเสน่ห์
เย่เฟิงในเวลานั้นอยู่บนบันไดขั้นที่ 99,999 เสื้อคลุมสีขาวโบกสะบัด ผมยาวพลิ้วไหว รอบกายหุ้มด้วยแสงแห่งอำนาจอันทรงพลานุภาพ ดูหล่อเหลาไร้ที่ติและได้รับความสนใจจากทุกคน
เมื่อศิษย์เทียนเซียงหลินเห็นเงาร่างอันหล่อเหลานั้นบนขั้นบันไดที่ 99,999 ต่างก็ตาเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
“ชายผู้นี้คือใคร? อยู่แค่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แต่ไม่คิดว่าจะขึ้นมาถึงขั้นที่ 99,999 ได้ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
“ใช่ ต้องรู้ก่อนว่าอัจฉริยะขั้นยุทธ์แท้สูงสุดหลาย ๆ คนที่ขึ้นมาถึง้าสุดของบันไดเทียนเซียงก็ทำได้อย่างยากลำบาก ไม่รู้ว่าชายผู้นี้มาจากกองกำลังไหน ไม่เพียงแต่มีพร์ล้ำเลิศ แต่ยังหน้าตาดีอีกด้วย”
เทพธิดาเทียนเซียงหลินหลาย ๆ คนที่อยู่บนยอดเขาเทียนเซียงต่างมองเย่เฟิงด้วยความประหลาดใจ
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 ขึ้นมาถึง้าสุดของบันไดเทียนเซียงสำเร็จ เื่นี้ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์รอบพันปีนับแต่มีเทียนเซียงหลิน ดังนั้นพวกนางจึงสนใจเป็อย่างมาก
แต่พวกนางส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า เย่เฟิงขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นี่ไม่เพียงแต่ทำลายสถิติในรอบ 500 ปี แต่สถิติใหม่นี้ยังมากกว่าถึงสามเท่า
เย่เฟิงไม่หยุดเพียงเท่านั้น จากนั้นเห็นเขาก้าวเท้าขึ้นสู่้าสุดของยอดเขาเทียนเซียงอย่างแท้จริง โดยไม่สนใจแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวนั้น ฉากนี้ทำให้ทุกคนต่างต้องใจเต้นระรัว แม้พวกนางเตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนแล้ว แต่ร่างกายในเวลานี้กลับสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
