คนส่งเทียบเชิญของตระกูลจิ่ง ่นี้เร่งความเร็วควบม้ายิ่ง แทบไม่ได้หลับได้นอนจนเกือบจะตายบนหลังม้าเลยทีเดียว แต่ว่าต่อให้จะเหนื่อยสักเพียงไร พวกเขาก็ต้องเอาชีวิตเข้าแลก วรยุทธ์ที่ร่ำเรียนมาจะได้ไม่เสียเปล่า เทียบเชิญงานประลองยุทธ์ภายใต้ความพยายามอย่างสุดกำลังของทั้งคนและม้าซึ่งมีตระกูลจิ่งเป็ศูนย์กลางพุ่งออกไปทั้งสี่ทิศ ค่อยๆ ทยอยกันไปถึงที่หมายที่มันควรจะไปแล้ว
ภาคกลาง
ตระกูลทาง
เทียบกับภาคตะวันออก เหนือ ตก ใต้ ที่เป็ูเาไปทั้งแถบแล้ว ภาคกลางถือเป็ที่ที่ราบเรียบ เหมาะแก่การควบม้า ส่วนตระกูลทางก็อยู่ตรงกึ่งกลางของพื้นที่นี้พอดี ทั้งสามด้านถูกล้อมไว้ด้วยต้นไม้ใหญ่จนบดบังท้องฟ้าโดยสมบูรณ์
ไม่ต้องพูดถึงว่าในฤดูร้อน ใบไม้จะบดบังที่นี่จนไม่มีแสงสว่างส่องมาถึงหรือไม่ เอาแค่ฤดูหนาวที่ไม่มีใบไม้ พวกกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ก็ยังสามารถทำให้พื้นที่แห่งนี้มืดมนจนน่ากลัวได้
มองมาที่เรือนหลังใหญ่ของตระกูลทางบ้าง ตระกูลทางนั้นเป็ตระกูลที่ค่อนข้างช่างเลือก อิฐทุกก้อน กระเบื้องทุกแผ่น หญ้าทุกกอ ต้นไม้ทุกต้น ราวกับตั้งใจจัดสรรเอาไว้เป็อย่างดี ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย รวมถึงพวกสาวใช้และเด็กรับใช้ก็ล้วนอยู่ในกฎระเบียบ ลำดับชั้นของเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับก็ถูกกำหนดเอาไว้อย่างเข้มงวด ทุกการกระทำและคำพูดของพวกเขาล้วนไม่สามารถเกิดข้อผิดพลาดหรือความไม่เหมาะสมขึ้นได้แม้แต่น้อย คนรับใช้ที่เข้าๆ ออกๆ ในเรือนนั้นทุกคนต่างรู้หน้าที่ของตนเอง แต่งหน้าเหมือนกัน ใช้เครื่องประดับผมเหมือนกัน บนใบหน้าล้วนมีรอยยิ้มบางๆ ตามมาตรฐาน ไม่ธรรมดาเกินไปและก็ไม่เย้ายวน ไม่น่าเกลียดแต่ก็ไม่งดงาม
ไม่พูดเยอะ ผู้นำตระกูลทางคนปัจจุบัน ‘ทางเฉิงโย้ว’ อายุสามสิบสองปี สูงร้อยแปดสิบกว่า รูปร่างกำยำ คิ้วหนาจมูกโด่ง เลี้ยงเคราสั้นๆ เอาไว้ ตอนนี้กำลังนั่งอย่างมั่นคงอยู่บนเก้าอี้ไม้แกะสลักสีน้ำตาลแดง ถึงไม่โกรธเคืองก็ยังแผ่ความน่ากลัวออกมา เป็ความน่าเกรงขามแบบคนมีตระกูลอย่างแท้จริง
สวีจงเจิ้งประสานมือคารวะอย่างนอบน้อมอยู่ด้านล่าง พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “สวีจงเจิ้งคารวะท่านผู้นำตระกูลทาง”
ทางเฉิงโย้วส่งเสียง “อืม” ออกมาอย่างเ็าทีหนึ่ง แล้วสะบัดมือบอกให้เขานั่งลง “มีอะไร?”
สวีจงเจิ้งถอยหลังไปครึ่งก้าว นั่งลงบนเก้าอี้ทางด้านขวา ตอนนี้เขาอายุใกล้จะห้าสิบแล้ว ศีรษะดูไม่สูงมาก อาจเป็เพราะหลังที่โค้งงอ “ที่มาวันนี้เพราะมีเื่ไม่เล็กไม่ใหญ่เื่หนึ่งมารายงานท่านผู้นำให้ทราบ”
“ว่ามา”
สวีจงเจิ้งใบหน้าไม่ใหญ่ ตากับปากเล็กมาก มีเพียงจมูกที่ไม่เข้ากับใบหน้านั้น มันทั้งใหญ่และกลม กินพื้นที่บนใบหน้าไปเกือบครึ่ง เวลาเขาพูดราวกับว่าไม่ได้ขยับปากเลยแม้แต่นิดเดียว แต่จมูกนั้นได้แสดงท่าทางกับความรู้สึกออกมามากมายแทนเป็ที่เรียบร้อยแล้ว “ท่านผู้นำตระกูลทาง ตระกูลจิ่งจากภาคตะวันออกส่งเทียบเชิญมาขอรับ”
เปลือกตาของทางเฉิงโย้วเบิกกว้างขึ้นทันใด สายตาส่งไปทางสวีจงเจิ้ง “ตระกูลจิ่งหรือ?”
ตระกูลจิ่ง...คือตระกูลที่ไม่รู้จักที่ตาย ไปช่วยเ้าเด็กจากตระกูลอ๋าวนั่นน่ะหรือ?
“เอามาดูซิ”
สวีจงเจิ้งล้วงเทียบเชิญจากในอกเสื้อมอบให้กับพ่อบ้านตระกูลทาง พ่อบ้านคนนั้นั้แ่แรกจนถึงตอนนี้ก็เอาแต่ก้มหน้าอยู่ตลอด หน้าตานิ่งเฉย น้อยนักที่จะมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังเดินไม่มีเสียง รับเทียบเชิญมาแล้วก็ส่งต่อให้ทางเฉิงโย้ว หลังจากนั้นก็ยืนนิ่งแล้วแอบไปอยู่ด้านหลังของเ้านายเขา ไม่พูดแม้สักคำราวกับไม่มีตัวตนอยู่
จิ่งเหวินซานเองก็มีความคิดแอบแฝงอยู่เหมือนกัน กระดาษเทียบเชิญใบเล็กๆ ถูกทำขึ้นอย่างหรูหราสวยงาม ฉลุลวดลายงดงาม ลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนใคร ดูแล้วสบายตาสบายใจ บนเทียบเชิญมีตัวอักษรอยู่ไม่มาก ทางเฉิงโย้วมองปราดเดียวก็อ่านจบแล้ว “จิ่งเหวินซานหรือ? หากข้าจำไม่ผิด ผู้นำตระกูลตระกูลจิ่งน่าจะชื่อจิ่งเหวินเหอนี่? จิ่งเหวินซานนี่เป็ผู้ใดกัน?”
ฮูหยินของจิ่งเหวินเหอมาจากตระกูลมู่ของภาคกลาง คนตระกูลจิ่งส่วนใหญ่ที่ค่อนข้างมีชื่อ ในมือพวกเขาก็ล้วนมีข้อมูลอยู่
“ใช่แล้ว จิ่งเหวินซานดูเหมือนจะเป็พี่ใหญ่ของจิ่งเหวินเหอ ตามที่เทียบเชิญเขียน งานประลองยุทธ์ของตระกูลจิ่งครั้งนี้มีจิ่งเหวินซานเป็ผู้จัดการ” สวีจงเจิ้งปรับท่านั่ง “ท่านผู้นำตระกูลทาง งานประลองครั้งนี้ท่านสนใจจะเข้าร่วมหรือไม่?”
ทางเฉิงโย้วหมุนเทียบเชิญในมือเล่นรอบแล้วรอบเล่า คิดอยู่เป็นานแล้ววางเทียบเชิญลงบนโต๊ะ “อืม ตระกูลสวีของเ้าส่งลูกหลานไปเถอะ ทางข้าก็จะส่งไปคนหนึ่ง ถึงตอนนั้นก็บอกไปว่าเป็ผู้คุ้มกันของตระกูลเ้าแล้วกัน”
สวีจงเจิ้งรีบลุกขึ้น จมูกที่ค่อนข้างใหญ่ขยับเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่ “แบบนั้นไม่ดีกระมังขอรับ จะให้เ้านายจากตระกูลทางอยู่ในสถานะต่ำต้อยได้อย่างไร”
ทางเฉิงโย้วสะบัดมือบอกปัด “ไม่เป็ไร เ้าเตรียมการเดินทางเถอะ”
สวีจงเจิ้งรีบตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็บอกว่าเป็สหายสนิทก็แล้วกัน”
ทางเฉิงโย้วพยักหน้าราวกับบอกว่ายังไงก็ได้ แต่แล้วคิ้วที่ดกหนาจู่ๆ ก็เลิกขึ้น “ตอนนี้หลางฉาก็อยู่ที่ภาคตะวันออก ไปแล้วก็ฝากดูแลด้วย”
สวีจงเจิ้งอึ้งไป “เหตุใดคุณหนูหลางฉาถึงไปที่ภาคตะวันออกด้วย?”
เห็นทางเฉิงโย้วไม่ตอบ สวีจงเจิ้งก็รู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรถาม จึงรีบตอบไปว่า “ท่านผู้นำตระกูลทางโปรดวางใจ รอบนี้ข้าจะส่งหรงฉี่ไป เขารู้จักกับคุณหนูหลางฉามาั้แ่เด็ก แน่นอนว่าจะต้องดูแลเป็พิเศษ”
ทางเฉิงโย้วพยักหน้า “เ้ากลับไปก่อนเถิด หากข้าเลือกคนได้แล้วก็จะให้เขารีบไปที่ตระกูลสวีทันที”
หลังจากสวีจงเจิ้งคารวะลาก็เดินออกมาจนถึงประตูใหญ่ แล้วก็อดหันกลับไปมองประตูใหญ่ที่ดูแล้วแสนจะธรรมดาของตระกูลทางไม่ได้ ประตูใหญ่ทำจากไม้แดงหนาหนัก เช็ดจนสะอาดเหมือนใหม่ นี่เป็ลักษณะสำคัญที่มีมาตลอดของตระกูลทาง จะไม่มีทางยอมให้มีความด่างพร้อยใดๆ เกิดขึ้นได้ ทั้งสองข้างของประตูใหญ่ยังมีสิงโตหินขนาดเท่าครึ่งคนจริง นอกจากจะสลักเสลาอย่างละเอียดแล้วก็เหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็พิเศษแต่สวีจงเจิ้งกลับรู้มาว่าภายใต้หินสลักนั้นแท้จริงแล้วคือสิงโตตัวเป็ๆ สองตัว หลังจากถูกล่ามาได้ก็ถูกกรอกสารปรอทแล้วนำไปผนึกไว้ในหิน ทำเช่นนี้ถึงจะสามารถผนึกิญญาชั่วร้าย ป้องกันปีศาจและมนตร์ดำทั้งหลายได้ สวีจงเจิ้งมองดวงตาที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่งของรูปสลักนั้นก็อดหลบสายตาไม่ได้
ตระกูลทางที่ภายนอกดูธรรมดา แต่ความหรูหราสูงส่ง แข็งแกร่ง และยิ่งใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจินตนาการได้ จนถึงวันนี้สวีจงเจิ้งยังจำความตกตะลึงและความสับสนในวันแรกที่เขาก้าวเท้าเข้าไปใน ‘คฤหาสน์หลัก’ หลังจริงของตระกูลทางได้ หรือบางทีก็ไม่ควรเรียกว่า ‘คฤหาสน์’ แล้วเพราะสองคำนี้ยังอธิบายได้ไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากความยิ่งใหญ่งดงามอลังการนั้นราวกับไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์ หากบอกว่าเป็ดินแดนเซียนก็คงจะไม่เกินไปนัก
คนทั่วไปล้วนรู้แต่เพียงว่าตระกูลทางอยู่ติดกับป่าขนาดใหญ่ พื้นที่เล็กๆ มุมหนึ่งของป่าขนาดใหญ่ แต่กลับไม่รู้ว่าด้านหลังต้นไม้รกทึบมากมายไม่จบไม่สิ้นนั้น แท้จริงแล้วเป็รังหลักของพวกเขา ทัศนียภาพที่แอบซ่อนไว้ภายใต้ความมืดมนจากแมกไม้นั้น เกรงว่าคงจะเป็ความกว้างขวางยิ่งใหญ่ที่คนทั่วไปก็ยังไม่อาจจินตนาการได้จนตาย
สวีจงเจิ้งสั่นสะท้าน ถอนสายตากลับมาแล้วจึงรีบขึ้นรถม้าไป จิตใจที่เคยต่อต้านไม่กลัวเกรงสูญสลายไปราวกับเมฆ ไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ไว้อีกเลย ในใจมีเพียงความหวาดกลัวและยอมศิโรราบ ไม่ต้องพูดถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าทางเฉิงโย้วที่เด็กกว่าเขาไม่กี่สิบปี ต่อให้อยู่ต่อหน้าเด็กน้อยตระกูลทางที่มีศักดิ์เป็ถึงหลานเขา เขาก็ทำได้เพียงคารวะอย่างนอบน้อมโดยไร้ซึ่งศักดิ์ศรีใดๆ
ตระกูลสวี...ตระกูลที่ใหญ่เป็อันดับต้นในสายตาของคนทั่วหล้านับไม่ถ้วน สำหรับตระกูลทาง ‘ที่ไม่เป็ที่รู้จักแม้แต่น้อย’ แล้ว เกรงว่ายังเทียบสุนัขตัวหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าถ้าคนใต้หล้าได้ยินเื่นี้...ได้เห็นเช่นนี้แล้วจะตกตะลึงจนกรามร่วงหรือไม่ ริมฝีปากของสวีจงเจิ้งที่แอบซ่อนอยู่ใต้จมูกนั้นอดยิ้มเยาะขึ้นไม่ได้ ไม่รู้ว่าน่าเศร้าหรือน่าขันกันแน่
ช่างเถอะ ในโลกนี้จะยังมีใครสามารถล้มตระกูลที่แข็งแกร่งราวกับปีศาจนั่นได้ ในเมื่ออย่างไรเสียคนทั่วหล้าก็ต้องกลายเป็สุนัขของพวกเขา ถ้าเช่นนั้นเป็ก่อนย่อมดีกว่าเป็หลังมากนัก
หลังจากที่สวีจงเจิ้งจากไป ทางเฉิงโย้วก็เดินเข้าห้องนอนไป ห้องนอนนี้เป็ห้องที่ผู้นำ ‘ในสายตาคนนอก’ ทุกรุ่นของตระกูลทางพักอาศัย ไม่ผิดหรอก เป็ผู้นำตระกูล ‘ในสายตาคนนอก’ จริงๆ สิ่งที่ตระกูลทางแสดงให้คนภายนอกเห็นนั้นก็มีโครงสร้างของมันอยู่ ส่วนเหนือสุดของโครงสร้างก็คือทางเฉิงโย้ว รวมถึงพวกทางเหวินหนิงด้วย แน่นอน ทางเหวินหนิงที่ตอนนี้ลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูลแล้วนั้นก็ได้กลับไปอยู่ที่ตระกูลหลักแล้ว แต่ว่าถึงเขาจะเป็สายหลักของตระกูลทาง แต่ก็เป็สายหลักที่ตำแหน่งไม่สูงนัก แต่เื่นี้...แม้แต่หลางฉาเองก็ยังรู้แค่เพียงผิวเผิน อ๋าวหรานที่อ่านนิยายต้นฉบับมานั้นก็ยิ่งไม่อาจรู้ได้
ไม่พูดมากแล้ว กลับมาที่ห้องนอนนี้ ที่นี่ ยังมีทางเชื่อมไปยังสถานที่ลึกลับที่แอบซ่อนอยู่ใต้ดินอีกด้วย
——
“ท่านพ่อ ตระกูลจิ่งส่งคนมามอบเทียบเชิญไปงานประลองยุทธ์แก่ตระกูลสวี” ทางเฉิงโย้วเดินเข้ามาถึงเรือนด้านใน สุดทางเดินเชื่อมไปยังทางเข้าคฤหาสน์หลักของตระกูลทาง เมื่อถึงหน้าประตูแล้วก็ยังต้องเดินไปอีกนานกว่าจะไปถึงเรือนที่พักของทางเหวินหนิง
“ตระกูลจิ่ง! เ้าลูกกระต่ายตระกูลอ๋าวนั่นตอนนี้ยังอยู่ที่ตระกูลของพวกเขามิใช่หรือ?” ทางเหวินหนิงอย่างน้อยก็เป็ผู้นำตระกูลมาหลายปี ลักษณะภายนอกยังไม่ต้องพูดถึง เอาแค่บรรยากาศรอบตัวก็ดูยิ่งใหญ่พรั่งพร้อมด้วยประสบการณ์แล้ว “พวกเขาบ้าไปแล้ว พวกเรารอตรวจสอบอยู่ตลอด แต่กลับจะมาเปิดประตูให้หมาป่าเข้าบ้านได้ง่ายๆ?”
ทางเหวินหนิงเรียกตัวเองว่าหมาป่าอย่าง ‘อย่างเปิดเผยไร้ความเกรงกลัว’
ทางเฉิงโย้วขมวดคิ้ว “ตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาตั้งใจจะทำอะไร ตามข่าวของเซียวหยางผิง เ้าเด็กตระกูลอ๋าวนั่นไม่รู้เื่จริงๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังโง่งม เชื่อว่าตระกูลเฉินเป็คนฆ่าพวกเขาอยู่เลย อีกทั้ง...ตามที่พวกเราได้ไปสืบมา ตระกูลจิ่งก็เหมือนจะสงบราบเรียบเป็อย่างมาก ไม่มีความเคลื่อนไหวสักเท่าไร”
ทางเหวินหนิงค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้ “จนถึงวันนี้ ทุกที่ที่ตระกูลจิ่งไป...ไปสืบมาหมดแล้วหรือยัง?”
ทางเฉิงโย้ว “ตามอยู่ตลอดขอรับ แต่ไปๆมาๆ ก็มีอยู่แค่ไม่กี่ที่เท่านั้น แล้วก็ล้วนไปเพื่อเก็บสมุนไพร ไม่มีร่องรอยว่ากำลังค้นหาสิ่งอื่นอยู่ ทุกที่ที่พวกเขาไปนั้น เราล้วนพลิกหาจนสิ้นแล้ว แต่ก็ไม่พบอะไร”
“หลางฉามีข้อความใหม่มาหรือยัง?”
“ยังคงเป็ข้อความของเมื่อหลายวันก่อนที่เข้าพักที่ตระกูลจิ่ง ก็เป็เื่งานประลองยุทธ์ที่ตระกูลสวีเอามาบอกนี่แหละขอรับ คาดว่าทางฝั่งนางก็คงไม่มีความคืบหน้าใดๆ หรือไม่ก็ยังไม่ได้ส่งมา”
“ตระกูลอ๋าวยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นอีกหรือไม?”
“มีแค่พวกลูกกระจ๊อกเท่านั้น ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น จึงฆ่าไปสิ้นแล้ว”
ทางเหวินหนิงโกรธจนพ่นเสียงออกมาทางจมูก “เ้าโง่ทางฮวาซยง ทีทำเื่ผิดพลาดล่ะเก่งนักเชียว! บอกแล้วว่าให้เหลืออ๋าวพานเอาไว้ ให้เหลือเอาไว้! เขากลับทรมานจนตายเสียได้! ร่องรอยอะไรก็ไม่มีเหลือแล้ว”
อ๋าวพาน...บิดาของอ๋าวหราน ผู้นำหมู่บ้านสกุลอ๋าว
ทางเฉิงโย้ว “เป็เพราะเ้าอ๋าวพานนั่นปากแข็งเกินไป ก่อนตายยังบอกว่าไม่รู้ แต่ว่าท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าบางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้จริงๆ ไม่อย่างนั้นตระกูลอ๋าวคงพลิกฟ้าไปนานแล้ว จะยังอ่อนแอถึงเพียงนี้หรือ?”
ทางเหวินหนิงขมวดคิ้ว น้ำเสียงขรึมต่ำ “แต่เื่นี้เป็คนผู้นั้นที่บอก จะเป็เื่โกหกไปได้อย่างไร? ลงมือกับตระกูลอ๋าวที่บริสุทธิ์ไร้พิษสงแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา?”
ตอนนี้แม้แต่ทางเฉิงโย้วเองก็มีสีหน้าหนักอึ้งแล้ว
คนทั้งสองนิ่งเงียบไปนาน ทางเฉิงโย้วก็พูดอีกว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านพ่อ เื่ตระกูลจิ่งนี้ พวกเราจะจัดการกันเองหรือว่าต้องรายงานขึ้นไป?”
มือของทางเหวินหนิงวางอยู่บนพนักแขนของเก้าอี้ เคาะไปมาอยู่นานจึงพูดว่า “เ้ารออยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง ข้าจะเข้าไปสักหน่อย”
ทางเฉิงโย้วพยักหน้า
——
ตอนที่ทางเฉิงโย้วกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองก็เป็เวลาดึกดื่นแล้ว ในห้องนอนจุดเทียนไว้สองสามเล่ม เปลวไฟสั่นไหวบ้างเล็กน้อย ยังมีชายหนุ่มชุดสีฟ้าเดินตามหลังเขามาอีกผู้หนึ่ง เขาทั้งรูปร่างสูง สัดส่วนสมบูรณ์แบบ สวมหมวกมีผ้าคลุมบดบังไปครึ่งหน้า จึงมองเห็นเพียงคางที่เกลี้ยงเกลาและริมฝีปากรูปทรงงดงามที่เม้มเข้าหากันน้อยๆ คาดว่าคงจะเป็ชายหนุ่มรูปงามที่หาได้ยากยิ่ง
ทางเฉิงโย้วกำชับกับพ่อบ้านที่เฝ้าอยู่ที่ห้องนี้ตลอดเวลาว่า “จัดรถม้าให้ไปส่งคุณชายเต๋อรั่วที่ตระกูลสวีที”
พ่อบ้านก้มหน้าก้มตารับไปคำหนึ่งว่า ‘ขอรับ’ แล้วค้อมเอว นำทางชายผู้นั้นออกไป ส่วนคนผู้นั้น...ั้แ่ต้นจนจบก็ยังไม่พูดออกมาสักคำเดียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้