อี้ไท่เฟยและมู่หรงหว่านหรูปรารถนาให้หานอวิ๋นซีทำให้ฮ่องเต้ผิดหวัง และถูกฮ่องเต้ลงโทษอย่างรุนแรง ทางที่ดีก็ให้พิการไปเลย เช่นนี้นางจะได้ไม่ต้องกลับมาอีก
โดยเฉพาะมู่หรงหว่านหรูที่เป็คนที่กระจายข่าวลือในครั้งนี้ เดิมทีตั้งใจจะขับไล่หานอวิ๋นซีออกจากจวนฉินอ๋อง แต่ไม่คาดคิดว่าเื่จะไปถึงฮ่องเต้
มันจะดีกว่าหากเป็ฮ่องเต้ที่จัดการกับสตรีผู้นี้ เขาเป็คนบังคับให้หลงเฟยอภิเษกกับนาง แล้วก็เป็คนไล่นางไปด้วยตัวเอง จะมีอะไรน่าพอใจไปกว่านี้อีกล่ะ?
หานอวิ๋นซีมองหลงเฟยเยี่ยโดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงว่าชายผู้นี้ยังคงห่างเหินเช่นเคย ด้วยสีหน้าเฉยเมยและความแปลกประหลาดอันน่าสะพรึงกลัว
ในใจของเขาก็คงรู้สึกยินดีบนความทุกข์คนอื่นเช่นกัน เขาก็้าที่จะยกเลิกตำแหน่งชายาเอกของนางอยู่แล้ว
“หวังเฟย วันนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว ฮ่องเต้สั่งให้กระหม่อมมาทักทายท่านก่อน ให้ท่านพักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้เช้าตรู่ กระหม่อมจะเข้ามารับท่านพ่ะย่ะค่ะ”
เซวียกงกงพูดพลางลุกขึ้นยืน อี้ไท่เฟยรีบเดินตามไปทันที “เซวียกงกง นานๆ ครั้งจะมาที่นี่ ทานข้าวก่อนแล้วค่อยกลับไปเถอะ”
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของไท่เฟย กระหม่อมยังต้องกลับไปรายงาน ไท่เฟย ฉินอ๋อง ขอตัวลาก่อน”
เซวียกงกงพูดและไม่ลืมที่จะเตือนหานอวิ๋นซีว่า “พรุ่งนี้เช้า โปรดหวังเฟยอย่าได้ช้า ฮ่องเต้จะพบท่านหลังจากว่าราชการเสร็จ”
“เข้าใจแล้ว เซวียกงกงเดินทางดีๆ ล่ะ” ใบหน้าของหานอวิ๋นซีที่เผยรอยยิ้มอย่างใจดี ทว่าในหัวใจกลับเ็า
ชายหนุ่มมีภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรีงั้นหรือ?
อย่าพูดถึงสมัยโบราณเลย เื่นี้ต่อให้เป็ในยุคปัจจุบันก็เป็เื่แปลกอยู่ดี! นางไม่สามารถรักษาโรคร้ายแรงได้ แล้วนับประสาอะไรกับโรคประหลาดเช่นนี้ล่ะ?
หานอวิ๋นซีสามารถเพิกเฉยต่อข่าวลือภายนอกได้ แต่นางไม่สามารถเพิกเฉยต่อความคาดหวังของฮ่องเต้ได้
จากสิ่งที่เซวียกงกงพูดมานั้น ฮ่องเต้เทียนฮุยมีความหวังอย่างมากต่อทักษะทางการแพทย์ของนาง หากนางปฏิเสธ เห็นได้ชัดว่าคงเป็การไม่ไว้หน้าฮ่องเต้ แต่หากนางไม่ปฏิเสธ เมื่อถึงเวลารักษาแล้วทำได้ไม่ดีละก็ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับอารมณ์ของฮ่องเต้
ว่ากันว่าฮ่องเต้เทียนฮุยเองก็มีอารมณ์ร้ายเช่นกัน
อีกทั้งเื่นี้ยังมีฮองเฮาคอยอยู่เื้ั ถ้ารักษาไม่ดีละก็ สามารถจินตนาการถึงผลที่ตามมาได้เลย
หลังจากส่งเซวียกงกงออกไปแล้ว อี้ไท่เฟยก็ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกำชับว่า “หว่านหรู รีบทานอาหารเถอะ พี่ชายของเ้าคงหิวแล้วแน่ๆ”
นางอารมณ์ดีอย่างมาก มองมาที่หานอวิ๋นซีและพูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะว่า “อวิ๋นซี เ้าเองก็กินข้าวที่นี่ด้วยสิ อิ่มแล้วค่อยกลับไปนอน พรุ่งนี้เช้าห้ามสายเด็ดขาด”
แม้ว่าหัวใจของหานอวิ๋นซีจะเ็า แต่นางยังคงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม อี้ไท่เฟยและมู่หรงหว่านหรูอยากจะดูเื่ตลกของนางสินะ อย่างไรนางก็ไม่มีทางให้ดู!
บนโต๊ะอาหารค่ำ อี้ไท่เฟยและมู่หรงหว่านหรูเรียกได้ว่าเอาใจใส่สุดๆ คอยคีบผักและยกน้ำแกงให้หลงเฟยเยี่ยตลอด ทว่าหลงเฟยเยี่ยกลับไม่ได้กินอะไรมากนักและนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
หานอวิ๋นซีผู้ซึ่งถูกเพิกเฉยไปโดยสิ้นเชิง ก็ลดสายตาลงแล้วทานด้วยตัวเอง
ช่างเถอะ จะเป็พรหรือโชคร้ายก็เลี่ยงไม่ได้อยู่ดี พรุ่งนี้โอกาสมาแล้วก็คว้ามันไว้ก็แล้วกัน...
หานอวิ๋นซีที่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อย นางคิดว่าตนเองคงจะนอนหลับได้อย่างสบายใจ แต่น่าเสียดายที่ในคืนนี้นางพลิกตัวไปมาทั้งคืน นางจึงลุกขึ้น ห่อตัวด้วยผ้าห่มและเอนตัวพิงหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
อย่างไรก็ตาม กลับไปสังเกตเห็นโดยไม่ได้ตั้งใจว่าไฟในห้องนอนของหลงเฟยเยี่ยที่อยู่ไม่ไกลยังคงเปิดอยู่ ดึกขนาดนี้ เขายังไม่นอนอีกหรือ? เหตุใดเขาถึงไม่นอนนะ?
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่จู่ๆ ประโยคที่เขาพูดก็ผุดขึ้นมาในความคิด “มีข้าอยู่ เ้าไม่ต้องกลัว”
ในขณะนี้ หานอวิ๋นซีอยากจะวิ่งไปหาเขาและถามเขาว่า ครั้งนี้สามารถไปกับนางเหมือนครั้งก่อนที่เข้าไปในวังได้หรือไม่?
แต่เมื่อนึกถึงความเงียบอันเ็าของเขาแล้ว ดวงตาที่สดใสของนางก็มืดลงทันที ช่างเถอะ
หานอวิ๋นซีสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วปิดหน้าต่าง บอกตัวเองว่าไม่มีอะไรร้ายแรง ไม่ต้องกลัว!
แม้ว่านางจะไม่ได้นอนทั้งคืน ทว่าหานอวิ๋นซีก็ตื่นั้แ่เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น และขอให้เฉินเซียงแต่งตัวให้นางอย่างประณีต ทำให้นางดูกระฉับกระเฉงเป็พิเศษ
ในเมื่อเป็สิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่นนั้นก็ต้องมีความกล้าที่จะเผชิญมัน หานอวิ๋นซีแอบบอกตัวเองว่า ไม่เพียงต้องทำอย่างกล้าหาญเท่านั้น แต่ต้องพยายามให้หนักและทำให้ดีด้วย
เซวียกงกงมารับนางตามเวลา อี้ไท่เฟยและมู่หรงหว่านหรูเองก็มาเช่นกัน
อย่างแรกคือมาเพื่อเซวียกงกง อย่างที่สองคือมาดูเื่ตลกของนาง เมื่อเห็นพวกนางยิ้มให้ หานอวิ๋นซีก็ส่งยิ้มที่สวยกว่าพวกนางกลับไป
นางเป็คนประเภทที่เห็นโลงศพแล้วไม่หลั่งน้ำตา จะไปถูกพวกนางหัวเราะเยาะได้อย่างไรกัน?
ในตอนที่กำลังจะขึ้นรถม้า หานอวิ๋นซีก็หันกลับไปมอง ทว่าจนถึงสุดท้ายแล้วก็ไม่เห็นหลงเฟยเยี่ย ในตอนที่นางออกจากลานดอกบัว ไฟในห้องนอนของเขาก็ดับไปแล้ว ประตูเองก็ปิดสนิท เขาอาจจะยังหลับอยู่เลยไม่ได้มา
เมื่อมาถึงวัง ฮ่องเต้เทียนฮุยก็ว่าราชการเสร็จแล้ว และรออยู่ที่ห้องตำราหลวง ทางเดินที่นำไปสู่ห้องตำราหลวงของฮ่องเต้นั้นเงียบกว่าที่อื่นในวัง ไม่ไกลนัก จะสามารถเห็นนางกำนัลและขันทียืนอยู่สองข้างทาง ไม่เคลื่อนไหวใดๆ ราวกับรูปปั้นอย่างไรอย่างนั้น
ท่ามกลางความเงียบ เสียงฝีเท้าของหานอวิ๋นซีและเซวียกงกงนั้นชัดเจนเป็พิเศษ
“หวังเฟย เร็วเข้าพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ไม่ชอบรอคนอื่น” เซวียกงกงพูดกระตุ้นเบาๆ แม้แต่ในทางเดิน เขาก็พูดอย่างระมัดระวังมาก
บรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้ทำให้หานอวิ๋นซีที่รู้สึกประหม่าอยู่แล้ว ยิ่งประหม่ามากขึ้นไปอีก
เท่าที่นางรู้ ฮ่องเต้เทียนฮุยเองก็เป็คนที่ชอบกดขี่ข่มเหง มีอารมณ์รุนแรงเป็พิเศษ หากจะฆ่าใครสักคน เขาไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
ในไม่ช้าก็มาถึงห้องตำราหลวง
เซวียกงกงหยุดอยู่นอกประตูและพูดเสียงเบาว่า “หวังเฟย เข้าไปด้วยตัวเองเถิด”
เื่ของไท่จื่อ แม้แต่เซวียกงกงเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะรับรู้ เขาระมัดระวังอย่างมาก
ในขณะที่พูด ก็ไม่รอให้หานอวิ๋นซีตอบสนอง ะโด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ทูลฝ่าา...ฉินหวังเฟยเสด็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ...”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา หานอวิ๋นซีก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบเข้าไปในห้อง
นางที่มาที่นี่เป็ครั้งแรก รู้สึกเพียงว่าบรรยากาศเคร่งขรึมและหนาวเย็นจนน่ากลัว นางไม่รู้จะทำตัวอย่างไรและไม่รู้จะไปที่ไหน จึงเดินตรงเข้าไปเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความเงียบงันของที่นี่เงียบกว่าข้างนอกหลายเท่า ทำให้นางรู้สึกผิดที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของตนเอง
ในที่สุด หานอวิ๋นซีก็เห็นม่านลูกปัดขนาดใหญ่ตรงหน้า และมองเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะด้านในอย่างเลือนราง
ฮ่องเต้เทียนฮุยอยู่ที่นั่นใช่หรือไม่?
หัวใจของหานอวิ๋นซีเต้นไม่เป็จังหวะ กุมมือเล็กๆ ก่อนที่จะก้มหน้าลงเดินเข้าไป
นางยกมุมของม่านลูกปัดอย่างระมัดระวัง แต่โดยไม่คาดคิด กลับมีการจ้องมองที่แหลมคมราวกับนกอินทรีพุ่งเข้ามาทันที ทำให้หานอวิ๋นซีรู้สึกถึงเจตนาฆ่าทั่วทุกที่
“เ้าคือฉินหวังเฟย หานอวิ๋นซีใช่หรือไม่?” ฮ่องเต้เทียนฮุยพูดอย่างเ็า เขาอยู่ในวัยสี่สิบกว่าแล้ว มีเคราแพะและใบหน้าเ็าเหมือนกับพญามัจจุราช ทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันไม่น้อย
แตกต่างจากความเ็าของหลงเฟยเยี่ย ความเ็าของหลงเฟยเยี่ยนั้นไม่แยแส โเี้ และสูงส่ง ในขณะที่ความเ็าของฮ่องเต้เทียนฮุยนั้นจริงจังและดุร้าย
หานอวิ๋นซีรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างมาก ทว่าก็ยังมีสีหน้าที่มั่นคง นางโค้งคำนับอย่างสุภาพ “ทูลฝ่าา หม่อมฉันคือฉินหวังเฟย หานอวิ๋นซีเพคะ”
แต่ใครจะรู้ว่าจู่ๆ ฮ่องเต้เทียนฮุยก็ตะคอกขึ้นมา “ใครบอกให้เ้าเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้? ใครอนุญาตให้เ้าเข้ามา?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา หานอวิ๋นซีก็ชะงักอยู่กับที่ ในฐานะคนที่เดินทางข้ามเวลา นางรู้เพียงมารยาทพื้นฐานเท่านั้น จะไปรู้ได้อย่างไรว่ามีกฎมากมายในห้องตำราหลวง อีกอย่าง เมื่อครู่เซวียกงกงก็รายงานไปแล้ว ไม่ใช่ว่าเรียกให้นางเข้ามาหรือไร?
หานอวิ๋นซีก้มหน้า คิดไม่ออกว่าตนเองผิดตรงไหน ครู่หนึ่งนางไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
แม้ว่านางจะถูกแนะนำในฐานะฉินหวังเฟย แต่ในสายตาของฮ่องเต้เทียนฮุยนั้น หานอวิ๋นซีต่ำต้อยมากและไม่ต่างอะไรไปจากประชาชนทั่วไป
ในขณะที่หานอวิ๋นซีประสบปัญหา ก็มีเสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านข้าง
“ท่านพี่ นางเป็สตรีที่ไร้การศึกษา เหตุใดต้องไปโต้เถียงกับนาง รีบพูดเื่สำคัญเถิด”
น้ำเสียงที่ทุ้มลึกที่แฝงไปด้วยพลังดึงดูดนั้นเ็าจนทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน แม้ว่าในตอนนี้มันจะเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย แต่ในหูของหานอวิ๋นซีมันอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ได้
คือเขา หลงเฟยเยี่ย!
นางเงยศีรษะขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมองตามเสียงไป เห็นหลงเฟยเยี่ยสวมชุดสีขาวของวังซึ่งดูหล่อเหลาสง่างาม และในตอนนี้ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาด้านข้างค่อยๆ จิบชาร้อนๆ
คิดไม่ถึงว่าชายผู้นี้จะมาจริงๆ ทั้งยังมาถึงเร็วกว่านาง!
เมื่อเห็นเขานั่งอย่างสงบ หานอวิ๋นซีรู้สึกโล่งใจและถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างไม่มีเหตุผล
เขามาเพราะนางใช่หรือไม่? ความหวังอันล้นเหลือลอยอยู่ในใจของหานอวิ๋นซีที่แม้แต่นางเองก็ไม่คาดคิด
อย่างไม่ต้องสงสัย คำพูดของหลงเฟยเยี่ยนั้นมีน้ำหนัก ฮ่องเต้เทียนฮุยก็เดินออกมาและไม่ได้พูดอะไรอีกเลย เพียงแค่โบกมือส่งสัญญาณให้หานอวิ๋นซียืนตัวตรง
หลังจากนั้นไม่นาน หานอวิ๋นซีจึงจะรู้ว่า การมาที่ห้องตำราหลวงนั้นต้องคำนับนอกม่านลูกปัดก่อน แล้วจะสามารถเข้าไปในห้องด้านในได้เมื่อได้รับอนุญาตจากฮ่องเต้เท่านั้น
“ขอบพระทัยฝ่าา” หานอวิ๋นซียืนตรงและแอบมองหลงเฟยเยี่ยด้วยความขอบคุณ แต่น่าเสียดายที่หลงเฟยเยี่ยไม่ได้มองมาที่นาง
แม้ว่านางจะเป็น้องสะใภ้ อย่างไรก็มีความแตกต่างระหว่างฮ่องเต้และประชาชนธรรมดา นอกจากนี้ นางไม่ได้อยู่ในสายตาฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย
หลงเฟยเยี่ยนั่งได้ แต่หานอวิ๋นซีต้องยืนเท่านั้น
“ได้ยินจากฮองเฮาว่า มู่ชิงอู่หมดสติไป ฉางผิงก็มีตุ่มพิษบนใบหน้า หมอหลวงทุกคนไม่สามารถรักษาได้ แต่เ้ารักษาได้ด้วยยาเพียงครั้งเดียว?” ฮ่องเต้เทียนฮุยเริ่มเปิดประเด็น มองหานอวิ๋นซีและไม่ปฏิบัติกับนางเหมือนน้องสะใภ้เลย
“ทูลฝ่าา มีเื่เช่นนี้จริง เพียงแต่หากให้พูดตามตรง ทั้งแม่ทัพใหญ่และองค์หญิงฉางผิงไม่ได้ป่วยแต่ถูกวางยาพิษ หม่อมฉันล้างพิษได้ แต่รักษาโรคไม่ได้”
ไม่ว่าจะอย่างไร หานอวิ๋นซีก็ต้องบอกความจริง นางสามารถลองดูอาการไท่จื่อได้ แต่ก่อนหน้านั้นนางต้องพูดความจริงก่อน
ใครจะรู้ว่าฮ่องเต้กลับพูดว่า “หมอกับนักพิษอยู่ในตระกูลเดียวกัน ในตอนนั้นข้าได้ยินแม่ของเ้าพูดว่าโรคทั้งหมดเกิดจากพิษ เหตุผลนี้ เ้าเข้าใจหรือไม่?”
แคก แคก...
หานอวิ๋นซีแทบจะสำลักน้ำลายตนเอง นางไม่รู้ว่าฮูหยินเทียนซินพูดแบบนี้หรือไม่ แต่ต้องบอกว่าประโยคนี้มันล้ำหน้าเกินไป
จากมุมมองของการแพทย์ตะวันตกแล้ว โรคทั้งหมดเกิดจากไวรัสจริงๆ
น่าเสียดาย ที่นี่นางไม่ได้เป็เช่นนั้น พิษและไวรัสไม่เหมือนกัน พิษส่วนใหญ่ที่นางสามารถล้างได้คือพิษที่มีอยู่ในสัตว์และพืชตามธรรมชาติ และพิษที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาเอง
หากไม่ได้พูดถึงเื่นี้ ประโยคนี้ของฮ่องเต้เทียนฮุยก็คงไม่ได้ทำให้หานอวิ๋นซีรู้สึกอับอาย นางไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่แม่ของนางพูดได้ แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้มากพอที่จะทำให้ฮ่องเต้เทียนฮุยเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อย
หานอวิ๋นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างถ่อมตนว่า “หมอและนักพิษอยู่ในตระกูลเดียวกัน เช่นนั้นหมอและนักพิษอยู่ในระดับสูงสุด อวิ๋นซีเรียนรู้มาเพียงผิวเผินของท่านแม่เท่านั้น”
“ฮ่าฮ่า ไม่แปลกใจเลยที่ฮองเฮาจะบอกว่าเ้าถ่อมตัว แม้แต่พ่อของเ้ากับกู้เป่ยเยวี่ยยังรักษาไม่ได้ แต่เ้ากลับสามารถรักษาโรคได้ง่ายๆ หากนี่เป็เพียงผิวเผิน พ่อของเ้ากับกู้เป่ยเยวี่ยก็ไร้ประโยชน์น่ะสิ?” ฮ่องเต้เทียนฮุยถามอย่างจริงจัง
“ทูลฝ่าา หมอเทวดาหานและหมอหลวงกู้สามารถรักษาโรคได้ หานอวิ๋นซีสามารถล้างพิษได้ และสองสิ่งนี้ไม่สามารถเปรียบเทียบด้วยกันได้” หานอวิ๋นซียังคงอธิบายต่อ
แต่ไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้กลับเริ่มหมดความอดทนและพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฉินหวังเฟย ข้าให้เ้ามารักษาโรค ไม่ได้ให้เ้ามาถ่อมตัว! ข้าหวังว่าเ้าจะสามารถรักษาไท่จื่อได้ด้วยยาเพียงถ้วยเดียว! หรือว่าเ้ายังอยากที่จะซ่อนมันต่อไปงั้นหรือ?”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา หัวใจของหานอวิ๋นซีก็เต้นรัว มีเพียงพระเ้าที่รู้ดีว่าฮองเฮาเป่าหูฮ่องเต้อย่างไร ถึงได้ทำให้เขาเชื่อในทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมของนางขนาดนี้