“เหตุใดข้าต้องโขกศีรษะด้วย? ราชสำนักมีกฎ เมื่อพบขุนนางถึงค่อยคุกเข่า เ้านั้นหนึ่งมิใช่ขุนนาง สองมิใช่บิดามารดาข้า เหตุใดข้าต้องคุกเข่าให้เ้าด้วย หากดูจากชื่อเสียงและผลงานแล้ว พี่ชายคนที่สามของข้าเป็ซิ่วไฉ อีกไม่นานก็จะร่วมเข้าสอบเป็จวี่เหริน ส่วนคุณชายตู้นั้นเกรงว่าคงสอบไม่ผ่านระดับอำเภอด้วยซ้ำกระมัง? ว่ากันตามจริงแล้วควรเป็ท่านที่คุกเข่าให้ข้ามากกว่า”
“สามหาว” ั้แ่เด็กตู้ไฉเกาก็เรียนหนังสือไม่ได้เื่ ไม่รู้ว่าถูกคนด่าลับหลังมากมายเพียงใด แน่นอนว่าย่อมเกลียดที่สุดเวลามีคนพูดว่าเขาเรียนหนังสือไม่ได้ความ ยามนี้ถูกเสี่ยวหมี่จี้จุด จึงไม่อาจเสแสร้งแสดงท่าทีเป็คุณชายสูงศักดิ์ได้อีก เขากระทืบเท้าด่าว่า “นังชั้นต่ำน้อยนี่ เ้ากล้าสั่งให้ข้าคุกเข่า วันนี้หากไม่ซ้อมพวกเ้าปางตาย ข้า...ข้าจะเปลี่ยนไปใช้แซ่เ้าเสียเลย”
“ไม่ต้องหรอก คนสกุลลู่เราล้วนเป็คนรู้ความและมีมารยาท ไม่้าลูกหลานสันดานเช่นเ้า”
เสี่ยวหมี่ไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย “พวกเรามาพูดกันตรงๆ ดีกว่า คุณชายตู้สอดเท้าเข้ามาแทรก แย่งูเาที่เราจ่ายเงินมัดจำไปแล้วไปเป็ของตนเอง ที่จริงแล้วมีความ้าใดกันแน่? ไม่สู้พูดออกมาให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายกันให้มาก”
“ดี ดีมาก” คุณชายตู้กวาดตามองทุกคน หัวเราะเยาะกล่าวว่า “ต่างก็กล่าวกันว่าคนในหมู่บ้านเขาหมีเป็พวกคนเถื่อน ไม่คิดว่าพวกคนเถื่อนยังต้องให้แม่นางน้อยคนหนึ่งมาเป็หัวหน้า ช่างน่าขายหน้าจริงๆ”
“ไม่ต้องพูดมากไร้สาระ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ฟังเสี่ยวหมี่ เ้ารีบพูดมา ถ้าไม่พูดก็ไสหัวไป”
เจียงสือโถ่วที่ยืนอยู่ด้านหลังนายท่านเฝิงยามปกติเป็คนพูดน้อย ยามนี้กลับเป็คนแรกที่เอ่ยปากออกมา คนอื่นๆ ในหมู่บ้านเองก็ไม่มีสีหน้าอับอายแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้ตู้ไฉเการู้สึกหงุดหงิดเป็อย่างยิ่ง เขาอุตส่าห์เอ่ยวาจายุยงไปเช่นนั้นแต่กลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
“ดี ดีมาก นับว่าพวกเ้าแน่มาก ข้าได้ยินมาว่าหุบเขาหมีเป็ขุมสมบัติ จึงคิดจะซื้อเอาไว้เลี้ยงหมู แต่ดูท่าทางดุร้ายของพวกเ้าแล้วตัวข้าเองก็ให้รู้สึกรังเกียจยิ่งนัก หากว่าพวกเ้าให้ราคาที่เหมาะสม ข้าจะขายโฉนดนี่ให้พวกเ้าก็ได้”
“บอกราคามาเถอะ”
เสี่ยวหมี่ยังคงเอ่ยประโยคเดิมอย่างไม่สะทกสะท้าน
ตู้ไฉเการาวกับต่อยหมัดไปบนกองฝ้ายก็ไม่ปาน รู้สึกหงุดหงิดจนต้องสะบัดแส้ไปมา คิดไม่ถึงว่าแส้นั้นจะไปโดนตัวม้าจนมันยกขาหน้าขึ้น เกือบทำเขาร่วงลงไป
เด็กรับใช้ข้างๆ รีบเข้ามาช่วยทันที พยายามอยู่นานกว่าจะทำให้ม้าสงบลงได้ คุณชายตู้รู้สึกเสียหน้ายิ่งนัก อีกทั้งยามนี้ยังอยู่ต่อหน้าพวกพรานชั้นต่ำอีก
เขาจึงเอ่ยออกไปด้วยความโกรธ “หมื่นตำลึง ให้ข้าหมื่นตำลึงแล้วโฉนดที่ดินหมู่บ้านเขาหมีจะเป็ของพวกเ้า”
ทุกคนในหมู่บ้านเขาหมีได้ยินแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก ต่อให้บางครั้งพวกเขาจะโชคดีล่าหนังสัตว์ชั้นเยี่ยมกลับมาได้ แต่มากที่สุดก็ขายได้แค่ยี่สิบตำลึงไม่เกินนี้ เงินหมื่นตำลึงต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะสะสมได้กัน?
ห้าร้อยปีกระมัง!
เขามันราชสีห์ปากกว้าง [1] รังแกกันเกินไปแล้ว
เสี่ยวหมี่เองก็หลุดหัวเราะเสียงเ็าออกมา ูเาราคาสองร้อยตำลึง แต่เมื่อจะเปลี่ยนจากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่งกลับต้องใช้เงินถึงหมื่นตำลึง คนผู้นี้หากไม่ใช่เพราะยากจนมากจนสมองมีปัญหา ก็คงจะถูกลาเตะศีรษะมาก่อนเป็แน่
กับดักที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ นางไม่มีวันะโลงไป ยามนี้ยังไม่ต้องรีบซื้อูเาสองลูกนี้ก็ได้ รอเวลาไปก่อนค่อยคิดหาวิธีใหม่
“หนึ่งหมื่นตำลึง พวกเราไม่มีทางซื้อได้แน่นอน”
เสี่ยวหมี่โบกมือแล้วหันไปบอกทุกคน “เปิดประตู ให้คุณชายตู้เข้าไป”
“อะไรนะ? เสี่ยวหมี่ไม่ได้เด็ดขาดนะ”
คนในหมู่บ้านเริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเขาหมีมาั้แ่สมัยบรรพบุรุษ จู่ๆ จะยอมให้ที่ดินของตนเองตกไปอยู่ในมือผู้อื่นได้อย่างไร พวกเขายอมตายดีกว่ายอมถูกรังแก
“ท่านลุงท่านอาทั้งหลายวางใจ” เสี่ยวหมี่หยิบโฉนดที่ดินสองฉบับออกมาจากอกเสื้อ “เมื่อกาลก่อนตอนที่ท่านปู่มาลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านเขาหมีแห่งนี้ ท่านได้ไปจัดการนำโฉนดที่ดินมาไว้ในแล้ว พื้นที่นาสามสิบหมู่ที่ตีนเขา และพื้นที่บนเขาที่มีรัศมีสามลี้จากตัวเรือนของสกุลลู่ออกไปนั้นล้วนเป็เขตแดนของสกุลลู่ ต่อให้คนนอกจะเสียเงินเป็แสนตำลึงซื้อูเาไป ก็ได้แคู่เาเตี้ยๆ ที่ขนาบสองข้างเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์มาขับไล่พวกเราออกไปจากบ้านของเรา”
“เช่นนั้นหรือ...เช่นนั้นก็ดีมากเลย” ทุกครอบครัวบนเขาหมี บรรพบุรุษของพวกเขาล้วนเป็นายพราน ั้แ่มาลงหลักปักฐานตามท่านปู่สกุลลู่เป็ต้นมานั้น พูดตามจริงแล้วแค่จะกินให้อิ่มนอนให้อุ่นยังยาก บ้านที่พวกเขาพักอาศัยก็ทำจากไม้ ไม่มีความคิดจะซื้อขายหรือโยกย้ายแต่อย่างใด จึงไม่มีใครคิดไกลไปถึงการทำโฉนดที่ดินซึ่งมีแต่พวกคนมีอันจะกินเท่านั้นที่คิดทำกัน
คิดไม่ถึง วันนี้เกิดเหตุการณ์ที่มีคนคิดจะขึ้นเขามาไล่ที่พวกเขา ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าที่แท้ท่านปู่ลู่ก็มองการณ์ไกลถึงเพียงนี้ เขาปกป้องคนในหมู่บ้านเขาหมีเอาไว้!
ทุกคนจะไม่รู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไร พากันเอ่ยปากว่า “วันพรุ่งนี้พวกเราจะไปโขกศีรษะจุดธูปต่อหน้าท่านปู่ลู่ ขอบคุณที่ท่านมองการณ์ไกลช่วยปกป้องเราไว้
“ใช่แล้ว”
เมื่อคืนนี้จู่ๆ ตู้ไฉเกาก็เกิดประกายความคิดชั่วร้ายขึ้นมาในหัว คิดวิธีนี้ออกมา กลับไม่รู้เลยว่า ที่แท้เงินสองร้อยตำลึงที่เขาเสียไปเพื่อซื้อเขาหมีนั้น ไม่ได้รวมส่วนยอดเขาหมีซึ่งเป็ที่ตั้งหมู่บ้านเขาหมีไปด้วย
เขาหงุดหงิดะโเรียกคนของทางการที่ติดตามมาด้วย เมื่อได้ยินคนผู้นั้นอธิบายอย่างระมัดระวังว่าโฉนดนี้ได้แคู่เาเตี้ยๆ ที่ขนาบสองข้างหมู่บ้านเขาหมีจริงๆ เขาก็ยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม
“ข้าไม่สน ข้าจะดูสิว่าใครจะกล้ามารุกล้ำพื้นที่ของข้า วันหน้าหากไม่ได้รับอนุญาต ต่อให้เป็แค่กิ่งไม้กิ่งเดียว หรือกระต่ายตัวเดียวก็ห้ามใครเอาไปทั้งนั้น!”
เสี่ยวหมี่ราวกับไม่ได้ยินก็ไม่ปาน นางเดินผ่านประตูไม้ที่ถูกเปิดออกเข้าไป พวกชาวบ้านก็เดินตามหลังนาง ตรงไปยังเพิงทำอาหาร
พวกท่านป้าหลิวกำลังร้อนใจมาก เมื่อเห็นพวกเสี่ยวหมี่มาแล้วจึงรีบวิ่งไปต้อนรับ
“เสี่ยวหมี่ จะทำอย่างไรดี บ้านสองหลังกับเพิงนี่จะต้องรื้อทิ้งหรือเปล่า ยังมีบ่อน้ำ คูน้ำ...”
ทุกคนเองก็มองมาเช่นกัน สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล ถึงแม้บ้านพักและคูน้ำจะเป็ของสกุลลู่ทั้งหมด แต่พวกเขาก็ทำมันขึ้นมากับมือ วันนี้หากจะให้รื้อถอนก็เท่ากับควักหัวใจพวกเขาออกมาย่ำยี พวกเขาทำใจไม่ได้
แต่เสี่ยวหมี่กลับยิ้มเอ่ยว่า “เหตุใดต้องรื้อด้วย? แรกเริ่มข้าเองก็กังวลว่าจะมีคนคิดไม่ซื่อเช่นนี้ ดังนั้นบ้านพัก บ่อน้ำ คูน้ำพวกนี้ล้วนถูกสร้างขึ้นบนที่ดินของเราั้แ่แรกแล้ว”
“จริงหรือ ดียิ่งนัก”
คราวนี้ไม่เพียงแค่ชาวหมู่บ้านเขาหมี แม้แต่สกุลจงและพวกช่างฝีมือที่มาสร้างเรือนพวกนั้นก็พากันแสดงความยินดีออกมาด้วย
เสี่ยวหมี่หันกลับไปกวาดสายตามองตู้ไฉเกาที่ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ตามเข้ามาด้วยสายตาเ็า
“นายท่านเฝิง ต้องลำบากท่านแบ่งหน้าที่ให้ทุกคนผลัดกันยืนเฝ้ายาม ไม่ว่าเช้าหรือค่ำก็ต้องผลัดเวรกันปกป้องที่ดินของเราเอาไว้ ธนูล่าสัตว์และมีดพร้าล้วนนำออกมา พวกเราจะไม่รุกล้ำพื้นที่ผู้อื่นแม้เพียงนิด แต่ก็จะไม่ยอมให้ใครก้าวเท้าเข้ามาในที่ของเราเช่นกัน โดยเฉพาะบนยอดเขาที่หมู่บ้านของเรา จะให้ใครก้าวเท้าเข้าไปไม่ได้เป็อันขาด ต่อให้จะต้องลงไม้ลงมือก็ไม่หวั่น พวกเราสกุลลู่จะรับผิดชอบเอง”
“ได้ เสี่ยวหมี่เ้าวางใจ บุรุษในหมู่บ้านเขาหมีเราเคยสังหารหมีตีเสือกันมานักต่อนักแล้ว คนพวกนี้ในสายตาพวกเราแล้วเทียบไก่ป่ายังไม่ได้ด้วยซ้ำ ใครกล้ามารังแกพวกเรา เราก็ไม่มีทางปล่อยไว้แน่”
บุรุษทั้งหลายในหมู่บ้านเขาหมีต่างส่งเสียงร้องออกมาอย่างฮึกเหิม เดิมทีตอนที่รู้ว่ามีคนนอกบุกเข้ามา พวกเขาก็พกอาวุธออกจากบ้านมาด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่เพราะนายท่านเฝิงปรามเอาไว้พวกเขาจึงแอบซ่อนมันไว้
ยามนี้ไม่มีความจำเป็ต้องแอบไว้อีกต่อไปจึงเอาออกมาอย่างเปิดเผย
คันธนูของนายพรานทอประกายสีแดงก่ำไม่รู้ว่าอาบเืสัตว์ป่าดุร้ายมาแล้วเท่าไร มีดขวานคมกริบที่ฟันไม้ทั้งต้นให้ล้มได้อย่างง่ายดาย หากว่านำไปตัดแขนตัดขาคน คาดว่าเืคงพุ่งถึงสามฉื่อทันทีที่ลงมีด
เห็นภาพบุรุษกำยำกลุ่มใหญ่ถือธนู ถือมีดขวานด้วยท่าทางดุร้ายเช่นนี้ เป็ใครก็คงอดหวั่นใจไม่ได้
ทั้งตู้ไฉเกาและพวกคนที่ตามหลังเขามาพากันถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
ตู้ไฉเกาะโลงจากหลังม้าด้วยความหงุดหงิด เขารู้แล้วว่าวันนี้คงไม่ได้เื่อะไร จึงเตะหินก้อนหนึ่งที่ปลายเท้าเพื่อระบายอารมณ์ กลายเป็ว่าชาวบ้านคนหนึ่งขึ้นคันศรทันที
เขารีบถอยกรูด จากนั้นก็ะโด่าหยาบคาย แต่ชาวบ้านคนนั้นไม่สนใจเขายังคงเล็งศรมาทางนี้ เพียงแต่ยังไม่ปล่อยให้มันหลุดออกจากแล่งธนู
พวกคนของทางการรู้สึกเสียหน้าเป็อย่างยิ่ง พวกเขากลัวว่าจะล่วงเกินท่านที่ปรึกษาเข้า จึงได้ตามมาแสร้งทำเป็ลูกน้องมาคุ้มกัน ใครจะคิดว่านายพรานพวกนี้จะดุร้ายไม่เกรงกลัวพวกเขา ทำให้ตอนนี้พวกเขาจึงต้องเผชิญกับอันตรายถึงชีวิตอยู่
พวกเขาหันไปสบตากันต่างก็เห็นตรงกันว่าควรถอยก่อน จึงขึ้นหน้าไปโน้มน้าวกล่าวว่า “คุณชายตู้ พวกบ้านพักและที่นาพวกนี้ล้วนตั้งอยู่บนที่ดินของผู้อื่นจริงๆ ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้ อย่างน้อยวันนี้ก็ได้มาเห็นแล้ว พวกนายพรานเหล่านี้คงไม่กล้ารุกล้ำที่ดินของเรา อย่างไรพวกเรากลับไปก่อน ให้พวกอาลักษณ์ลองสืบหาบันทึกเก่าๆ ดู ไม่แน่ว่าโฉนดที่ดินของคนพวกนี้อาจเป็ของปลอมก็ได้”
ตู้ไฉเกาเป็คนโง่ แต่บันไดที่กำลังทอดให้เขาได้มีทางลงงามๆ เช่นนี้เขาก็ยังมองออก เขาจึงเรียกให้คนรับใช้สองคนคอยเฝ้าที่นี่เอาไว้ ส่วนตัวเองนำคนกลับไป
คนหมู่บ้านเขาหมีเห็นเช่นนี้ก็กลับไปทำงานเช่นเดิม ยกเว้นคนที่รับหน้าที่ลาดตระเวน คนที่มีหน้าที่สร้างบ้านก็ไปสร้างบ้าน มีหน้าที่ขุดคูก็ไปขุดคู
ทุกอย่างคล้ายว่าจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง แต่เป็ความเงียบสงบที่น่าหวาดระแวง
เสี่ยวหมี่เองก็ร้อนใจไม่น้อย แต่ยามนี้นางเป็หัวใจหลักของทุกคน จะแสดงความกังวลออกมาทางสีหน้าไม่ได้
ท่านป้าหลิวที่อยู่ในเพิงทำอาหารเยี่ยมหน้าออกมาถามว่า “เสี่ยวหมี่ เที่ยงแล้วนะ อยู่กินข้าวด้วยกันหรือไม่?”
“ได้สิเ้าคะท่านป้า กับข้าวหอมยิ่งนัก ท่านตักให้ข้าสักถ้วย ข้าจะเอากลับไปกินที่บ้านเ้าค่ะ” เสี่ยวหมี่ยิ้มรับ จากนั้นก็เอ่ยเสริมว่า “ไม่กี่วันก่อนพี่ชายข้าเข้าเมืองไปซื้อเนื้อติดมันสิบกว่าจินมาไม่ใช่หรือ? ท่านก็ไม่ต้องเสียดาย วันพรุ่งนี้ก็เอาออกมาจากโหลหมักเกลือ ทำซาลาเปาให้ทุกคนกินเถิดเ้าค่ะ”
“แหม เด็กคนนี้ ไม่รู้จักใช้ชีวิตจริงๆ กินซาลาเปาอะไรกันเล่า ถ้าเอามาตุ๋นกับผักยังทำกินได้เป็ครึ่งเดือนเชียวนา”
ท่านป้าหลิวแสนเสียดายแต่เสี่ยวหมี่กลับไม่สนใจ “ทุกคนเหนื่อยกันมากแล้ว ต้องได้กินของดีๆ ไม่เช่นนั้นพวกท่านลุงท่านอาก็คงหมดเรี่ยวหมดแรงกันไปก่อน พวกคนชั่วจะต้องมากันอีกแน่นอน พวกเราจำเป็ต้องสะสมแรงเอาไว้จัดการกับพวกมันนะเ้าคะ”
ทุกคนพากันยิ้มออกมา “พูดถูกแล้ว ต้องกินให้อิ่มก่อนค่อยทะเลาะวิวาท”
ได้หยอกล้อกันเช่นนี้ทุกคนก็ผ่อนคลายลงมาก เพียงไม่นานกลิ่นหอมก็โชยออกมาจากเพิงทำกับข้าว
คนรับใช้สองคนของตู้ไฉเกาที่ถูกทิ้งไว้ นั่งยองๆ ใต้ต้นไม้พลางลูบท้องตนเองไปด้วย
แค่ทนหิวพวกเขาพอทนได้ แต่ที่พวกเขากลัวคือเกิดพวกคนเถื่อนเหล่านี้ไม่พอใจอะไรขึ้นมาแล้วฆ่าพวกเขาเอาเนื้อไปตุ๋นกิน ถึงตอนนั้นค่อยปล่อยข่าวออกไปว่าพวกเขาถูกสัตว์ป่าจับกินจะทำอย่างไร เกรงว่าคงไม่มีใครติดใจสงสัยคิดจะสืบสาวราวเื่แต่อย่างใด
เสี่ยวหมี่เห็นสภาพของคนทั้งสอง ครู่หนึ่งนางก็เรียกเสี่ยวเตาไปหา นางเอ่ยเสียงเบากับเขาสองสามประโยค เสี่ยวเตายิ้มร่าเริงรับคำ จากนั้นเสี่ยวหมี่จึงถือชามเนื้อตุ๋นและตะกร้าใส่แป้งทอดกลับบ้านไป
สุดท้ายเดินไปยังไม่ทันถึงบ้าน ก็เห็นบิดาลู่ที่รีบร้อนวิ่งลงมาจากยอดเขา
“เสี่ยวหมี่ พ่อได้ยินว่ามีคนมาก่อความวุ่นวายหรือ?”
เสี่ยวหมี่อยากจะถอนหายใจยาวจริงๆ ไม่ใช่ว่านางเป็คนจุกจิกอะไร แต่พ่อลูกสกุลลู่นี่ช่างพึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ ผู้อื่นบุกมาจะถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว แต่ตัวเองผ่านไปชั่วยามหนึ่งถึงเพิ่งจะโผล่ออกมา...
เชิงอรรถ
[1] ราชสีห์ปากกว้าง(狮子大开口)เรียกราคาหรือตั้งมาตรฐานคุณภาพสินค้าไว้สูงเกินปกติ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้