“ท่านพ่อ…” เมื่อติงเหว่ยได้ยินข้อเสนอที่โหดร้ายก็อยากตอบโต้กลับไป ทว่าพอคิดดูแล้ว อย่างไรก็ต้องเก็บเด็กเอาไว้ก่อน เื่หลังจากนี้นางค่อยๆ คิดหาวิธีเอาก็ได้
“ได้ ข้ารับปาก”
ผู้าุโติง้าจะพูดต่อ ทว่าแม่นางหวังที่ยืนอยู่ข้างๆ กลับร้อนรน นางหวังจะได้ทำงานในร้านต่อ ถึงเวลาก็สามารถเก็บเงินให้ครอบครัวเล็กๆ ของนางได้ หากวันนี้ท่านพ่อสามีตัดสินใจเช่นนี้แล้ว นางไม่เพียงไม่สามารถออกไปเจอคนภายนอกนานถึงครึ่งปี แต่ยังต้องเลี้ยงเด็กเพิ่มอีกหนึ่งคน นี่เป็เื่ที่ยากเกินจะยอมรับได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อ หากข้าอยู่เฉยๆ ที่บ้านแล้วร้านจะทำเช่นไร ท่านแม่กับพี่สะใภ้ก็คงทำไม่ไหว อีกอย่างหากข้าต้องดูแลเด็กถึงสองคนก็ค่อนข้างเกินกำลังพอสมควร…”
ผู้าุโติงปรายตามองไปยังลูกสะใภ้ใหญ่ที่ไม่กล้าพูดอะไร และยังมีลูกสะใภ้รองที่มีท่าทีไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน นับว่าเขาเองก็มีความลำบากใจอยู่ไม่น้อย การเป็หัวหน้าครอบครัวของครอบครัวหนึ่ง หากเขาใช้ฐานะพ่อสามี ลูกสะใภ้ก็คงไม่สามารถคัดค้านอะไรได้มากนัก แต่ถ้าลำเอียงมากเกินไป ท้ายที่สุดแล้วในอนาคตก็จะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ในครอบครัว ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินใจอย่างขอไปทีได้
ติงเหว่ยที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบพูดเพื่อแก้ต่างให้บิดาทันที “พี่สะใภ้รอง ท่านแม่และพี่สะใภ้ใหญ่ทำงานในร้านจนคุ้นเคยแล้ว พี่ไม่จำเป็ต้องเฝ้าอยู่ที่นั่นตลอดด้วยก็ได้ ไม่กี่วันมานี้ข้าได้ออกแบบเครื่องใช้ที่ทำจากไม้รูปแบบใหม่ หากพี่รองดูแล้วสามารถทำได้ พวกเราเก็บเงินกันอีกสักหน่อยแล้วเปิดร้านเครื่องใช้ในครัวที่ทำจากไม้ในเมืองอีกสักร้านก็ดีมิใช่น้อย เมื่อถึงเวลานั้นพี่สะใภ้ก็อยู่ช่วยพี่รองทำงานต่างๆ ที่บ้าน ส่วนข้าก็จะดูแลเด็กๆ ทั้งสองเอง”
นางรีบวิ่งไปที่ห้องฝั่งตะวันตกทันทีที่พูดจบ และหยิบเอาภาพที่นางวาดไว้ไม่กี่วันก่อนออกมาให้พี่รองรับไปดู เขากวาดตามองแค่ครู่เดียวก็ถูกดึงดูดทันที “นี่มันโต๊ะอะไรกัน ทำไมถึงมี 2 ชั้น? แล้วยังมีเก้าอี้ยาวตัวนี้อีก เหตุใดจึงมัดไว้กับเบาะรองหนาๆ กันล่ะ?”
ความจริงแล้วติงเหว่ยไม่รู้ว่าในยุคสมัยนี้มีโต๊ะหมุนได้หรือไม่ เมื่อได้ฟังพี่รองพูดเช่นนี้ก็แอบรู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง จากนั้นนางค่อยๆ อธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็พูดออกมาว่า “เหล่าผัวจื่อ [1] สอนข้าหลายอย่างในความฝัน นี่เป็เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น พี่รอง ท่านดูแล้วคิดว่าหากทำออกมาจะทำเงินได้หรือไม่?”
“เหล่าผัวจื่ออะไรกัน เ้าต้องเรียกว่าเหล่าเสินเซียน [2]!” พี่รองประกบมือทั้งสองข้างแล้วไหว้ไปทางเขาด้านทิศตะวันตก ดุน้องด้วยเสียงต่ำว่า “เ้าอย่าริอ่านดูิ่เหล่าเสินเซียน!”
เมื่อแม่นางหวังเห็นสามีของตนมีท่าท่างเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูใกล้ๆ ติงเหว่ยเห็นพวกเขาสองสามีภรรยาเป็แบบนี้ก็แอบยิ้มออกมา แล้วหันมาช่วยพยุงมารดาที่นั่งอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น พร้อมพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “ท่านแม่ ข้าทำให้ท่านเป็กังวลอีกแล้ว”
……
แม่นางหลี่ว์มองบุตรสาวอย่างเหม่อลอย ในใจยังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสับสนอย่างถึงที่สุด กระทั่งบางเวลานางก็แอบคิดว่าหากนิสัยของลูกสาวไม่ได้เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ นางจะหมดห่วงได้บ้างหรือไม่ แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว ไม่มีสิ่งใดดีไปกว่าเนื้อแผ่นบนโต๊ะอาหารในบ้าน เสื้อกันหนาวตัวใหม่ที่ตนเองสวมอยู่ ตัวอักษรใหม่ๆ ที่หลานชายเรียนรู้ในทุกๆ วัน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขกับสิ่งเหล่านี้โดยไม่คาดคิด
พูดตามตรงแล้วนางเป็แค่หญิงชนบทไม่ได้มีความรู้อะไรมาก นางรู้เพียงว่าลูกสาวคือก้อนเนื้อที่หล่นออกมาจากร่างกายของนาง ไม่ว่าจะเป็อย่างไรนางก็ต้องปกป้องแม้ต้องแลกด้วยชีวิต!
“เ้าไม่ต้องพูดราวเห็นแม่เป็คนอื่น ขอเพียงปิดบังให้เื่นี้ผ่านไป แม่จะต้องหาครอบครัวดีๆ ให้เ้าได้แน่นอน”
“ท่านแม่!” ความละอายในใจติงเหว่ยหยั่งรากลึกมากขึ้น นางกอดมารดาแน่นและหลั่งน้ำตาออกมา
ผู้าุโติงตระหนักได้ว่าเื่นี้ไม่ควรยืดเยื้ออีกต่อไป เขาะโเรียกให้ฮูหยินรีบไปเตรียมเงินมา และวางแผนไปบ้านท่านหมอจางสักหน่อย เขาไม่ใส่ใจว่าจะต้องใช้มิตรภาพหรือเงินทอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้ท่านหมอจางช่วยกลับคำพูดจึงจะปิดบังได้สำเร็จ
……
ท่านหมอจางไม่ใช่คนโง่เขลา เห็นได้ชัดว่าผู้าุโติงอุตส่าฝ่าลมฝ่าหิมะ [3] เพื่อมาถึงที่นี่ เขาจึงไม่บ่ายเบี่ยงอะไรและรับสินน้ำใจนั้นเพื่อให้ผู้าุโติงวางใจ ปกติเขาก็ไปๆ มาๆ ระหว่างหมู่บ้านอยู่แล้ว ครอบครัวที่ร่ำรวยเขาก็เคยไป เจอเื่ประหลาดหายากมานักต่อนักแล้ว หากพูดถึงเื่นี้ของสกุลติง เขาไม่ต้องกังวลความเสี่ยงอะไร เหตุใดจะไม่เต็มใจช่วยเหลือและยังถือโอกาสแสดงน้ำใจอีกด้วย
ผู้าุโติงมีความสุขมากอย่างที่คาดเอาไว้ หลังจากที่เขากล่าวขอบคุณเป็พันครั้งหมื่นครั้ง [4] แล้วจึงกลับบ้านไป
ในเวลานี้คนตระกูลติงสามารถวางใจและนอนหลับได้เต็มอิ่มในที่สุด น่าเสียดายที่พวกเขายังคงมองโลกในแง่ดีเกินไป หารู้ไม่ว่าบนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีรู [5] ยิ่งคิดจะปกปิดมากเท่าไร กลับยิ่งรั่วไหลเร็วขึ้นเท่านั้น
ท่านหมอจางเป็คนดีคนหนึ่งและฮูหยินของเขาไม่มีทางที่จะแอบฟัง แต่จู่ๆ เห็นชายคนหนึ่งให้เงินถึง 5 ตำลึงแก่เขา นางจึงถามสามีด้วยความดีใจว่ามีเื่อันใดกัน ท่านหมอจางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทว่านางก็ใช้ััที่ 6 [6] ที่ไม่ธรรมดาของนาง ั้แ่ลูกชายคนโตสกุลติงมาเยี่ยมกลางดึกคืนก่อน นางพบว่าเื่นี้ต้องมีใยแมงมุมและรอยเท้าม้า [7] เป็แน่ จนกระทั่งปะติดปะต่อภาพรวมของเื่ได้
ด้วยเหตุนี้ในวันรุ่งขึ้น ข่าวลือก็ไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป และยังถูกลือไปทั่วทั้งหมู่บ้าน หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานและสะใภ้อายุน้อยต่างรวมตัวกันแล้วชี้ไปที่บ้านสกุลติงพลางซุบซิบนินทาไม่หยุด ใบหน้าของพวกนางล้วนเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น พวกที่มีความคิดน่ารังเกียจและจิตใจสกปรกบางคนกับพวกชอบยุแยงต่างอยากให้ผู้าุโที่มีหน้ามีตาในหมู่บ้านมาออกหน้าในเร็ววัน จึงพากันไปบ้านของผู้ใหญ่บ้านเพื่อไปเยือนสกุลติงด้วยกัน
……
ต้นฤดูใบไม้ผลิอากาศยังคงหนาวเย็น แม้จะผ่านเดือนแรกไปแล้วแต่อากาศยังคงหนาวมาก วันนี้พี่รองสกุลติงไม่จำเป็ต้องออกไปทำงาน เขาจึงไปหาท่อนไม้และวางแผนที่จะทำเก้าอี้โยกตามแบบที่น้องหญิงให้มา
ติงเหว่ยนั่งอยู่ข้างเตาอย่างเกียจคร้าน ใช้ตะขอเหล็กหยิบมันเทศที่สุกกึ่งหนึ่งอยู่สองสามหัวพลิกไปมา บางครั้งก็หันไปอธิบายให้พี่รองสองสามประโยค พอแม่นางหวังที่กำลังตัดเย็บเสื้อคลุมของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ได้กลิ่นหอมหวานจางๆ ของมันเทศลอยมาในอากาศ ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
ท่ามกลางบรรยากาศแสนสบายและอบอุ่นเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านและผู้าุโสองสามคนก็มาหาถึงบ้าน พี่รองสกุลติงหัวเราะพลางเชิญแขกเข้ามาด้านใน และหันไปส่งสายตาให้กับฮูหยินของตนเองอย่างรวดเร็ว แม่นางหวังวางเสื้อคลุมลง และอ้างว่าน้ำเดือดแล้วจึงขอตัวออกจากห้องไป จากนั้นหันหลังวิ่งไปทางร้านทันที
ไม่นานนัก ผู้าุโติง แม่นางหลี่ว์ และพี่ใหญ่สกุลติงต่างรีบวิ่งจนหอบแฮ่กกลับมา เมื่อพวกเขาเห็นติงเหว่ยยืนอุ้มต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์อยู่ตรงมุมห้อง ทั้งสามคนต่างก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แม่นางหลี่ว์รีบพูดทันทีว่า “เหว่ยเอ๋อร์ เ้ารีบพาต้าเป่ากับฝูเอ๋อร์เข้าห้องไป ผู้ใหญ่เขาจะคุยกันเ้าจะอยู่มีส่วนร่วมทำไม”
“ช้าก่อน!” ติงเหว่ยกำลังจะพาต้าเป่าออกไป แต่ผู้าุโที่นั่งอยู่ใกล้ประตูกลับพูดขัดขึ้นมาเสียก่อนว่า "วันนี้ที่พวกข้ามาที่นี่ ก็เพราะเ้าเด็กน้อยเหว่ยเอ๋อร์นี่แหละ ให้นางอยู่ที่นี่ต่อก่อนเถอะ”
ติงเหว่ยเหลือบมองผู้เฒ่าคนนั้นที่กำลังพูดอยู่ เห็นว่าเขาสวมเสื้อคลุมและกางเกงขายาวสีเทา ผมและเคราส่วนใหญ่ของเขาเป็สีขาวไปกว่าครึ่ง เห็นได้ชัดว่าอายุคงไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ทว่าใบหน้าของเขากลับดูเืเย็น โดยเฉพาะดวงตาสีเหลืองขุ่นคู่นั้นที่เกลือกกลิ้งไปมาราวกับวางแผนอะไรบางอย่างอยู่จนทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจ หัวใจของนางเต้นรัว เกรงว่าวันนี้จะมีปัญหาใหญ่เสียแล้ว ดังนั้นนางจึงส่งต้าเป่ากับปู้เตี่ยนไว้ในอ้อมกอดของแม่นางหวัง ในที่สุดนางก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและถามว่า “ท่านผู้าุโ ไม่ทราบว่าท่านมีเื่อะไรจะชี้แนะข้าหรือ?”
ผู้าุโคนนั้นขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน และตำหนิว่า “เ้าเด็กไร้มารยาท เ้าไม่รู้ว่าเวลาพูดกับผู้ใหญ่ต้องแสดงความเคารพงั้นหรือ?” พูดจบก็หันไปทางผู้าุโติงและะโถามว่า “ครอบครัวสกุลติงสอนบุตรสาวเช่นนี้หรอกหรือ?”
เมื่อผู้เฒ่าติงได้ยินดังนั้น สีหน้าของเขาก็เ็าขึ้นมา ผู้าุโที่กำลังพูดอยู่เป็คนสกุลเฉียน ไม่ใช่คนอายุมากที่สุดในหมู่บ้าน แต่อายุแก่กว่าเขาปีหนึ่ง ดังนั้นจึงถูกเรียกติดปากว่าลุงเฉียน เมื่อปีที่แล้วลูกชายคนโตของสกุลเฉียนเอาแต่ใช้ชีวิตเสเพลในเมือง ไม่รู้ว่าจู่ๆ เอาเงินมาจากไหน หวังจะมาซื้อที่นาสกุลติงสักหมู่สองหมู่ แน่นอนว่าผู้เฒ่าติงปฏิเสธไป เหตุการณ์ครั้งนั้นคงทำให้สกุลเฉียนขุ่นเคืองใจไม่น้อย จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกเลย จวบจนวันนี้ที่ผู้เฒ่าเฉียนมาหาถึงบ้าน เขาเองก็ยังแปลกใจ ตอนนี้ได้ยินลุงเฉียนตำหนิลูกสาว ภายในใจก็ยิ่งโมโห
แต่สถานการณ์ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าคนที่มาเป็ผู้ไม่หวังดี เขาจึงทำได้เพียงสะกดอารมณ์ระงับความโกรธ แล้วฝืนยิ้มพูดว่า “ลุงเฉียน ท่านอย่าใส่ใจเลย วันก่อนเหว่ยเอ๋อร์นางไม่สบายเล็กน้อย บางทีอาจจำลุงเฉียนไม่ได้ด้วยซ้ำ”
ผู้าุโเฉียนส่งเสียงฮึในจมูกและพูดต่อ ทว่าคำพูดกลับยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก "ข้าคิดว่าไม่ได้มีสิ่งใดหายไปจากสมองของนางหรอก แต่ในท้องของนางมีอะไรเพิ่มมามากกว่ากระมัง"
“ลุงเฉียน ท่านอย่าพูดอะไรส่งเดช! สกุลติงของเราเคารพท่านในฐานะผู้าุโ ดังนั้นท่านอย่าทำตัวให้ตกต่ำเลยจะดีกว่า!” ผู้าุโติงวางท่อและหม้อยาสูบในมือ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยและเกร็งตัวขึ้น มองไกลๆ ราวสัตว์ป่าที่กำลังปกป้องลูกๆ ของพวกมัน ทำให้ผู้เฒ่าเฉียนรู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงเผลอกลืนคำพูดร้ายกาจที่กำลังจะพูดโดยไม่รู้ตัว
ผู้ใหญ่บ้านอู๋ต้าเชิ่งขมวดคิ้ว ตอนนี้ถึงคราวที่เขาต้องออกหน้าเพื่อแก้ไขเื่ต่างๆ ให้คลี่คลาย "เอาล่ะ ลุงเฉียน เรามาที่นี่ในฐานะแขก เหตุใดต้องพูดจาแปลกๆ เช่นนั้นด้วย!"
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปหาพ่อและลูกชายสกุลติงพร้อมถามอย่างพินิจพิจารณาว่า "พี่ติง ่นี้มีข่าวลือเกี่ยวกับเ้าเด็กน้อยเหว่ยเอ๋อร์นิดหน่อย พูดไปก็ไม่น่าฟังสักเท่าไร ทุกคนต่างก็อยู่ในบริเวณเดียวกัน แต่ละครอบครัวมีทั้งเด็กน้อยและลูกสาว อย่างที่รู้กัน สิ่งสำคัญที่สุดของการสู่ขอคือเื่ชื่อเสียง ดังนั้นพวกข้าเลยมาถามดูว่าที่เหล่าฮูหยินพูดกันเป็เื่จริงหรือไม่? ข้ายังได้ยินมาว่าหมอจางได้ถูกเชิญมาที่นี่เมื่อคืนวานอีกด้วย…”
ผู้าุโติงแอบเหลือบมองลูกสาวโดยไม่มีผู้ใดทันจับสังเกตได้ [8] ในที่สุดก็พยายามทำเป็นิ่งเฉยและตอบว่า “ท่านผู้ใหญ่บ้านโปรดวางใจ เดิมทีคำพูดไร้สาระจากเหล่าฮูหยินนั้นไม่ใช่เื่จริงอยู่แล้ว แม่นางหวังลูกสะใภ้คนรองของข้า่นี้เพิ่งจะตั้งครรภ์ เมื่อวานที่เชิญท่านหมอจางมาก็ด้วยสาเหตุนี้แหละ บางทีฮูหยินคนใดอาจฟังแล้วเข้าใจผิด บอกต่อ กันไปมาจนเกิดความเข้าใจผิดเสียมากกว่า”
ดวงตาของผู้ใหญ่บ้านเป็ประกายขึ้นมา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เหล่าผู้าุโต่างมองหน้ากันไปมา บางคนเชื่อบางคนก็ไม่เชื่อ หนึ่งในนั้นมีผู้าุโสกุลซุนที่มีที่เพาะปลูกอยู่ข้างๆ สกุลติง พวกเขาคอยช่วยเหลือกันเป็ครั้งคราว เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปากช่วยเหลือว่า “ในฤดูหนาวเช่นนี้อยู่บ้านไม่มีอะไรทำ เหล่าฮูหยินพวกนั้นนอกจากนินทาแล้วคงไม่มีอะไรให้ทำเสียมากกว่า รออีกไม่กี่วันก็ต้องยุ่งกับการเพาะปลูกแล้ว พอถึงตอนนั้นเกรงว่าคงไม่มีผู้ใดมาพูดมากความอีก”
หลังพูดจบ เขาก็หันไปหาเหว่ยเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มและปลอบโยนนางว่า "เด็กน้อยเหว่ยเอ๋อร์ เ้าก็ไม่ต้องเก็บคำพูดเหลวไหลพวกนั้นมาใส่ใจหรอก วันก่อนเสี่ยวเหมยยังบ่นว่าอยู่บ้านน่าเบื่ออยู่เลย หากเ้ามีเวลาก็ไปเล่นกับนางได้นะ”
“ได้เ้าค่ะ ท่านลุงซุน” เหว่ยเอ๋อร์ยิ้มพลางโค้งคำนับแล้วตอบว่า “ข้าเพิ่งมีตัวอย่างงานปักสวยๆ อยู่สองสามชิ้น ข้าจะเอาไปเย็บกับเสี่ยวเหมยในวันพรุ่งนี้”
พี่รองสกุลติงหัวเราะคิกคักแล้วพูดว่า "พวกเรากำลังจะกินข้าวกันพอดี ประจวบกับที่เหล่าผู้าุโมาหา มิสู้พวกท่านอยู่กินข้าวและดื่มเหล้าตอนเที่ยงเสียเลย วันก่อนข้าเพิ่งไปเอาเหล้าซงเฟิงจากในเมืองมาไหหนึ่ง ได้ยินว่ารสชาติไม่เลวทีเดียว!”
ผู้าุโเว่ยที่นั่งอยู่ด้านข้างชอบดื่มเหล้าเป็ที่สุด เมื่อได้ฟังก็ยิ้มทันที “ฮ่าฮ่าฮ่า เหล้าซงเฟิงเป็เหล้าที่ดีจริงๆ ข้าเคยดื่มครั้งหนึ่งเมื่อสามปีก่อน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะมีลาภปากเสียแล้ว”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ค่อยๆ คลี่คลายขึ้นเรื่อยๆ และเื่นี้กำลังจะถูกปล่อยผ่านไปอย่างง่ายดาย ผู้าุโเฉียนจึงเริ่มวิตกกังวล เขารีบขยิบตาให้บุตรชายคนโตที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว ลูกชายคนโตสกุลเฉียนจึงเม้มปากและพูดจาเยาะเย้ยว่า "ท่านลุงเว่ย ท่านช่างมีจิตใจกว้างขวางเสียจริง ท่านไม่กลัวว่าสกุลติงจะวางยาพิษในเหล้าและฆ่าปิดปากท่านบ้างอย่างนั้นหรือ! "
-----------------------------------------
[1] เหล่าผัวจื่อ 老婆子 หมายถึง หญิงสูงอายุ
[2] เหล่าเสินเซียน 老神仙 หมายถึง เทพเ้า
[3] ฝ่าลมฝ่าหิมะ 顶风冒雪 หมายถึง เดินทางมาอย่างยากลำบาก
[4] ขอบคุณเป็พันครั้งหมื่นครั้ง 千恩万谢 หมายถึง แสดงความขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
[5] บนโลกนี้ไม่มีกำแพงที่ไม่มีรู 没有不透风的墙 คือการอุปมาว่าบนโลกนี้ไม่มีความลับใดปิดไว้ได้ หรือความลับไม่มีในโลก
[6] ััที่ 6 第六感 หมายถึง ความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคลที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์แน่ชัด เป็บุคคลที่สามารถรับรู้ข้อมูลนอกเหนือจากััปกติทั้งห้า คือ การมองเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การรับรส และการัั
[7] ใยแมงมุมและรอยเท้าม้า 蛛丝马迹 สื่อว่าสามารถหาที่อยู่ของแมงมุมจากใยแมงมุม และหาทิศทางของม้าได้จากรอยเท้าม้า ในที่นี้หมายถึงเบาะแส ร่องรอย
[8] ไม่ทิ้งร่อยรอย 不着痕迹 หมายถึง การทำสิ่งต่างๆ อย่างไร้ที่ติ ปราศจากข้อบกพร่อง และผู้อื่นไม่สามารถสังเกตเห็นได้โดยได้ง่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้