อวิ๋นจื่อยิ้มและกล่าวว่า “พวกเ้าสองคนไปหาอะไรมารองท้องเถิด ข้าจะซ้อมกู่ฉินสักหน่อย”
สาวใช้ทั้งสองจากไปแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงอวิ๋นจื่อ
‘หากเ้าทุ่มเทหัวใจให้กู่ฉิน จะมีสหายกี่คนที่เต็มใจฟังเพลงจากกู่ฉินที่เ้าบรรเลงจนสายขาด?[1]’
จู่ๆ นางก็นึกถึงประโยคอันน่าเศร้านี้ขึ้นมา
แต่เมื่อวางนิ้วลงบนสายของกู่ฉิน จิตใจของนางกลับแจ่มใสเป็อย่างยิ่ง
“หมอกและฝนในทะเลสาบตงถิง ตกลงมาทุกหนทุกแห่งหลายพันล้านลี้ จากท้องฟ้าดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของวังั เสียงอันไพเราะและน่าพึงพอใจ นั่งเรือท้องแบนสำรวจตำนานฟ่านหลี่[2]และแม่น้ำหลี่เจียง คู่หูดินแดนแห่งสายน้ำ สหายรู้ใจกับชาวประมงที่ไม่เคยใช้อวน โอ้อวดว่าตนมีชื่อเสียง
แดดส่องกระทบน้ำใสในธาร เงาเมฆบดบังความเปล่งประกาย สายลมพัดบางเบา ลอยกลางน้ำอาบแสงตะวัน คลื่นขาวซัดมาราวกับวาฬตัวยาว ปล่อยวางและเข้าสู่สายธารแห่ง์ มีเพียงความรู้สึกเงียบสงบ คลื่นกระหน่ำกระทบท้องฟ้า ฟื้นจากอาการมึนเมา มองเห็นน้ำใสและหาดขาว
เมฆหนาเหนือน้ำใสไหลเชี่ยว บนท้องฟ้าเงาเมฆทอดตัวยาว มองเห็นยอดเขาจิ่วอี๋ ท้องฟ้าสีครามย้อมด้วยหมึกเมฆดำ เสียงฟ้าร้องดังไกลถึงหลินเฉิน ูเาสามลูกและทะเลสาบทั้งห้าคือที่จับปลา มีแสงไฟและเรือประมงเป็หลักฐาน ธารน้ำที่ใสราวกระจกสะท้อนเห็นท้องฟ้า
ธารน้ำเชื่อมต่อกับท้องฟ้าเหมือนหยินหยาง เปรียบได้กับกระจกซึ่งคาดเดาไม่ได้และไม่ราบเรียบ เมฆใหญ่บังูเา แลดูเหงาและมองไม่เห็นกัน ชาวประมงมีความสุข จิ้งจอกเหม่อมองพระจันทร์ที่ปกคลุมไปด้วยหมอก ปลุกเถาจู่ขึ้นมาดื่มสุราประชันกลอน
เกลียวคลื่นเหมือนผมสีขาวของชายชรา หยิบยืมแสงจันทราจากแดนไกล สงสัยว่าใครเป็สหาย สวมรองเท้าฟาง ถือพัดขนนก และสวมผ้าพันคอสีขาว ท้องฟ้าและธาราแบ่งครึ่ง กระแสน้ำงดงามทอดยาวถึงคุนหลุน
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยลมฝน ลมพายุทำให้คลื่นซัดแรง หยาดน้ำกระเซ็นอยู่ในอากาศ ทิวทัศน์ของเซียวเซียง หนึ่งเดียวไม่มีที่ใดเหมือน เปรียบดังภาพวาดสลักหยก มองดูกระแสน้ำที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ มีูเาสามลูกคั่นด้วยเกาะสิบเกาะ
ทะเลสาบกว้างใหญ่ เหนือท้องน้ำมีไอหมอกชวนฝัน สุดอนันต์คาดเดาไม่ได้ เมฆหลากสีงดงาม ม่านน้ำลดต่ำลงเมื่อพระจันทร์โผล่จากก้อนเมฆ
แม่น้ำเย็นแสงจันทร์อุ่น หมู่ดาวเคลื่อนคล้อย น้ำใสราวกระจก ลมและคลื่นสงบลง เมื่อขึ้นไปยังที่สูง เ้าจะมองเห็นเงาคันเบ็ดในระยะไกล เสื้อขนแกะถูกสวมบนไหล่แคบ แถมยังมีหมวกทรงสูง ใช้ดวงจันทร์เป็แม่สื่อ มีท้องฟ้าเป็พยาน โลกขุ่นมัวแต่ข้าสดใส ผู้คนมัวเมาแต่ข้าตื่นรู้ คลื่นลมและแสงเดือนผ่านไป ข้าควบคุมจิตใจได้ด้วยบทกวี
คลื่นนับพันลี้ที่กระทบฝั่งมีสีขาวราวน้ำนม น้ำนิ่งจากกระแสน้ำวน ปราศจากสิ่งรบกวน ขับขานบทเพลงท่ามกลางแสงจันทรา ร่ำสุราท่องกวีเกี่ยวกับชาวประมง ลมและฝนทำให้ต้องลดใบเรือลง ผู้คนร้องเพลงตามใจปรารถนา หัวเราะให้กับความแตกต่างมากมายในโลก
ในหนึ่งวัน เมฆสีแดงสดปกคลุมทุกสิ่ง ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้าไปทางทิศตะวันตก ปีกอีกาสะท้องแสงสีทอง ต้นอ้อขึ้นอยู่ริมน้ำ ท้องฟ้าที่มีเมฆฝนเต็มไปด้วยดาว สายลมพัดพาความเศร้า ส่วนความสุขของผู้มาเยือนกลับมากมายไร้สิ้นสุด ภาพที่งดงามคู่ควรกับกระดาษชั้นดี พู่กันจุ่มหมึกโบกสะบัดเหมือนนกขมิ้น”
สาวใช้สองคนดูเหมือนจะรู้ว่าอวิ๋นจื่อ้าอะไร ไม่มีใครเข้ามาในห้องจนกว่าเพลงที่นางเล่นจะจบลง นางยังเล่นเพลงนี้ได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน ถึงอย่างนั้นนางก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย นางจึงคิดที่จะพักผ่อน
“เ้าเป็อะไรกับอวิ๋นเซียว?”
ก่อนที่อวิ๋นจื่อจะทันได้ลุกขึ้นยืน นางก็ได้ยินเสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่ทรงพลังมาก
นางมองหาที่มาของเสียงและเห็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีม่วง เขามีผิวคล้ำและดูเหมือนคนจากทางเหนือ นางงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เ้าเป็ใคร?”
ชายวัยกลางคนเดินตรงไปหานางและกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ยินเพลงนี้มายี่สิบปีแล้ว วันนี้นับว่าโชคดีจริงๆ ในเมื่อเ้าสามารถเล่นเพลงนี้ได้ เช่นนั้นเ้าคือทายาทของอวิ๋นเซียวใช่หรือไม่?”
อวิ๋นจื่อก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนจะทำความเคารพ จากนั้นนางก็กล่าวว่า “ปี้เหยียนไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังพูด ท่านคงเป็แขกของที่นี่กระมัง เรียนเชิญท่านที่ห้องโถงเ้าค่ะ”
จู่ๆ สีหน้าชายวัยกลางคนก็เปลี่ยนเป็เศร้าโศก เขากล่าวว่า “น่าเสียดายที่ยี่สิบปีให้หลังทายาทของอ๋องอวิ๋นเมิ่งคนก่อนจะยอมจำนนต่อโชคชะตาและขายตัวให้หอคณิกาเช่นนี้ ตระกูลอวิ๋นคงถึงคราวล่มสลายแล้ว”
หลังจากพูดจบเขาก็จากไปโดยไม่พูดอะไรอีก
หลังจากที่เขาจากไปอวิ๋นจื่อก็รู้สึกอึดอัดมาก ร่างกายของนางสั่นสะท้านไปทั้งตัว
นางทนไม่ได้อีกต่อไป นางรีบเข้าไปที่ห้องชั้นใน เอนตัวลงบนตั่ง และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำให้จิตใจของตนเองสงบลง
ในขณะนั้นนางรู้สึกเพียงว่าโลกกำลังหมุนเคว้ง
“ตระกูลอวิ๋นคงถึงคราวล่มสลายแล้ว”
“ทายาทขององค์อวิ๋นเมิ่งคนก่อนขายตัวให้หอคณิกา”
คำพูดเหล่านี้ทำร้ายจิตใจของอวิ๋นจื่ออย่างเหลือแสน
นางรู้สึกว่าหัวใจของตนเองถูกขย้ำโดยมือที่มองไม่เห็น
ในไม่ช้าดวงตาของนางก็เอ่อไปด้วยน้ำตา
นางร่ำไห้ น้ำตาไหลรินเปรอะเปื้อนแก้มนวล
นางพยายามอดทดและอดกลั้น นิ้วของนางแทบจะจิกผ้าปูที่นอนขาด
นางหลับตาลง
นางยังคงนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าของไป๋จื่อและหงหลิง
อวิ๋นจื่อพยายามสงบสติอารมณ์และทำสีหน้าให้เรียบเฉย
เมื่อสาวใช้ทั้งสองเข้ามาจึงไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
อวิ๋นจื่อถามเบาๆ “มีอะไรให้ข้ากินบ้าง?” น้ำเสียงของนางสั่นเล็กน้อย
หงหลิงเปิดกล่องอาหารและกล่าวว่า “ข้าเลือกแต่อาหารที่คุณหนูชอบ คุณหนูทานให้มากหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
ไป๋จื่อรู้สึกว่าอวิ๋นจื่อมีท่าทีแปลกไปเล็กน้อย นางจึงยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเห็นว่าคุณหนูมักชอบทานอาหารจากโรงเตี๊ยมฝั่งตรงข้าม แต่ข้าไม่รู้ว่าคุณหนูจะชอบอาหารที่ข้ากับหงหลิงนำมาหรือไม่ หลังจากคุณหนูทานเสร็จก็เล่นกู่ฉินให้พวกเราฟังสักเพลงได้หรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อไม่ตอบ
นางไม่อยากพูดอะไรเลย
ทันใดนั้นหงจินก็กลับมาพร้อมกับกล่องอาหาร เมื่อเห็นว่ามีอาหารวางอยู่ด้านหน้าไป๋จื่อและหงหลิง นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูข้าเอาอาหารมาส่งเ้าค่ะ ในนี้มีแต่อาหารที่คุณหนูชอบทั้งนั้นเลย” หงจินวางกล่องอาหารลงและเปิดออกก่อนจะกล่าวว่า “บังเอิญเป็อาหารแบบเดียวกันเสียแล้ว”
อวิ๋นจื่อกล่าวเสียงเบา “เ้ามาทันเวลาพอดี เรามาแบ่งกันกินเถอะ ข้ากินทั้งหมดนี้คนเดียวไม่ไหวหรอก มาเถอะข้าจะได้มีแรงเล่นกู่ฉินให้พวกเ้าฟัง”
เมื่อเห็นอวิ๋นจื่อกล่าวเช่นนี้ หงจินก็รู้สึกไม่ดีนักจึงกล่าวว่า “คุณหนูมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจหรือไม่เ้าคะ?”
อวิ๋นจื่อก้มหน้าลง นางหยิบขนมขึ้นมากินและกล่าวว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่หิวมากเท่านั้น”
หลังจากพูดจบนางก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนไม่ต่างจากปกติ
เหล่าสาวใช้ต่างรู้สึกโล่งอก พวกนางช่วยกันจัดอาหารอย่างรวดเร็ว
อวิ๋นจื่อคีบอาหารเข้าปากเงียบๆ
นางกำลังครุ่นคิดในขณะที่เคี้ยวอาหารช้าๆ
------------------------
[1] “หากเ้าทุ่มเทหัวใจให้กู่ฉิน จะมีสหายกี่คนที่เต็มใจฟังเพลงจากกู่ฉินที่เ้าบรรเลงจนสายขาด?” เป็คำกล่าวของเยว่เผิงจูซึ่งเป็นายพลที่มีชื่อเสียงในราชวงศ์ซ่ง เขามีสหายคู่กายมากมายในสนามรบ แต่สหายรู้ใจกลับหาได้ยาก เขาจึงรู้สึกโดดเดี่ยว
[2] ฟ่านหลี่เป็บุคคนในตำนานของอู๋ซี ตามตำนานใน่ฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง ่าระหว่างรัฐเมื่อกว่า 2,400 ปีก่อนฟ่านหลี่และซีซืออาศัยอยู่อย่างสันโดษริมทะเลสาบและมักออกไปล่องเรือในทะเลสาบ ด้วยเหตุนี้ทะเลสาบดังกล่าวจึงได้ชื่อว่าทะเลสาบสวนหลี่ ยังมีชื่อของสถานที่อีกหลายแห่งในอู๋ซีที่เกี่ยวข้องกับฟ่านหลี่ เช่น แม่น้ำหลี่เหอ หลี่เฉียว หลี่หยวน และสะพานหลี่กัง นอกจากนี้ มีเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งที่ผู้คนริมทะเลสาบไท่หูมักร้องกัน ท่อนหนึ่งของเพลงดังกล่าวร้องว่า “ปลูกไผ่และเลี้ยงปลาได้กำไรมากกว่าพันเท่า ต้องขอบคุณซีซือและฟ่านหลี่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้