ครั้นถึงยามค่ำ เมื่อจางเจิ้นอันกลับถึงเรือน อันหรงเหอก็กลับไปแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์ยืนรออยู่หน้าประตู พอเห็นเงาเขาแต่ไกล นางก็รีบเอ่ยถามทันที
"ท่านไปพบท่านผู้ใหญ่บ้านมาแล้วหรือยังเ้าคะ?"
"ยัง" จางเจิ้นอันส่ายหน้าตอบ
"เช่นนั้นกินข้าวก่อนเถอะเ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เซ้าซี้ต่อ แต่พอกินข้าวเสร็จ นางก็เอาแต่ชำเลืองมองเขาถี่ๆ สายตาเต็มไปด้วยการเร่งเร้าให้เขาไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้านเสียที
เป็บุญมิใช่เคราะห์ เป็เคราะห์มิอาจหลีกพ้น จางเจิ้นอันตั้งใจจะยื้อเวลาต่อไปอีกสักสองสามวัน แต่ดูท่าอันซิ่วเอ๋อร์คงไม่ยอมให้เขาผัดผ่อนเป็แน่ เขาจึงตัดใจเลิกคิดยื้อเวลา เอ่ยบอกนางคำหนึ่งแล้วลุกขึ้นเตรียมไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน
"เดี๋ยวก่อนเ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์กลับเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว นางรีบลุกขึ้นหยิบตำราเล่มหนึ่งที่อันหรงเหอทิ้งไว้ ยัดใส่มือจางเจิ้นอัน พลางกำชับ "ถ้าท่านไปตัวเปล่า เกรงว่าท่านผู้ใหญ่บ้านจะดูแคลนเอาได้ ท่านเอาเล่มนี้ไปด้วย แสดงความสามารถให้เขาเห็นหน่อยนะเ้าคะ"
สุดท้ายนางยังส่งเสียงให้กำลังใจตามหลัง "ต้องทำให้สำเร็จนะเ้าคะ ห้ามพลาดเด็ดขาด ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน!"
จางเจิ้นอันก้มมองตำราในมือ แล้วเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง เห็นนางกะพริบตาถี่ๆ ส่งสายตาให้กำลังใจมาให้ จางเจิ้นอันยกมุมปากยิ้มบางๆ ให้นางครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินจากไป
นางคาดหวังถึงเพียงนี้ หากสุดท้ายเขาทำไม่สำเร็จ หวังว่านางคงไม่ผิดหวังจนเกินไป ตัวเขาเองไม่ได้อยากเป็อาจารย์อะไรนั่นเลยสักนิด เขารู้ดีว่าคนหยาบกระด้างอย่างตน ไม่เหมาะจะเป็ผู้สั่งสอนอบรมใคร เกรงว่าจะพาลูกหลานชาวบ้านเขาสอนผิดๆ ถูกๆ ไปเสียเปล่า
แต่ในเมื่อรับปากนางไว้ั้แ่กลางวันแล้วว่าจะไปหาผู้ใหญ่บ้าน เขาก็จำต้องไปตามสัญญาให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
พอไปถึง เคาะประตูเรียก ผู้ใหญ่บ้านดูประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเขามาหา พอนึกถึงเื่ที่เขาจัดการกับกู้หลินหลางวันนั้น ก็อดรู้สึกหวั่นๆ ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ พลางคิดในใจว่าตนเคยไปล่วงเกินอะไรเขาไว้หรือไม่ แต่สีหน้ายังคงต้องแย้มยิ้มเชื้อเชิญ
"อ้าว ท่านจาง มาถึงเรือนมีธุระอันใดให้ข้าช่วยหรือ?"
"ได้ยินว่าสำนักศึกษาประจำหมู่บ้านกำลังขาดอาจารย์ ข้าจึงมาเสนอตัว"
จางเจิ้นอันกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ส่วนคำพูดที่อันซิ่วเอ๋อร์กำชับให้แสดงความสามารถนั้น เขาโยนทิ้งไปหลังสมองเรียบร้อยแล้ว
"เสนอตัว?"
ผู้ใหญ่บ้านกวาดตามองจางเจิ้นอันั้แ่หัวจรดเท้า มองมุมไหนก็ไม่เห็นเค้าความเป็อาจารย์ผู้ทรงภูมิที่จะอบรมสั่งสอนใครได้ กลับรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่กลิ่นอายดุดันน่าเกรงขาม ถ้าบอกว่าเป็ครูฝึกวิทยายุทธ์ยังน่าเชื่อเสียกว่า
แต่เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคือจางเจิ้นอัน ผู้ใหญ่บ้านจึงไม่กล้าเสียมารยาท ได้แต่คร่ำครวญในใจไม่หยุด 'ตาคนนี้เป็อะไรไป จู่ๆ ถึงนึกอยากมาเป็อาจารย์ขึ้นมา?'
สีหน้าเปลี่ยนไปมาหลายตลบ ก่อนจะสะกดกลั้นความกลุ้มใจไว้ เปลี่ยนเป็แย้มยิ้มกว้าง
"นับเป็เื่ดีจริงๆ ขอรับ เื่ดีๆ เช่นนั้นเชิญข้างในก่อนดีหรือไม่ เข้าไปคุยรายละเอียดกัน"
ในหัวเริ่มคิดหาคำพูดบ่ายเบี่ยงไว้ล่วงหน้า แต่จางเจิ้นอันไม่มีอารมณ์จะเล่นละครกับเขา ไม่ได้ก้าวตามเข้าไป เพียงยืนอยู่ที่หน้าประตูแล้วถามห้วนๆ
"ตกลงหรือไม่ตกลง ว่ามา"
สมองของผู้ใหญ่บ้านหมุนเร็วจี๋ คิดจะหาทางผัดผ่อนไปก่อน บางทีอาจเป็แค่อารมณ์ชั่ววูบของอีกฝ่าย ผ่านไปสักสองสามวันก็คงเลิกคิดไปเอง แต่จางเจิ้นอันเพียงเหลือบมองเขาแวบเดียว แล้วหันหลังเดินจากไปทันที
"เอ่อ ประเดี๋ยวก่อน..."
ผู้ใหญ่บ้านคิดจะร้องเรียก แต่เพียงชั่วพริบตา ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายก็หายลับไปในความมืดแล้ว ผู้ใหญ่บ้านนึกถึงแววตาน่าสะพรึงกลัวคู่นั้นก่อนที่เขาจะจากไป ก็ได้แต่ยืนกลัดกลุ้มกระวนกระวายอยู่หน้าประตู
"เป็อะไรไปหรือ ท่านพี่?" ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นสามียืนถอนหายใจอยู่ในลานบ้าน จึงเดินเข้ามาถามด้วยความเป็ห่วง
"เฮ้อ..." ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจอีกเฮือก ก่อนจะระบายความกลุ้มใจให้ภรรยาฟัง
"เมื่อครู่จางเจิ้นอันมาหาข้า ไม่รู้ผีตนไหนเข้าสิง บอกว่าจะมาสมัครเป็อาจารย์ เ้าลองว่ามาสิ คนอย่างนั้นน่ะ ข้าจะวางใจให้ไปสอนเด็กๆ ได้อย่างไร? นี่มันเท่ากับทำลายชื่อเสียงสำนักศึกษาของพวกเราชัดๆ!"
"อ้อ เื่นี้นี่เอง"
ภรรยากลับยิ้มออกมา กล่าวว่า "ถ้าแค่เื่นี้ ท่านพี่ไม่ต้องกลุ้มใจไปหรอก เขาอยากเป็ก็ให้เขาเป็ไปสิเ้าคะ ในเมื่อตอนนี้เรายังหาอาจารย์ใหม่ไม่ได้อยู่แล้ว พวกท่านอาท่านลุงก็คุมเด็กแสบพวกนั้นไม่อยู่ ถ้ามีเขาอยู่ อย่างน้อยสำนักศึกษาก็คงสงบลงได้บ้าง อีกอย่าง ถ้าเขาไม่มีความรู้ความสามารถจริง บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองจะยอมหรือ? ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว ท่านก็ปล่อยให้เขาไปรับหน้าเองเถอะเ้าค่ะ..."
พอได้ฟังคำพูดของภรรยา ผู้ใหญ่บ้านก็ตาสว่างขึ้นมาทันที พอนึกถึงตอนที่ถูกบรรดาผู้ปกครองมารบเร้า เขาก็เผยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ออกมา
"แม่ยอดขมองอิ่มของข้า ช่างฉลาดหลักแหลมจริงๆ!"
"ข้าจะไปหาจางเจิ้นอันประเดี๋ยวนี้ บอกให้เขาไปสอนที่สำนักศึกษาพรุ่งนี้" ผู้ใหญ่บ้านกล่าวอย่างกระตือรือร้น
"ถึงตอนนั้นถ้ามีเื่อะไรขึ้นมา พวกผู้ปกครองก็จะได้ไปจัดการกับเขาเอง ไม่ต้องมาวุ่นวายกับข้าอีก!"
"อืม ไปเถอะเ้าค่ะ" ภรรยาพยักหน้า เดินเข้าไปหยิบไต้ในเรือนออกมา จุดไฟจากตะเกียงน้ำมันแล้วส่งให้สามี
"ท่านพี่ ตอนพูดเื่ค่าจ้าง อย่าไปบอกให้น้อยกว่าปกตินะเ้าคะ แค่บอกว่าต้องสอนให้ครบเดือนก่อนถึงจะจ่ายเงินก็พอ"
"วางใจเถอะน่า ถ้าเขามีความสามารถจริง ข้าก็ต้องขอบคุณเขาอยู่แล้ว แต่ถ้าทำไม่ได้ ยังไงก็อยู่ไม่ครบเดือนแน่ นึกว่าการสอนหนังสือมันใช้แค่หน้าตาถมึงทึงขู่คนได้รึไง?" ผู้ใหญ่บ้านแค่นเสียงหยัน รับไต้มาถือแล้วก้าวฝ่าความมืดออกไป
ณ บ้านริมน้ำตระกูลจาง อันซิ่วเอ๋อร์กำลังปลอบใจจางเจิ้นอัน หลังจากได้ฟังว่าผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตอบตกลง
"ท่านพี่อย่าเสียใจไปเลยนะเ้าคะ ที่ท่านผู้ใหญ่บ้านไม่ตอบตกลง ก็เพราะเขาตาไม่ถึง มองข้ามคนเก่งอย่างท่านไปเอง ในใจข้า ท่านพี่เก่งที่สุดอยู่แล้ว!" อันซิ่วเอ๋อร์ยกนิ้วโป้งให้กำลังใจ
"เ้ากำลังหลอกเด็กอยู่ล่ะสิ" จางเจิ้นอันยิ้มออกมา แต่ในใจยังรู้สึกผิดต่อนางอยู่บ้าง เขาคิดว่านางคงจะผิดหวัง แต่ใครจะรู้ว่านางกลับเป็ฝ่ายปลอบใจเขาก่อน แถมยังช่วยรักษาหน้าให้อีก
"ในใจทุกคนก็มีเด็กน้อยซ่อนอยู่ทั้งนั้นแหละน่า" อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นมือไปทำท่าเหมือนกรงเล็บปีศาจ หยิกแก้มเขาเบาๆ พลางกล่าวหยอก
"คนหน้าดุอย่างท่าน ไม่ค่อยมีใครกล้าเอ็นดู ข้าก็เลยต้องดูแลท่านเป็พิเศษ"
"ทำอะไรของเ้า? แก้มผู้ชาย ใช่ที่จะมาหยิกเล่นตามใจชอบได้รึ" สีหน้าจางเจิ้นอันเข้มขึ้น ปัดมือนางออก
"อุ๊ย ขอโทษเ้าค่ะ ข้านึกว่าเป็แก้มหรงเหอเสียอีก"
อันซิ่วเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก แม้ปากจะขอโทษ แต่แววตากลับไม่มีแววสำนึกผิดแม้แต่น้อย กลับมีประกายเ้าเล่ห์ฉายชัด
"เดี๋ยวนี้ชักจะกล้าล้อเลียนข้าแล้วรึ"
จางเจิ้นอันทำหน้าเข้มขึ้น แต่อันซิ่วเอ๋อร์ไม่กลัวสักนิด กลับยิ้มร่าเริงกว่าเดิมเสียอีก เขาจนปัญญาจริงๆ จึงยื่นมือไปหยิกแก้มเนียนนุ่มของนางคืนบ้าง
"โอ๊ย เจ็บนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วนิดๆ
จางเจิ้นอันรีบปล่อยมือ มองดูแล้วเห็นรอยแดงจางๆ ตรงที่เขาหยิกจริงๆ ด้วย เขารู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ พลางคิดในใจ 'ผู้หญิงนี่เหมือนทำมาจากน้ำจริงๆ แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้'
เขาใช้นิ้วหยาบกร้านของตนลูบไล้แก้มเนียนของนางเบาๆ ผิวหยาบๆ ของนิ้วทำให้แก้มของนางระคายเคืองนิดๆ นางจึงเบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อย พลางบอก
"ไม่เจ็บแล้วเ้าค่ะ"
จางเจิ้นอันเห็นนางเงยหน้ามองเขา ดวงตากลมโตเป็ประกาย โค้งเป็รูปจันทร์เสี้ยวเมื่อยิ้ม ช่างน่ารักน่ามองยิ่งนัก เขาก้มหน้าลง กดริมฝีปากจุมพิตเบาๆ ที่เปลือกตาของนาง ััอ่อนโยนและอบอุ่นทำให้อันซิ่วเอ๋อร์สะท้านไปทั้งตัว นางหลับตาพริ้ม รับรู้ถึงััอันอ่อนโยนแ่เบาของเขาที่ไล้ลงมา... ราวกับศิลปินกำลังบรรจงเช็ดถูเครื่องกระเบื้องล้ำค่าอย่างทะนุถนอม
หมู่เมฆเคลื่อนคล้อย บนท้องฟ้า ดวงจันทร์กระจ่างลอยเด่น สาดแสงนวลใยลงมาเป็ลำ ใต้ชายคาเรือน ร่างสองร่างที่โอบกอดกันดูอบอุ่นและงดงาม กลมกลืนไปกับค่ำคืนอันเงียบสงบ
ทว่า เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นกะทันหัน กลับทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบนั้นลง อันซิ่วเอ๋อร์ตัวแข็งทื่อ เงี่ยหูฟังเสียงจากด้านนอก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก "ก๊อกๆๆ"
ตามด้วยเสียงของผู้ใหญ่บ้านดังมาจากนอกประตู "ท่านจางอยู่หรือไม่ขอรับ?"
"เขามาหาท่าน รีบไปเปิดประตูเร็วเข้าเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ผลักอกจางเจิ้นอันเบาๆ
จางเจิ้นอันดูไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็ยอมลุกเดินไปยังประตูแต่โดยดี อันซิ่วเอ๋อร์รีบจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ แล้วมองตามไปยังประตูบ้าน
"ท่านผู้ใหญ่บ้าน มาถึงนี่มีธุระอันใดหรือ?" จางเจิ้นอันเปิดประตู ถามผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เ็า
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ยินก็รีบเดินตามมา เห็นผู้ใหญ่บ้านยืนอยู่หน้าประตูจริงๆ จึงดึงแขนเสื้อจางเจิ้นอันเบาๆ เป็เชิงเตือน แล้วแย้มยิ้มกล่าว "ท่านผู้ใหญ่บ้านนี่เอง เชิญข้างในก่อนเ้าค่ะ เชิญเข้ามานั่งพักก่อน"
"ถ้าเช่นนั้นก็ขอรบกวนหน่อยนะ"
เดิมทีผู้ใหญ่บ้านตั้งใจจะแค่บอกธุระแล้วรีบกลับ แต่พอเห็นท่าทีไม่ต้อนรับของจางเจิ้นอัน ก็พลันนึกอยากแกล้งยั่วโมโหขึ้นมา จึงเดินสวนอีกฝ่ายเข้ามาในบ้านหน้าตาเฉย
พอเห็นสีหน้าไม่พอใจของเ้าบ้าน เขาก็แอบสะใจอยู่ลึกๆ
"ไปสิเ้าคะท่านพี่ ท่านผู้ใหญ่บ้านอุตส่าห์มาหาถึงที่"
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นจางเจิ้นอันยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จึงดึงแขนเขาอีกครั้ง จางเจิ้นอันได้แต่มองนางอย่างจนใจ คนที่มาขัดจังหวะเื่ดีๆ ของเขาเมื่อครู่นี้ เขาไม่ไล่ออกไปก็บุญเท่าไหร่แล้ว ยังจะให้ฝืนยิ้มต้อนรับอีกรึ?
โชคดีที่ผู้ใหญ่บ้านผู้นี้ปกติก็เป็คนหน้าหนาอยู่แล้ว พอมาถึงบ้านตระกูลจาง ก็ทำตัวราวกับเป็บ้านตัวเอง เดินนำเข้าไปหาที่นั่งในห้องโถงเสียเอง
จางเจิ้นอันเห็นดังนั้นก็ได้แต่เดินตามไปนั่งเป็เพื่อน อันซิ่วเอ๋อร์รีบรินน้ำชาให้ทั้งสองคน พอเห็นไม่มีใครเริ่มพูด นางจึงต้องเป็ฝ่ายเอ่ยถามขึ้นเอง
"ไม่ทราบว่าท่านผู้ใหญ่บ้านมาหาท่านพี่ถึงที่นี่ มีธุระอันใดหรือเ้าคะ?"
"ข้ามาเื่สำนักศึกษานั่นแหละ" ผู้ใหญ่บ้านตอบ
"ก็เมื่อหัวค่ำ ท่านจางไปหาข้าที่บ้าน บอกว่าจะมาเป็อาจารย์ไม่ใช่รึ? ข้ากำลังจะตอบตกลงอยู่เชียว แต่ใครจะรู้ว่าเขาเดินกลับไปเร็วนัก นี่ข้าเลยต้องอุตส่าห์มาตามด้วยตัวเอง ให้เขาไปเริ่มสอนที่สำนักศึกษาพรุ่งนี้เลย"
"ท่านจาง พรุ่งนี้อย่าลืมไปแต่เช้านะขอรับ" ผู้ใหญ่บ้านฉีกยิ้มกว้าง แต่ดูอย่างไรก็แฝงแววเ้าเล่ห์ "พรุ่งนี้ข้าจะไปที่สำนักศึกษาด้วยตัวเอง จะแนะนำท่านให้เด็กๆ รู้จัก พวกนั้นพอรู้ว่าอาจารย์คนใหม่คือท่าน ต้องดีใจกันใหญ่แน่ๆ ขอรับ"
จางเจิ้นอันเม้มปากนิ่ง เขาน่ะหรือจะไปเป็อาจารย์? เด็กพวกนั้นเห็นหน้าเขาแล้วจะดีใจรึ? ฟังดูเหมือนเื่ตลกสิ้นดี
แต่ขณะที่เขากำลังงงๆ อยู่นั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ขยับเข้ามากระซิบกระซาบกำชับอะไรอีกสองสามคำ พอส่งผู้ใหญ่บ้านกลับไปแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พลางกล่าวว่า "ท่านพี่เก่งจริงๆ เลยเ้าค่ะ! ดูสิ ท่านผู้ใหญ่บ้านให้เกียรติท่านขนาดไหน ถึงกับต้องมาเชิญด้วยตัวเองเลยนะเ้าคะ ต่อไปข้าคงต้องเรียกท่านว่า ‘ท่านอาจารย์จาง’ แล้วสินะ ฮ่าๆๆ"
นางแกล้งดัดเสียงเลียนแบบ ตั้งใจจะให้จางเจิ้นอันขำ แต่ตัวเองกลับหลุดหัวเราะออกมาก่อน เห็นได้ชัดว่าดีใจมากจริงๆ
ก็แน่ล่ะ ในสังคมชนบทแบบนี้ อาชีพอาจารย์ย่อมดูมีหน้ามีตากว่าชาวประมง ทั้งยังเป็ที่นับหน้าถือตามากกว่าด้วย
พอนึกภาพจางเจิ้นอันยืนนำเด็กๆ กลุ่มหนึ่งอ่านหนังสือ นางก็ยิ่งอดขำไม่ได้ หัวเราะไม่ยอมหยุด
"มันน่าขำขนาดนั้นเชียวรึ?" จางเจิ้นอันหันไปมองหน้านาง
"ไม่ได้ขำเ้าค่ะ ข้าแค่ดีใจ" อันซิ่วเอ๋อร์พยายามหุบยิ้ม "ท่านไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเ้าคะ ข้าเชื่อว่าท่านต้องเป็อาจารย์ที่ดีได้แน่"
