ขอเพียงไม่ก้าวก่ายชีวิตของกันและกันก็เพียงพอแล้ว……
ฉู่ลี่ฟังประโยคนี้ถึงกับแสยะยิ้ม “เ้าไม่อยากให้เปิ่นหวงจื่อก้าวก่ายในชีวิตใช่หรือไม่?”
มู่อวิ๋นจิ่นนิ่งเงียบไม่ตอบ ตอนนี้นางยังมิอาจตอบว่า “ไม่อยาก” ด้วยยังอยู่ในสถานะพระชายาหก รวมถึงอยู่ในความปกป้องของฉู่ลี่อยู่
“มีคนกำลังรอเ้าอยู่ อย่าให้นางรอนาน” มู่อวิ๋นจิ่นกวาดสายตาไปที่รถม้าที่หยุดนิ่ง
เมื่อเห็นมู่อวิ๋นจิ่นพยายามเปลี่ยนเื่คุย ฉู่ลี่กลับยิ้มมุมปาก เอ่ยเสียงเรียบ “กลับไปรอเปิ่นหวงจื่อที่จวนก่อน”
สิ้นเสียงฉู่ลี่ะโขึ้นรถม้าไป ติงเซี่ยนที่ยืนด้านล่างได้แต่ส่ายหน้า และทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่นก่อนเดินทาง
พอรถม้าเดินทางไปแล้ว มู่อวิ๋นจิ่นกลับรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างบอกไม่ถูก
“คุณหนู คุณหนูผู้นี้หน้าไร้ยางอาย รู้ทั้งรู้องค์ชายหกแต่งกับคุณหนูแล้ว ยังมาตามพัวพันอยู่อีก……” จื่อเซียงไม่ทันพูดจบ มู่อวิ๋นจิ่นกลับยกมือขึ้นปิดปากนาง
“ไม่อยากมีชีวิตหรือยังไง? นางเป็ถึงรองผู้บัญชาการ แค่กระดิกนิ้วก็มีคนเข้าแถวรอสังหารเ้าแทนนางเพียบ!”
“คุณหนู……” จื่อเซียงกะพริบตาปริบๆ ด้วยท่าทางน่าสงสาร
มู่อวิ๋นจิ่นหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขึ้นกอดอก ก่อนเปรยขึ้นว่า “ทำไมข้ายิ่งใช้ชีวิต ยิ่งขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้!”
……
มู่อวิ๋นจิ่นเดินทางกลับถึงจวนองค์ชายหกแล้ว นางได้เอนตัวลงบนเตียงอันอ่อนนุ่ม ในหัวปรากฏภาพที่เห็นฉู่ลี่กับคุณหนูฉินอยู่ด้วยกัน
พูดได้ว่าพวกเขาสองคนอยู่ด้วยกัน ช่างเหมาะสมอย่างฟ้าเบื้องบนจัดสรรไว้
ระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นาน ข้อมือของนางกลับเจ็บแปลบขึ้นมาจนต้องขมวดคิ้ว ยื่นข้อมือขึ้นดู พบว่าลำแสงสีทองที่เปล่งออกมาจากข้อมือนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้ว
มู่อวิ๋นจิ่นรีบลุกขึ้นนั่ง จากนั้นมีลมพัดจนหน้าต่างปิดปั้งทุกบาน ด้านนอกมีแสงสีชมพูแวบขึ้น ฉีฉี่ปรากฏตัวอยู่บนที่นอนอันนุ่มของนางแทน
“นายหญิง ลำแสงเปล่งขึ้นมา นั่นแสดงว่าจะเกิดเื่ขึ้นแล้วขอรับ” ฉีฉี่มองข้อมือของมู่อวิ๋นจิ่น
ยังไม่ทันที่มู่อวิ๋นจิ่นเอ่ยปาก ฉีฉี่กลับเปล่งเสียงแหลมขึ้น เพราะลำแสงสีชมพูพวยพุ่งไปทางทิศใต้ “ที่นั่นเป็ทางไปวัดสุ่ยอวิ๋นนี่หน่า”
วัดสุ่ยอวิ๋น……
ฉู่ลี่กับฉินมู่เยว่กำลังเดินทางไปวัดสุ่ยอวิ๋นมิใช่หรอกหรือ?
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วทันใด รีบลุกไปสวมรองเท้า คว้ามือของฉีฉี่ “ตอนนี้พวกเราต้องรีบไปวัดสุ่ยอวิ๋น!”
“ใช่แล้วนายหญิง!”
ทั้งสองะโออกทางหน้าต่างปานสายลม ชั่วพริบตาเดียวมู่อวิ๋นจิ่นได้ใช้วิชาตัวเบาออกจากจวนองค์ชายหก โดยที่ไม่มีใครในจวนรู้ว่านางไปหาฉู่ลี่
อันที่จริงการเดินทางไปถึงวัดสุ่ยอวิ๋นต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าๆ แต่พอใช้วิชาตัวเบาสามารถช่วยประหยัดเวลามากถึงครึ่งชั่วยาม
ทั้งสองลอยตัวลงใต้ไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มู่อวิ๋นจิ่นถึงถอนหายใจพิงต้นไม้นั้น คว้าผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่แตกพล่าน
“อยู่ทางนั้นขอรับ” ฉีฉี่ชี้ไปทางที่เขาเห็น
มู่อวิ๋นจิ่นหรี่ตามองด้วยความสงสัย ที่นั่นเป็ทางไปห้องลับที่กักขังหรงเฟยมิใช่หรอกหรือ? ที่นั่นจะเกิดเื่ขึ้นหรือ? หรือว่าฉู่ลี่พาฉินมู่เยว่ไปที่นั่น?
มาถึงจุดนี้มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันหันมองฉีฉี่ แม้ภายในใจรู้ดีว่าหรงเฟยอยู่ในตำหนักหวงอวี่ ทว่าไม่น่าส่งผลต่อตำหนักหวงอวี่ นางจึงเอ่ยกับฉีฉี่ขึ้น “เ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ประเดี๋ยวข้ารีบไปรีบมา”
ถึงแม้ฉีฉี่อยากติดตามเข้าไปมากเท่าไหร่ แต่มู่อวิ๋นจิ่นกลับไม่อนุญาตให้เข้าจนต้องยืนนิ่ง ด้วยมิทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
หลังจากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นได้แวบตัวหายเข้าไปางห้องลับแห่งนั้น
……
12ผลักประตูห้องลับขึ้นมา พบกับความมืดมิดครอบคลุม แต่ด้วยมิอยากให้สองคนนั้นรู้ว่านางมา มู่อวิ๋นจิ่นจึงไม่จุดโคมไฟ เดินเข้ามาในทื่อมือหน่อย
พอเดินตรงเข้าไปคลำทางจนถึงค่ายกล มู่อวิ๋นจิ่นกลับไม่เห็นสิ่งใดในนั้น นอกเสียจากสีดำสนิท
หรือว่าฉู่ลี่ไม่ได้พาฉินมู่เยว่มาที่นี่?
ในระหว่างที่มู่อวิ๋นจิ่นกำลังเตรียมตัวกลับ ด้านนอกกลับมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นคิดว่าต้องเป็ฉู่ลี่แน่ ทว่ามองไปโดยรอบกลับไม่เห็นใคร และที่ซ่อนตัวก็ยังไม่มีอีก
ยิ่งได้ยินเสียงเท้าก้าวเดินมาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ มู่อวิ๋นจิ่นมองซ้ายขวาวิ่งเข้าไปในห้องะโขึ้นไปบนคานด้วยวิชาตัวเบา
จากนั้นมู่อวิ๋นจิ่นเห็นพระสองรูปเดินเข้ามาด้านใน พอพินิจจีวรที่ใส่พบว่าเป็พระที่มีตำแหน่งในวัดแห่งนี้
“ศิษย์พี่เหวินหย่วน เมื่อวานนี้ ข้าได้แอบฟังท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนคุยกับใครบางคน ถึงได้ทราบว่าคัมภีร์เฉวียนหลิงที่สาบสูญไปแล้วนั้น ถูกท่านอาจารย์คงซื่อนำมาซ่อนไว้ภายในนี้”
พระรูปหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นให้รูปที่มาด้วยกันฟัง
“ฮ่าๆๆ พอตั้งใจเสาะหาเอาเป็เอาตายไม่พบ แต่กลับมาเจอเมื่อปล่อยวางลงแล้ว ข้าอุตส่าห์หามาคัมภีร์เฉวียนหลิงมากว่ายี่สิบปี ในที่สุดได้สืบทราบจนได้ รอข้าฝึกวิชาเฉวียนหลิงสำเร็จ ย่อมเป็ผู้มีวรยุทธ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า”
“ใช่แล้วๆ หลายปีมานี้ คนที่ทราบเื่คัมภีร์เฉวียนหลิงต่างเสาะแสวงหาจนทั่ว ไม่มีใครคิดเลยว่าจะถูกท่านอาจารย์คงซื่อนำมาซ่อนที่นี่”
“เอาล่ะ ศิษย์น้องิหย่วนที่นี่อยู่นานมิได้ พวกเรารีบแยกย้ายกันหากันเถอะ”
มู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่บนคานได้ยินสิ่งที่พระสองรูปสนทนากัน พลันเกิดความสงสัยในคัมภีร์เฉวียนหลิงขึ้นมาอย่างมาก
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว วรยุทธ์ที่เขียนไว้ในคัมภีร์เฉวียนหลิงเล่มที่สูญหายไป ต้องมีพลังวิชาแก่กล้าเป็ที่สุด
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นจับจ้องไปทุกที่ที่พระสองรูปกำลังค้น จนมิรู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเพียงใด เสียงเคาะกำแพงอิฐดังขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นจึงเหลือบมองไป เห็นพระสองรูปกำลังใช้มือเคาะขึ้นเป็แนวตั้ง
มู่อวิ๋นจิ่นฟังจากััได้ถึงเสียงที่ก้องกังวานขึ้นมา จากนั้นด้านล่างมีเสียงอิฐแตกแยกจากกันดังขึ้น
“ด้านหลังของกำแพงอิฐว่างเปล่า” พระรูปที่เคาะเอ่ยขึ้นอย่างใ
มู่อวิ๋นจิ่นหันหน้ามองตามไป เห็นพระอีกรูปยื่นมือล้วงเข้าไปด้านใน จากนั้นหัวเราะอย่างดีใจสุดขีด “ฮ่าๆๆๆ หาเจอแล้ว!”
พระทั้งสองยิ้มออกมาอย่างดีใจ จากนั้นหยิบตะบันไฟที่อยู่ในเสื้อออกมาจุด แสงไฟสลัวค่อยๆ สว่างขึ้นในห้องอันมืดมิด
ด้วยแสงร่ำไรทำให้มู่อวิ๋นจิ่นเห็นหน้าปกเขียนชื่อไว้ว่า “คัมภีร์เฉวียนหลิง” ได้เลิกคิ้วขึ้นอย่างตระหนก มองดูพระสองรูปด้านล่างไม่น่าใช่พระดีอะไร หากคัมภีร์เล่มนี้ตกไปอยู่ในมือของพระทั้งสองรูป อาจสร้างภัยอันตรายไปทั่วได้
ด้วยเหตุนี้ สายตาของมู่อวิ๋นจิ่นจึงจับจ้องไปที่คัมภีร์เฉวียนหลิง
“ศิษย์พี่ รีบเปิดดูเร็วเข้า” พระศิษย์น้องด้านข้างเอ่ยอย่างใคร่รู้
ศิษย์พี่เหวินหย่วนพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นเอื้อมมือหมายเปิดคัมภีร์เฉวียนหลิงออก ทันใดนั้นมีแส้ล่องลอยจาก้า ตวัดมารัดคัมภีร์เฉวียนหลิงดึงจากมือหนีหายไปในบัดดล
เมื่อคัมภีร์เฉวียนหลิงมาอยู่ในมือมู่อวิ๋นจิ่น นางรีบใช้วิชาตัวเบาแวบหายไปในพริบตา
พระทั้งสองรูปไม่นึกว่าจะมีคนซ่อนตัวอยู่ในห้อง ได้แต่ะโอย่างใจร้อน “รีบไล่ตามไปเร็ว”
หลังจากนั้นพระทั้งสองรูปได้ใช้วิชาตัวเบา ไล่ตามมู่อวิ๋นจิ่นไปติดๆ
มู่อวิ๋นจิ่นมาที่ห้องลับหลายครั้ง แม้ภายในห้องลับมืดสนิทไปหมด ทว่าใช้ความจำที่เคยมาพอจะสามารถแยกแยะทางได้ ดังนั้นได้เพิ่มความเร็วของวิชาตัวเบาขึ้นเป็เท่าตัว
ศิษย์พี่เหวินหย่วนจ้องเขม็งด้วยความโกรธ รวมรวบพลังลมปราณส่งไปทางมู่อวิ๋นจิ่น
มู่อวิ๋นจิ่นััได้ถึงพลังลมปราณที่แข็งกล้าใกล้เข้ามา จึงรีบหลบตัวอย่างรวดเร็ว แต่ด้านหลังกลับมีพลังลมปราณถูกปล่อยมาต่อเนื่อง พอเหลือบมองดูเห็นศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่นี้ช่วยกันปล่อยพลังอย่างเต็มความสามารถ
ด้วยพระทั้งสองรูปฝึกวรยุทธ์ที่วัดสุ่ยอวิ๋นมานานหลายปี พอมีวิชาพลังแก้กล้าไม่น้อย
การที่เสาะหาคัมภีร์เฉวียนหลิงพบแล้วถูกฉกไปต่อหน้าต่อตา ความเดือดดาลพลันเพิ่มทวี จึงปล่อยพลังลมปราณอย่างสุดกำลัง เพื่อปลิดชีพคนที่ขโมยจากมือไป
มู่อวิ๋นจิ่นใช้พลังมิน้อยในการหลบหลีกลมปราณเ่าั้ จากตรงนี้กว่าจะถึงหน้าประตูวัดสุ่ยอวิ๋นยังอีกระยะหนึ่ง หากพระทั้งสองรูปยังปล่อยลมปราณเช่นนี้ ไม่แน่ว่านางอาจหนีไม่รอดเป็ได้
“ถ้าไม่อยากตาย จงรีบหยุดประเดี๋ยวนี้ ส่งคัมภีร์คืนมาจะไว้ชีวิตเ้า!” ศิษย์พี่เหวินหย่วนะโขึ้น พร้อมกับหยุดปล่อยพลังลมปราณ
เมื่อเห็นพลังลมปราณหยุดลง มู่อวิ๋นจิ่นกลับยิ้มมุมปากขึ้น หยุดพักลงที่พื้น หันหลังมองศิษย์พี่เหวินหย่วนและศิษย์น้องิหย่วน
พระทั้งสองรูปเพ็งพินิจดูออกว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็สตรี จึงะโถามขึ้น “เ้าเป็ใคร?”
มู่อวิ๋นจิ่นฉีกยิ้ม พลางเก็บคัมภีร์ซ่อนในอาภรณ์ ในมือตวัดแส้หางหงส์ออกไป พร้อมเอ่ยเสียงทรงพลัง “ข้าเหมือนกับพวกเ้านั่นแหละ ตามเสาะหาคัมภีร์เฉวียนหลิงมาโดยตลอด”
“เหอะ! ถ้าอยากมีชีวิตอยู่ละก็ ส่งคัมภีร์คืนมาโดยดีซะ! มิอย่างนั้นที่แห่งนี้จะกลายเป็ที่ฝังศพของเ้า!” ศิษย์พี่เหวินหย่วนตวาดเสียงใส่มู่อวิ๋นจิ่น
“อาจารย์เหวินหย่วน เ้าถือดีอะไรตัดสินว่าคนที่ตายที่นี่เป็ข้า?” มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วอย่างฉงน ด้วยไม่กลัวสิ่งที่เขาข่มขู่แม้แต่น้อย
“ศิษย์พี่ไม่ต้องเปลืองน้ำลายกับนางคนนี้ รีบฆ่านางเดี๋ยวนี้ นางรู้ฐานะของพวกเราก็อย่าคิดว่าวันนี้จะมีชีวิตกลับไปได้ หากนางนำเื่คัมภีร์เฉวียนหลิงไปป่าวประกาศ ถึงตอนนั้นพวกเราต้องลำบากยิ่งกว่านี้” ศิษย์น้องิหย่วนแนะนำ
ศิษย์พี่เหวินหย่วนหันมองหน้าศิษย์น้องิหย่วน พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่แนะนำ
พอเห็นทั้งสองจะใช้พลังลมปราณปลิดชีพ แววตาของมู่อวิ๋นจิ่นกลับเรืองแสง กำแส้หางหงส์ในมือไว้แแ่ ตวัดฟาดไปข้างหน้าอย่างสุดแรงเกิด……
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้