ทหารขุ่นเคือง ราชสำนักสั่นคลอน ในสังคมเต็มไปด้วยข่าวลือต่างๆ นานา ไม่ว่าจะฟังเช่นไรก็รู้สึกว่า คล้ายจะเกิดความชุลมุนครั้งใหญ่ขึ้น
หลังจากเหล่าทหารร่วมมือกันร้องเรียนอัครมหาเสนาบดีจาง ชาวบ้านต่างพูดกันต่างๆ นานา ล้วนกล่าวว่าอัครมหาเสนาบดีจางรับสินบนและโกงเงินแผ่นดิน แม้กระทั่งตอนที่บ่าวรับใช้ในจวนอัครมหาเสนาบดีจางออกไปจ่ายตลาดก็ยังถูกชาวบ้านชักสีหน้าใส่
สำหรับเื่ที่เกิดขึ้น อัครมหาเสนาบดีจางหายเงียบไประยะหนึ่ง หลังจากนั้นตอนประชุมราชสำนัก จู่ๆ เขาก็เสนอให้เฉินกั๋วกงรับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ขุนนางมากมายล้วนไม่เข้าใจ ต่างพูดนินทาลับหลัง แต่พวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของอัครมหาเสนาบดีจางได้ เนื้อหาของฎีกาที่ยื่นในทุกวันล้วนเหมือนวันก่อนๆ
หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนพูดถึงเฉินกั๋วกง พูดถึงเื่ในอดีตของเขา
เฉินกั๋วกงคนนี้ชะตาอาภัพ ตระกูลของเขาทั้งห้าชั่วคนล้วนมีบุตรชายเพียงคนเดียว การมีทายาทของตระกูลนี้เป็เื่ยากเย็น แต่อย่างน้อยคนทุกรุ่นล้วนมีบุตรชายคอยสืบทอดไม่เคยขาด ทว่าตอนที่เฉินกั๋วกงเป็หนุ่มกลับดื้อรั้น ทั้งที่เกิดในตระกูลชนชั้นสูง คนในตระกูลล้วนเป็ขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่เขากลับดึงดันที่จะเข้าไปทำงานในกองทัพ ดึงดันจะเป็ทหาร ด้วยเหตุนี้จึงปิดบังคนในตระกูลแล้วหนีไปยังชายแดน
กว่าอดีตกั๋วกงท่านผู้เฒ่าเฉินจะทราบเื่ก็ผ่านไปนานแล้ว ท่านกั๋วกงที่เป็ทหารรักษาการณ์ชายแดนเริ่มประสบความสำเร็จ อาศัยความสามารถของตนจนได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ยอมกลับจวน
ท่านผู้เฒ่าเฉินถึงขั้นอ้อนวอนฮ่องเต้ แต่บรรดาทหารต่างยื่นฎีกาบอกว่าเฉินกั๋วกงมีพร์ด้านการสู้รบ เวลาครึ่งปีที่ผ่านมานี้แม้จะไม่มีศึกาใหญ่ แต่ยามสู้รบกับแคว้นเพื่อนบ้านล้วนเป็เพราะความคิดของเฉินกั๋วกงจึงทำให้เป็ฝ่ายได้เปรียบ
เวลานี้ ฮ่องเต้ก็ไม่อยากให้เฉินกั๋วกงกลับมาแล้ว ด้วยเหตุนี้เฉินกั๋วกงจึงอยู่ชายแดนนานถึงห้าปี ตอนเขากลับมา ร่างกายเสียหายอย่างหนักไม่อาจมีทายาทได้อีก เขาจึงมีเพียงบุตรีสองคนที่เกิดกับภรรยาก่อนที่เขาจะหนีออกจากจวนเท่านั้น ถือว่าเป็ทายาททางสายเืเพียงสองคนของเขา
หลังจากฮ่องเต้ทราบเื่ ไม่ได้มีทีท่าใดๆ แต่ต่อมาฮ่องเต้ก็ให้ความสำคัญกับเฉินกั๋วกงอย่างมาก
พวกคนที่จับกลุ่มพูดคุยกับซ่งอวี้ล้วนบอกว่าฮ่องเต้เป็คนดี เห็นเฉินกั๋วกงทำเพื่อชาติ ไม่คำนึกถึงสุขภาพร่างกายตนเอง จึงให้ความสำคัญกับเขา โปรดปรานเขา
แต่ซ่งอวี้กลับรู้สึกว่าการที่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเฉินกั๋วกง เหตุผลหลักน่าจะเป็เพราะเฉินกั๋วกงไม่อาจมีบุตรชายแล้วกระมัง ไม่ว่าตอนที่เฉินกั๋วกงมีชีวิตอยู่จะมีอำนาจเพียงใด หลังจากเขาสิ้นใจ ทุกอย่างล้วนคืนสู่ฮ่องเต้ ข้าราชบริพารเช่นนี้ฮ่องเต้ย่อมไว้เนื้อเชื่อใจ
ไม่รู้ว่าครั้งนี้อัครมหาเสนาบดีจางมีแผนการใด ถูกผู้คนร้องเรียนกลับไม่แก้ตัว แต่เสนอชื่อเฉินกั๋วกงแทน
ความจริงของราชสำนักเป็เื่ที่ค่อนข้างห่างไกลกับซ่งอวี้ ข้อมูลที่กล่าวมาล้วนเป็สิ่งที่นางเอาข้อมูลต่างๆ มาประสานเข้าด้วยกันกว่าจะทำความเข้าใจได้ ผู้อื่นเพียงมองว่านางสงสัยใคร่รู้เื่ของโลกภายนอก เล่าทุกอย่างที่ตนรู้ให้ซ่งอวี้ฟัง โดยไม่รู้เลยว่านางจะนำข้อมูลเหล่านี้มาสรุปใจความเพียงเพราะอยากจะรู้สถานการณ์ของโลกภายนอกล่วงหน้า
ยุคสมัยที่จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุดเป็ยุคที่ไม่เงียบสงบ ขอเพียงเป็คนมีความสามารถล้วนอยากจะบัลลังก์ันั้น คนเ่าั้พร้อมที่จะทำให้ทุกคนตกอยู่ในวังวนของาเพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น
แม้หลังจากซ่งอวี้ทราบเื่ที่เกิดขึ้น นางไม่อาจทำสิ่งใดได้ ยิ่งไม่อาจขัดขวางพวกคนที่มีความทะเยอทะยานคิดอยากจะแย่งชิงอำนาจ แต่นางสามารถเลือกที่จะเอาตัวรอดด้วยสติปัญญา หนีไปซ่อนตัวก่อนที่เปลวไฟแห่งาจะลุกลาม รอสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายค่อยกลับมา
แต่ตอนนี้เร็วเกินไปที่จะพูดเื่เหล่านี้ เวลานี้ซ่งอวี้เพียงคาดเดาเท่านั้น อำนาจในราชสำนักวันนี้ขัดแย้งกันไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้อาจจะคืนดีกันก็ได้
ซ่งอวี้ข่มความไม่สบายใจเอาไว้ แล้วเริ่มตั้งใจร่ำเรียน
เวลานี้นางอยู่ในขั้นพื้นฐานเท่านั้น ตำราที่อ่านล้วนเป็ตำราแพทย์พื้นฐาน แต่สิ่งที่ทำให้นางสนใจก็คือ แม้เนื้อความที่บันทึกในตำราแพทย์จะไม่ละเอียดและไม่ชัดเจน ทว่ามีทฤษฎีและสมมติฐานมากมายที่มีความหมาย ถึงขั้นที่ว่าบางสมมติฐานคล้ายคลึงกับสมมติฐานในโลกยุคปัจจุบัน
ซ่งอวี้ครุ่นคิด แล้วเขียนสมมติฐานเหล่านี้ลงไปในจดหมายที่จะส่งให้ท่านจ้าว ตั้งใจจะศึกษาและทำความเข้าใจกับท่านอาจารย์ของตน ไม่แน่ว่าอาจจะโชคดีค้นพบบางอย่างก็เป็ได้
มองลายมือบิดๆ เบี้ยวๆ บนกระดาษแล้ว ซ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ทำอย่างไรได้ เมื่อก่อนนางชินกับการใช้ปากกาเขียนหนังสือ หากใช้พู่กันแล้วสามารถเขียนได้สวยงามนั่นเป็การคดโกงแล้ว ทุกครั้งที่จับพู่กันข้อมือของนางล้วนสั่นเทาไม่อาจควบคุมได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ลายมือของนางจะสวยได้อย่างไร
จดหมายตอบกลับจากท่านจ้าว เริ่มต้นด้วยการบ่นถึงลายมือของนาง บอกว่าลายมือน่าเกลียด ใช้คำพูดของเขามาเปรียบเปรยก็คือ ‘จับไก่ตัวหนึ่งมาเขียนโดยใช้ปากจิกพู่กันยังเขียนได้สวยกว่าเ้า’
อืม พูดไม่ไว้หน้ากันแม้แต่น้อย นี่คือท่านอาจารย์ที่แท้จริง ทำการพิสูจน์แล้ว
ว่ากันว่าลายมือสื่อตัวตน ดูท่าต้องฝึกเขียนพู่กันอย่างจริงจังแล้ว
ยุคสมัยนี้ ไม่เพียงปัญญาชนเท่านั้นที่ต้องระมัดระวังเื่ความงดงามของลายมือ พวกเขาที่เป็หมอก็ต้องระมัดระวังเช่นเดียวกัน มิเช่นนั้นตอนเขียนตำรับยา ผู้อื่นเห็นลายมือของตน ไม่ว่าวิชาแพทย์ของตนจะดีหรือไม่ อาศัยเพียงลายมือก็ทำให้ผู้อื่นดูถูกตนแล้ว
หลังจากซ่งอวี้อ่านหนังสือประมาณสองชั่วโมง ลุงสือโถวก็มาเคาะประตูบ้าน "ซ่งอวี้ เ้าอยู่ที่เรือนหรือไม่?"
ซ่งอวี้วางตำราลง เดินไปเปิดประตู แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ข้าไม่อยู่เรือนแล้วจะอยู่ที่ใดได้เ้าคะ ไม่มีอะไรมากไปกว่าง่วนอยู่กับพวกสมุนไพร"
ลุงสือโถวได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจในใจ เขารู้เหตุผลที่นางไม่ออกจากเรือน แต่ไม่รู้ว่าควรจะเกลี้ยกล่อมนางอย่างไร ทำได้แค่ยิ้มแล้วเลี่ยงไปพูดเื่อื่น "พูดไปแล้ว เป็เพระเ้าทำให้หัวเข่าของข้าดีขึ้น มิเช่นนั้นคงปวดตลอดทั้งคืนถึงกับนอนไม่หลับ"
ซ่งอวี้จับชีพจรให้ลุงสือโถว มองหัวเข่าบวมแดงของเขาซึ่งลดลงไปมาก แล้วเอ่ยขึ้น "โรคเกาต์เป็โรคละเอียดอ่อน ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหัน ต้องเป็มานาน ดังนั้นจึงหายช้า ต้องค่อยๆ รักษา คอยขับความชื้นเป็ประจำ มิเช่นนั้นแม้จะหายดี ก็กำเริบขึ้นมาใหม่ได้"
"ลุงสือโถว หลังจากนี้ลุงมาทุกเจ็ดวันก็พอแล้ว ความชื้นในร่างกายหายไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากนี้ไม่ต้องรักษาติดๆ กันแล้ว ขอเพียงลุงทำตามที่ข้าบอก ต้องหายดีภายในครึ่งปีแน่นอน"
ซ่งอวี้ห่อยาของลุงสือโถวเสร็จ ยื่นให้เขา ทั้งยังยืนกรานหนักแน่นไม่ยอมรับเงิน
ลุงสือโถวเป็ผู้าุโได้ ย่อมเป็เพราะอุปนิสัยของเขาทำให้คนนับถือ สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ค่ารักษาแก่ซ่งอวี้ เป็เพราะลูกชายของเขาต้องจ่ายค่าครู เงินทองที่เก็บไว้จึงใช้ไปกับเื่นั้นจนหมด
แต่เวลานี้มีเงินแล้ว ความเ็ปของหัวเข่าก็ทุเลาลงมาก เขาจึงตั้งใจจะนำเงินค่ารักษาก่อนหน้านี้มาให้พร้อมกัน แต่ซ่งอวี้กลับไม่ยอมรับไว้ ถึงขั้นทำทีว่า 'หากลุงยืนกรานจะให้เงิน ข้าก็จะไม่รักษาแล้ว' จากนั้นก็ปิดประตูทันที ลุงสือโถวจึงทำได้เพียงยอมแพ้
ทว่าตำแหน่งของซ่งอวี้ที่อยู่ภายในใจลุงสือโถวสูงขึ้นกว่าเดิม ถึงขั้นสามารถเทียบกับเฉินซิ่วไฉได้ ถึงแม้ซ่งอวี้จะไม่ใช่ปัญญาชนแต่ก็เป็หมอช่วยชีวิตคน ในบางมุมแล้วนางสำคัญยิ่งกว่าเฉินซิ่วไฉเสียอีก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้